บทที่ 13 สกุลเผย

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

แม่ยายคนใดไม่ชอบฟังผู้อื่นชื่นชมลูกเขยตนเองบ้างเล่า! 

 

 

จี้ต้าเหนียงยิ่งให้ความสนิทสนมกับพวกนางมากกว่าเดิม นางปลดเกราะกำบังในใจลง แล้วเล่าเรื่องสกุลเผยให้พวกนางฟัง “งานในจวนมีไม่จบไม่สิ้น พ่อบ้านใหญ่ทั้งสิ้นมีสามคน มีอีกเจ็ดคนเป็นผู้ดูแล พ่อบ้านใหญ่ดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในจวน พ่อบ้านรองดูแลธุระจุกจิกกับแขกเหรื่อ พ่อบ้านสามดูแลบัญชีกับเถ้าแก่ด้านนอก ส่วนผู้ดูแลทั้งเจ็ดคนนั้น ผู้ดูแลใหญ่ติดตามพ่อบ้านใหญ่ ผู้ดูแลรองกับผู้ดูแลสามติดตามพ่อบ้านรอง คนอื่นๆ อีกสี่คนติดตามพ่อบ้านสาม ทว่าผู้ดูแลเจ็ดจะดูแลธุระของเรือนในด้วย อย่างเช่นข้า ข้าขึ้นตรงกับผู้ดูแลเจ็ด” 

 

 

“ส่วนเถ้าแก่ถงที่พูดถึงนั้น บรรพบุรุษของเขารับใช้สกุลเผยมาหลายชั่วคน ต่อมาสกุลเผยมาตั้งหลักสร้างฐานที่เมืองหลินอัน พวกเขาก็สร้างคุณงามความดีใหญ่หลวง ก่อนที่บรรพชนสกุลเผยจะสิ้นก็คืนสัญญาทาสให้เขา ทว่าบรรพบุรุษสกุลถงรู้จักคุณคน แม้จะบอกว่าคืนหนังสือสัญญาทาสให้ แต่ก็ไม่เคยจากไป ยังคงช่วยเป็นเถ้าแก่ดูแลโรงจำนำให้ มีหน้ามีตายิ่งนักแล้ว ไม่เหมือนกับข้ารับใช้คนอื่นๆ หรอกเจ้าค่ะ” น้ำเสียงที่เล่าเจือด้วยความภาคภูมิใจ 

 

 

ขอเพียงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลินอัน จะมากจะน้อยอย่างไรก็หนีไม่พ้นต้องเกี่ยวพันกับสกุลเผยอยู่ดี 

 

 

สกุลอวี้ในวันนี้ ไม่ว่าจะสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ หรือเพราะเรื่องภาพวาดผืนนั้น ล้วนต้องเกี่ยวพันกับสกุลเผยอย่างลึกซึ้ง 

 

 

ชาติก่อน นายท่านสามได้ขึ้นเป็นผู้นำสกุล 

 

 

ด้วยเหตุนี้ อวี้ถังจึงไม่ได้คิดเดาอะไรมากมายเหมือนกับอวี้เหวินและคนสกุลเฉิน 

 

 

ทว่างานศพของท่านผู้เฒ่าเผยแสดงให้เห็นถึงข้อมูลหลายต่อหลายอย่าง 

 

 

อย่างเช่นว่า พวกพ่อค้าในเมืองหลินอันมีเรื่องอันใดก็จะไปพูดขอร้องกับพ่อบ้านใหญ่ แต่พอท่านผู้เฒ่าเผยสิ้นไป พ่อบ้านสามที่สมควรดูแลกิจการด้านนอกกลับเป็นตัวหลักในการจัดพิธีศพให้ท่านผู้เฒ่า แล้วพ่อบ้านรองที่เวลานี้น่าจะก้าวออกมาช่วยเหลืองานศพกลับไม่รู้ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน? 

 

 

นายท่านสามขึ้นเป็นผู้นำสกุลได้อย่างไร? 

 

 

ช่วงเวลานี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก? 

 

 

พ่อบ้านทั้งสามคนเวลานี้ล้วนสนับสนุนให้นายท่านสามขึ้นเป็นใหญ่ หรือว่าต่างคนต่างใจต่างความคิด? 

