บทที่ 12 เคารพศพ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

เมืองหลินอันทั้งสามด้านล้อมรอบด้วยภูเขา แม่น้ำเสาซีไหลเอื่อยอ้อมผ่านเมืองหลินอันจากตะวันออกไปตะวันตก บรรจบกับแม่น้ำเฉียนถัง กลายเป็นเส้นทางสายสำคัญในการเดินทางออกนอกเมืองของชาวเมืองหลินอัน 

 

 

จวนสกุลเผยสร้างอยู่บนตรอกเสี่ยวเหมยของเมืองฝั่งตะวันออก เรือนพักที่สร้างอิงภูเขานั้นวิจิตรซับซ้อน กินพื้นที่ของตรอกเสี่ยวเหมยทั้งหมด ส่วนแม่น้ำสายน้อยที่ไหลลงสู่ท่าเรือเสาซี จะชักน้ำมาจากแม่น้ำเสาซีอีกที มันวางตัวคดเคี้ยวผ่านหลังจวนสกุลเผย และถูกชาวเมืองหลินอันเรียกในชื่อธารเสี่ยวเหมย และเพราะธารเสี่ยวเหมยเป็นแม่น้ำสายเดียวในเมืองที่เชื่อมต่อกับท่าเรือและเดินเรือผ่านได้ พอพ้นศาลาว่าการและสำนักศึกษาช่วงใจกลางเมืองไป สองฝั่งแม่น้ำจะเริ่มมีรวงร้านตั้งกันเบียดเสียด ผู้คนขวักไขว่เนืองแน่น แม้ไม่รุ่งเรืองเท่ากับร้านค้าบนถนนฉางซิ่งเมืองฝั่งตะวันตก แต่ความคึกคักก็ไม่น้อยหน้าถนนฉางซิ่งเลย 

 

 

รุ่งเช้าในฤดูร้อน แม้อาทิตย์ยังไม่ปรากฏตัว ทว่าในอากาศก็แผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าและน้ำค้าง 

 

 

อวี้ถังติดดอกไม้ผ้าสีขาว สวมเสื้อตัวสั้นแขนกว้างทับด้วยกระโปรงยาวสีเรียบซึ่งตัดจากผ้าโปร่งเหมาะกับหน้าร้อน ประคองมารดาเดินผ่านรวงร้านที่ตั้งอยู่สองข้างทางธารเสี่ยวเหมย 

 

 

ตรอกเสี่ยวเหมยตั้งอยู่ไกลสุดสายตา ทว่าบนหน้าผากกลับมีเหงื่อผุดออกมาแล้ว 

 

 

นางดึงผ้าเช็ดหน้าสีม่วงอ่อนที่ตัดจากผ้าไหมหังโจวออกมาเช็ดหงื่อ แล้วหันไปมองทางมารดาอย่างไม่รู้สึกตัว 

 

 

เห็นว่าจอนผมของนางมีเหงื่อชุ่ม อวี้ถังจึงรีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ท่านก็เช็ดเหงื่อหน่อยสิเจ้าคะ!” 

 

 

คนสกุลเฉินส่ายหน้า แล้วดึงผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาซับเหงื่อ พูดชมนางคำหนึ่งว่า “เด็กดี” แล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจข้า เจ้าดูแลตนเองให้ดีก็พอแล้ว” 

 

 

อวี้เหวินที่เดินอยู่ข้างหน้าอดจะบ่นไม่ได้ “ข้าบอกให้เช่าเกี้ยวมาหลังหนึ่ง เจ้าก็ว่าเป็นการไม่เคารพผู้ตาย ร่างกายของเจ้ากว่าจะบำรุงให้ดีขึ้นมาหน่อยได้ มิใช่ทรมานตนเองจนล้มป่วยไปเสียอีก หากถามข้า ข้าว่าเจ้าไม่สมควรมาเลย ข้าพาอาถังมาด้วยก็พอแล้ว” 

 

 