 

 

แล้วใครเป็นคนของนายท่านสามบ้าง? ใครบ้างที่ยืนอยู่ข้างบ้านใหญ่ฝั่งนั้น? 

 

 

อวี้ถังในชาติก่อนเมื่อแต่งเข้าสกุลหลี่ไป เพราะถูกขังอยู่แต่ในเรือนหลัง เกี่ยวกับสกุลเผยนางจึงไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก 

 

 

ชาติก่อน นางไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำว่ามีคนวิพากษ์วิจารณ์นายท่านสาม 

 

 

คล้ายว่าทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นในสกุลเผยก็กุมทุกอย่างไว้ในกำมือ วาจาของเขาคือคำชี้ขาด คนในสกุลล้วนเคารพเชื่อฟัง หาได้มีใครกล้าแย้งเขาไม่ 

 

 

นางไม่ต้องการให้สกุลอวี้เข้าไปพัวพันกับเรื่องพวกนี้ของสกุลเผย 

 

 

ยังมีบุรุษชุดเขียวที่นางเจอตอนอยู่โรงจำนำอีก มองจากอายุอานามแล้วไม่น่าใช่คุณชายน้อยสองคนจากบ้านใหญ่ เช่นนั้นเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกับสกุลเผยกันแน่? 

 

 

หรือว่าเป็นคุณชายน้อยของนายท่านที่เหลืออีกสองคน? 

 

 

แล้วตอนนี้เขายืนอยู่ข้างไหน? 

 

 

เขาจะรู้หรือไม่ว่าสุดท้ายแล้วผู้ชนะในสงครามสนามนี้คือนายท่านสามสกุลเผย? 

 

 

หากให้คาดเดานิสัยของนายท่านสามสกุลเผยโดยดูจากชาติก่อน หลังจากนายท่านสามได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสกุลแล้ว เก้าในสิบคงเป็นพวกเชื่อฟังคำคนย่อมได้ดี คิดขัดมีเพียงความตายแน่ๆ 

 

 

ไม่รู้ว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นจะหลบเลี่ยงออกไปด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ 

 

 

ดูจากท่าทาง เขาก็เป็นพวกพยศ ไม่เชื่อฟังใครง่ายๆ คนหนึ่งเลย… 

 

 

ในใจของอวี้ถังว้าวุ่นไปหมด นางไม่มั่นใจว่าตอนนี้นางต้องการให้สกุลอวี้รอดพ้นเคราะห์ภัยครานี้ไปได้หรือต้องการรู้ความเป็นมาของบุรุษชุดเขียวมากกว่ากัน…แต่นางก็ห้ามตัวเองให้หยุดสนใจเรื่องของสกุลเผยไม่ได้เสียแล้ว 

 

 

อวี้ถังเอ่ยว่า “พ่อบ้านสามคงยุ่งตัวเป็นเกลียวแน่! ไหนจะต้องจัดการเรื่องนอกจวน ไหนจะต้องดูแลเรื่องในจวน พ่อบ้านใหญ่กับพ่อบ้านรองไม่มาช่วยแบ่งเบาบ้างหรือ?” 

 

 

จี้ต้าเหนียงตกใจเพราะรู้ตัวว่าตนหลุดปากไปมาก แต่พอเห็นสีหน้าบริสุทธิ์ไม่เข้าใจโลกภายนอกของอวี้ถัง นางก็ตอบอย่างคลุมเครือว่า “พ่อบ้านใหญ่กับพ่อบ้านรองยังมีเรื่องอื่นต้องจัดการเจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ข้าว่าสุขภาพของนายหญิงซิ่วไฉยังอ่อนแออยู่มาก ถ้าหากท่านจุดธูปเคารพท่านผู้เฒ่าเสร็จแล้ววางแผนจะกินอาหารเจที่จวนก่อนแล้วค่อยกลับ ข้าจะให้คนพาท่านไปพักที่อู่ฝาง[1]หลังโถงรอง เที่ยงตรงแบบนี้ตะวันร้อนแรงนัก ท่านต้องระวังจะเป็นลมแดดไป” 