คนสกุลเฉินรูปร่างผอมสูง สีหน้าขาวซีด เพราะเจ็บป่วยอยู่ตลอดทำให้เครื่องหน้าอันวิจิตรของนางดูน่าสงสารคล้ายดอกสาลี่กลางฤดูฝนอยู่สามส่วน นางยิ้มพลางปลอบอวี้เหวินว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้ารู้ว่าท่านพี่เป็นห่วง ข้าจะเดินตามที่กำลังของข้าไหว ไม่ให้ท่านกับอาถังต้องกังวล ท่านผู้เฒ่าเผยมีบุญคุณกับข้า หากว่าร่างกายข้าแข็งแรง ก็คงเดินสามก้าวโขกศีรษะหนึ่งทีไปจนถึงวัด เพื่อขอพรให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองท่านผู้เฒ่าสู่แดนสุขาวดีแล้ว ทว่าตอนนี้กลับเดินไปจุดธูปเคารพท่านผู้เฒ่าอย่างเอื่อยเฉื่อย อาศัยว่าท่านผู้เฒ่าเป็นคนเมตตาอารีย์ จึงได้แอบอู้ก็เท่านั้น” พูดถึงตรงนี้ กรอบตาของนางก็เริ่มแดงเรื่อ 

 

 

หลังจากที่รู้ข่าวการตายของท่านผู้เฒ่าเผย คนสกุลเฉินก็รู้สึกผิดมาก 

 

 

อวี้ถังรีบพูดปลอบใจนางว่า “ท่านแม่ ท่านยังบอกเลยว่าท่านผู้เฒ่ามีเมตตา ท่านผู้เฒ่าคงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเท่านี้หรอก ต่อไปถ้าพวกเรามีโอกาส ค่อยไปสวดมนต์ขอพรให้ท่านผู้เฒ่าที่วัดก็ได้เจ้าค่ะ” 

 

 

คนสกุลเฉินพยักหน้ารับ 

 

 

อวี้เหวินสั่งกำชับสองแม่ลูกว่า “สกุลเผยเป็นสกุลใหญ่มีกิจการมาก สามกิ่งก้านแม้จะแยกบ้านกันแต่ไม่ได้แยกบรรพบุรุษ ท่านผู้เฒ่าเผยสายนั้นอาศัยอยู่ที่ถนนตะวันออก หอบรรพชนสกุลเผยก็ตั้งอยู่ถนนตะวันออกเช่นกัน ทว่าสถานที่ตั้งศพของท่านผู้เฒ่าเผยนั้น ด้วยมีคนมาเคารพศพอย่างล้นหลาม จึงให้ตั้งศพที่โถงรองในเรือนหลักบนถนนกลาง แขกบุรุษให้จุดธูปไหว้เคารพในโถงรอง แขกสตรีจะจัดสถานที่อีกสองแห่งไว้ให้จุดธูปเคารพที่ถนนตะวันออก แห่งหนึ่งสำหรับญาติพี่น้องและมิตรสหายสตรี อีกแห่งสำหรับชาวเมืองเช่นพวกเรา ตอนที่พวกเจ้าเข้าไปต้องคอยเดินตามหลังผู้ดูแลให้ดี อย่าได้ไปผิดที่ล่ะ” 

 

 

หลังจากตั้งศพได้สามวัน โถงเซ่นไหว้ก็เริ่มเปิดให้ชาวเมืองเข้าไปเคารพศพ 

 

 

อวี้เหวินเคยไปมาหาสู่กับสกุลเผยด้วยเรื่องรักษาอาการป่วยของคนสกุลเฉิน ทั้งเขายังมีฐานะซิ่วไฉติดตัว จึงได้ไปสอบถามล่วงหน้า หลายวันนี้เขาล้วนแต่อยู่ช่วยงานที่จวนสกุลเผย วันนี้ถึงค่อยพาภรรยาและบุตรสาวมาเคารพศพท่านผู้เฒ่าเผย 

 

 

คนสกุลเฉินไม่เคยพบเจอพิธีศพที่จัดอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ในใจรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง จึงตอบกลับเสียงไร้ความมั่นใจไปทีหนึ่ง 

 

 

อวี้ถังแม้จะมีชีวิตมาสองชาติแล้ว แต่ถูกสกุลหลี่กักขังไว้แต่ในเรือนหลัง ออกมาสักครั้งก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จึงไม่เคยเห็นพิธีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เหมือนกัน แต่นางคิดว่าดีชั่วอย่างไรตนก็ถูกสกุลหลี่เคี่ยวกรำมาหลายปี เจอแข็ง ต้องแกร่งกว่า ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอเพียงไม่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ ทั้งสกุลเผยก็ค่อนข้างใจกว้าง หากถูกตำหนิก็แก้ให้ถูกเสีย หากไม่ผิดพลาดก็ให้กำลังใจตนเองต่อ นางจึงไม่ค่อยเป็นกังวลเท่าใดนัก 

 

 

อาจเพราะสกุลเผยมีบุญคุณต่อชาวเมืองหลินอันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันแรกที่โถงเซ่นไหว้เปิดให้เข้าเคารพศพ ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านมา ร้านค้าแผงลอยในตรอกเสี่ยวเหมยจำนวนมากล้วนปิดร้าน คนที่เดินจับจ่ายซื้อของมีบางตา กระทั่งเดินถึงสำนักศึกษาประจำอำเภอ นางถึงเห็นว่าสำนักศึกษาไม่ได้เปิดสอน ทั้งยังแขวนธงขาวอีกด้วย 

 

 

อวี้เหวินถอนหายใจ “เหล่าถงเซิง[1]ของสำนักศึกษาประจำอำเภอหากไม่ได้เงินช่วยเหลือจากท่านผู้เฒ่าเผย มีหรือจะผลิตซิ่วไฉออกมาได้แทบทุกสองสามปี บัดนี้ท่านผู้เฒ่าเผยสิ้นแล้ว สกุลเผยก็ยังไม่รู้ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำ ทุกคนย่อมกังวลใจกันมาก เกินกว่าครึ่งคงไม่อาจสงบใจเล่าเรียนต่อได้…” 

 

 

คนสกุลเฉินได้ฟังก็เอ่ยว่า “ท่านคงไม่เชื่อวาจาเหลวไหลของหลู่ซิ่นกระมัง? หากข้ามหน้าบ้านใหญ่แล้วให้บ้านสามเป็นผู้นำสกุลแทน เช่นนี้ย่อมเกิดเรื่องแน่” 

 

 

ต่อให้เป็นราชสำนัก ก็ยังต้องแต่งตั้งตามบ้านหลักรอง อายุมากน้อย 

 

 

อวี้เหวินลังเลไปพักใหญ่ ก่อนกระซิบเสียงเบาว่า “มีข่าวลือเช่นนี้ออกมาก็ไม่แปลกหรอก นายท่านใหญ่สิ้นแต่อายุไม่ถึงสี่สิบ บุตรชายสองคนยังไม่ผ่านพิธีสวมหมวก ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยจับงานยิบย่อยของสกุลเผยมาก่อน…” 

 

 

คนสกุลเฉินกลับเถียงว่า “ในสกุลมิใช่มีพ่อบ้านอยู่แล้วรึ? ใครเกิดมาก็ทำเป็นเลยเล่า? ขอเพียงยินดีเรียนรู้ก็พอแล้ว!” 

 

 

อวี้เหวินสงสัยต่อว่า “แต่ข้าได้ยินคนพวกนั้นถกเถียงกัน บอกว่าท่านอาของคุณชายสกุลเผยทั้งสองคนนั้น นายท่านรองไม่เชี่ยวชาญศาสตร์คำนวณ…ไม่แน่นี่อาจเป็นที่มาของข่าวลือก็ได้” 

 

 

เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ สกุลเผยจึงไม่อาจเลี่ยงเหตุยุ่งยากได้ 

 

 

พี่น้องใจเดียวกัน แม้แท่งทองก็บั่นลงได้ 

 

 

หากว่าภายในเกิดการแก่งแย่ง ต่อให้ต้นไม้จะใหญ่เพียงใดก็โค่นล้มลงมาได้ 

 

 

อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินพลันตกอยู่ในความเงียบพร้อมกัน 

 

 

อวี้ถังเห็นว่าบรรยากาศไม่ค่อยดี จึงหัวเราะเอ่ยเสียงสนใจใคร่รู้ว่า “ท่านพ่อ สถานที่ที่สกุลเผยอยู่เหตุใดจึงเรียกว่าตรอกเสี่ยวเหมยเล่าเจ้าคะ? ตรอกเสี่ยวเหมยกลับไม่มีต้นเหมยสักต้น ทั้งไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับต้นเหมยเลยด้วย” 

 

 

คำถามนี้นางอยากถามตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว 

 

 

เพียงแค่ไม่รู้จะไปถามใคร 

 

 

อวี้เหวินหัวเราะ ตอบว่า “เจ้าไม่มีทางเห็นหรอก ข้าก็เพิ่งได้ยินมาจากเถ้าแก่ถงเหมือนกัน เล่าว่าตอนที่บรรพบุรุษของสกุลเผยอพยพคนมาหลบโลกภายนอกที่เมืองหลินอันนี้ ก็เจอกับต้นเหมยป่าต้นหนึ่ง จึงได้สร้างเรือนพักอาศัยอยู่ข้างต้นเหมยต้นนั้น ตั้งชื่อให้ว่าตรอกเสี่ยวเหมย ทว่าต่อมาสกุลเผยมีลูกหลานมากมาย จึงค่อยๆ ขยายเรือนออกไปกว้างขวาง ต้นเหมยเก่าแก่ต้นนั้นจึงนับว่าอยู่ในเรือนหลัก แขกเหรื่อทั่วไปยากจะมีใครได้เห็น ทว่าก็ทิ้งชื่อตรอกเสี่ยวเหมยเอาไว้ให้” 

 

 

ทั้งสามคนปีนขึ้นเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จนถึงจวนสกุลเผยในที่สุด 

 

 

นอกประตูใหญ่เป็นภาพขาวโพลนทั้งแถบ 

 

 

บ่าวไพร่เดินสวนกันไปมา ยุ่งงานในมือทว่าไม่ไร้ระเบียบ 

 

 

พอเห็นอวี้เหวิน คนที่ท่าทีคล้ายพ่อบ้านก็เดินเข้ามาทักทาย “ท่านอวี้มาแล้ว เชิญไปนั่งที่โถงรองก่อนขอรับ” 

 

 

อวี้เหวินรีบชี้นิ้วไปทางคนสกุลเฉินกับอวี้ถัง “นายหญิงของข้ากับบุตรสาว ได้รับความเมตตาใหญ่หลวงจากท่านผู้เฒ่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะขอมาจุดธูปโขกศีรษะให้ท่านผู้เฒ่าให้ได้” 

 

 

คนเช่นนี้มีมากมายเหลือคณา 

 

 

พ่อบ้านผู้นั้นคารวะคนสกุลเฉินกับอวี้ถังอย่างเกรงอกเกรงใจ เรียกหญิงรับใช้ซึ่งอยู่ในชุดผ้ากระสอบสีขาวเข้ามาหา สั่งนางให้พาคนสกุลเฉินกับอวี้ถังไปเคารพท่านผู้เฒ่าเผย 

 

 

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังเกรงอกเกรงใจยกใหญ่ จากนั้นก็ตามหญิงรับใช้ไปฝั่งตะวันออก 

 

 

อวี้ถังเพิ่งจะมีเวลามองสำรวจจวนของสกุลเผย 

 

 

ไม่เสียชื่อผู้ครอบครองพื้นที่อันดับหนึ่งของเมืองหลินอัน ในเมืองหลินอันที่มากด้วยภูเขา น้อยที่ราบ กลับหาลานกว้างที่จอดรถม้าได้อย่างน้อยยี่สิบคันได้ ต้นไม้รอบลานหลายต้นมีขนาดใหญ่กว่าสองแขนโอบ ใบไม้หนาดกทึบ กิ่งก้านแผ่กว้างเหมือนคันร่ม ต้นสนรับแขกตั้งสูงเหนือศีรษะคน กิ่งที่ยื่นสลับไปมายาวเกินกว่าสามฉื่อ[2] ระเบียงทางเดินทอดยาวมุงด้วยหลังคากระเบื้องเขียว ราวระเบียงไม้แดง ด้านบนสุดวาดลวดลายสีน้ำเงิน เสาทั้งต้นถูกพันด้วยผ้าขาว ระหว่างต้นไม้เขียวชอุ่มสองฟากมีดอกไม้ผ้าสีขาวขนาดเท่าปากชามใบใหญ่แขวนประดับอยู่ 

 

 

นี่ต้องใช้เงินทองเท่าใดกัน! 

 

 

อวี้ถังลอบตื่นตระหนกในใจ 

 

 

จากนั้นนางก็ค้นพบเรื่องที่แปลกยิ่งกว่า 

 

 

ตลอดทางที่เดินผ่าน นางยังไม่เห็นดอกไม้สีอื่นนอกจากสีขาวเลย 

 

 

จวนของผู้รากมากดีมักจะชอบปลูกต้นไม้ใบไม้ที่แฝงความหมายอวยพรให้สกุลเจริญรุ่งเรือง ดั่งเถาแตงเส้นยาวที่ออกดอกผลมีลูกหลานมากมาย โดยเฉพาะฤดูกาลนี้ เป็นฤดูที่ต้นทับทิมและต้นพุทราผลิดอก ไม่ต้องพูดถึงต้นไม้พวกนี้ แม้แต่ดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปอย่างดอกชบา ดอกยี่เข่งและดอกกุหลาบก็ยังไม่มีให้เห็น 

 

 

ฝีเท้าของอวี้ถังชะลอช้า พิจารณาต้นไม้ข้างระเบียงทางเดินที่ยื่นกิ่งก้านออกมาอย่างละเอียด 

 

 

หญิงรับใช้ที่คอยจับตาแขกผู้มาเยือนอยู่ก่อนแล้วสังเกตเห็นความผิดปกติได้ในทันที นางเดินช้าลง แล้วเอ่ยถามเสียงนุ่มว่า “แม่นางน้อยมองหาสิ่งใดหรือเจ้าคะ? มีสิ่งใดให้ข้าน้อยช่วยเหลือหรือไม่?” 

 

 

คนสกุลเฉินหันหน้ากลับมามองอย่างมึนงง 

 

 

อวี้ถังรีบดึงสายตากลับ สาวเท้าเดินให้ทันคนสกุลเฉิน กลัวว่าหญิงรับใช้ผู้นี้จะเข้าใจผิดคิดว่านางแอบด้อมมองเรือนใน ไร้การอบรมสั่งสอน จึงอธิบายว่า “ข้าเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้คล้ายกับต้นทับทิม แต่กลับไม่เห็นมีดอกเลย…” 

 

 

หญิงรับใช้ชะงักไป 

 

 

อาจเพราะกลัวอวี้ถังเข้าใจผิดว่าต้นทับทิมของสกุลเผยไม่ผลิดอก นางหยุดคิดสักครู่แล้วตอบว่า “เดิมทีก็ออกดอกเจ้าค่ะ นี่เป็นเพราะว่าท่านผู้เฒ่ามาสิ้นไป นายท่านและนายน้อยในจวนล้วนเห็นแล้วไม่สบายใจ จึงได้สั่งให้ตัดทิ้งเสียเจ้าค่ะ” 

 

 

ที่แท้ก็เพราะเหตุนี้เอง 

 

 

อวี้ถังรู้สึกคำตอบที่ได้ฟังเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง 

 

 

คนสกุลเฉินก็ประหลาดใจ ถามต่อว่า “ตัดทิ้งทั้งหมดเลยรึ?” 

 

 

เท่าที่มองจวนสกุลเผยมีพื้นที่กว้างขวาง ดอกไม้ก็ปลูกเอาไว้มาก หากว่าต้องตัดทิ้งทั้งหมด ต้องใช้แรงคนสักเท่าใดกัน! 

 

 

หญิงรับใช้ผู้นั้นทำราวกับตนเป็นคนเหน็ดเหนื่อยตัดต้นไม้เอง พอได้ฟังก็ยิ้มขื่นว่า “ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ! ตั้งแต่ที่นายท่านสามบอกว่าไม่อยากเห็นดอกไม้บานที่สีสันฉูดฉาดเกินไป นี่ก็ใช้เวลาสองวันเต็มๆ พ่อบ้านสามทั้งต้องยุ่งเรื่องจัดงานศพ ทั้งต้องคอยสั่งให้คนตัดดอกไม้ พวกเราข้ารับใช้ก็คอยรับคำสั่ง ตอนนี้มือแทบยกไม่ขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“ลำบากพวกเจ้าแล้วจริงๆ!” คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างเห็นใจ “ผ่านช่วงนี้ไปก็สบายขึ้นแล้วล่ะ” 

 

 

คงเพราะวาจาของคนสกุลเฉินพูดออกมาจากใจ ทั้งน้ำเสียงอบอุ่นที่เปล่งออกมายังแฝงความอ่อนโยนเหนือผู้ใดสามส่วน หญิงรับใช้ผู้นั้นจึงลอบสังเกตคนสกุลเฉินอีกหลายครั้ง แล้วเอ่ยถามในที่สุดว่า “สกุลสามีข้าสกุลจี้ ทุกคนล้วนเรียกข้าว่า จี้ต้าเหนียง หากท่านมีเรื่องอันใด สามารถให้คนมาบอกข้าได้เลยเจ้าค่ะ” 

 

 

สามารถให้ผู้อื่นเรียกว่า ‘ต้าเหนียง’ ได้ หาใช่เป็นบ่าวรับใช้ทั่วไปที่พอมีหน้ามีตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าย่อมเป็นผู้ที่รับใช้สกุลเผยมาหลายชั่วคน ทั้งอาจจะเฉลียวฉลาดเป็นงาน จนถูกเจ้านายบ้านใดมองเห็นความสำคัญ แล้วมอบหมายให้รับผิดชอบงานด้านใดด้านหนึ่ง 

 

 

คนสกุลเฉินเอ่ยปากเรียก ‘ต้าเหนียง’ คำหนึ่งอย่างเกรงอกเกรงใจ 

 

 

อวี้ถังคล้ายถูกโจมตีด้วยคลื่นลมลูกใหญ่ 

 

 

คนสกุลเฉินฟังไม่ออก ทว่านางฟังเข้าใจทันที 

 

 

ไม่ชมชอบดอกไม้สีสดคือนายท่านสาม วุ่นวายจัดงานศพกับสั่งงานคนให้ตัดดอกไม้คือพ่อบ้านสาม แล้วพ่อบ้านใหญ่กับพ่อบ้านรองมัวทำอะไรกันอยู่เล่า? 

 

 

หรือสกุลเผยจะเป็นอย่างที่หลู่ซิ่นเล่าให้ฟังจริงๆ ในมุมที่ผู้อื่นมองไม่เห็นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน รื้อระบบการจัดการใหม่ทั้งหมดแล้ว? 

 

 

นางไม่ได้กระโตกกระตาก แสร้งทำทีไร้เดียงสา หลอกถามจี้ต้าเหนียงด้วยสีหน้าอยากรู้ว่า “สกุลเผยสมกับเป็นสกุลอันดับหนึ่งในเมืองหลินอัน ขนาดพ่อบ้านยังมีตั้งสามคน แล้วปกติต้องมีพ่อบ้านกี่คนกันเจ้าคะ? ท่านพ่อข้ารู้จักกับเถ้าแก่ถง เขาเล่าว่าเถ้าแก่ถงมีความรู้กว้างขวางและเก่งกาจยิ่ง แล้วเถ้าแก่ถงเป็นผู้ดูแลในจวนหรือว่าเป็นพ่อบ้านล่ะเจ้าคะ?” 

 

 

จี้ต้าเหนียงได้ฟังสายตาก็พลันเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา เอ่ยว่า “เถ้าแก่ถงเป็นพ่อสามีของลูกสาวข้าเอง” 

 

 

หรือพูดได้ว่า บุตรสาวของจี้ต้าเหนียงแต่งให้กับเถ้าแก่น้อยถง 

 

 

“ไอหยา ช่างบังเอิญเสียจริง!” อวี้ถังกับคนสกุลเฉินอุทานเบาๆ ออกมาเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นอวี้ถังจึงเริ่มไล่เรียงว่านางรู้จักเถ้าแก่ถงพ่อลูกได้อย่างไรให้จี้ต้าเหนียงฟังด้วยท่าทีสมจริงสมจัง พร้อมเอ่ยเยินยอเถ้าแก่น้อยถงไปหนึ่งยกใหญ่ 

 

 

————————————————————- 

 

 

 

 

 

[1]ถงเซิง หมายถึง บัณฑิตรุ่นเยาว์ที่สอบผ่านระดับอำเภอ และระดับจังหวัด 

 

 

[2]หนึ่งฉื่อ ประมาณ 10 นิ้ว