 

 

ด้วยกลัวว่าจะทำให้จี้ต้าเหนียงสงสัย อวี้ถังจึงต้องหยุดไว้ชั่วคราวเพียงเท่านี้ 

 

 

คนสกุลเฉินกล่าวขอบใจจี้ต้าเหนียง แล้วเล่าถึงบุญคุณที่ท่านผู้เฒ่าเผยมีต่อนาง 

 

 

อวี้ถังทางหนึ่งก็เงี่ยหูฟัง ทางหนึ่งก็คอยสังเกตรอบข้างไปด้วย 

 

 

นางพบว่าตลอดเส้นทางที่เดินผ่าน ไม่มีดอกไม้สีอื่นให้เห็นได้เลยจริงๆ 

 

 

เห็นได้ชัดว่าคำสั่งของนายท่านสามในตอนนี้ เบื้องหน้าไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟัง 

 

 

อวี้ถังยิ่งกังวลมากกว่าเก่า 

 

 

เพียงแต่ไม่รู้เลยว่านายท่านสามจะขึ้นนั่งตำแหน่งได้อย่างไร? 

 

 

เขาจะใช้คำสั่งเสียของท่านผู้เฒ่ามาบีบบังคับให้ทุกคนเชื่อฟัง? หรือว่าตั้งแต่ก่อนหน้าที่พวกหลู่ซิ่นจะปล่อยข่าวลือออกมา นายท่านสามก็ควบคุมฮ่องเต้สั่งการใต้หล้า[2]ไปแล้ว? 

 

 

นางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระทั่งได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ถึงพบว่าตนกับมารดาได้ตามจี้ต้าเหนียงเข้ามาในลานที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ดังระงม ชาวเมืองคล้ายพวกนางหลายต่อหลายคนกำลังร่ำไห้หน้าโลงศพ เสียงสวดบริกรรมดังยาวอย่างมีจังหวะจะโคน ติ่งทองแดงสามขาสูงเหนือคนมีธูปปักอยู่แน่น ควันขาวลอยโขมง หากมิใช่เห็นผ้าขาวแขวนไว้ทั่วทุกมุม นางคงนึกว่าตัวเองหลงเข้ามาอยู่ในวัดเสียแล้ว 

 

 

คนสกุลเฉินสูดเข้าไปจนสำลักไอหลายที 

 

 

จี้ต้าเหนียงเอ่ยว่า “โปรดตามข้ามา!” 

 

 

พวกนางถูกนำทางให้เดินผ่านเหล่าสตรีออกเรือนแล้วกลุ่มใหญ่ที่กำลังร้องไห้หน้าโลงศพแล้วเดินเข้าไปที่โถงข้าง จากนั้นก็ไปโขกศีรษะจุดธูปไหว้ภาพเหมือนของท่านผู้เฒ่าเผยซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง 

 

 

ตอนที่ลุกยืนขึ้นอวี้ถังก็พิจารณาภาพเหมือนของท่านผู้เฒ่าอย่างตั้งอกตั้งใจ 

 

 

หนวดเคราสามจุก ทรงคิ้วหนอนไหม ดวงตาผลซิ่ง หน้าผากกว้างสองแก้มอิ่ม สวมชุดคลุมตัวยาวแขนกว้างคอกลมสีเขียว ปักดิ้นทองลวดลายอู่ฝู[3]ยิ้มจนตาแทบปิด ดูแล้วเป็นคนใจดียิ่งนัก 

 

 

ไม่รู้ภาพนี้ถูกวาดโดยใคร ลายเส้นพู่กันนับว่ายอดเยี่ยม ไม่เพียงหน้าตาวาดออกมาได้สมจริง ทั้งสีหน้าอารมณ์อันละเอียดอ่อนก็ล้วนวาดออกมาได้หมด ขนาดอวี้ถังที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาพวาด ก็ยังรับรู้ได้ถึงความสามารถของจิตรกร 

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ท่านใด 

 

 

ไม่รู้ว่าตอนที่ท่านผู้เฒ่าเผยถูกวาดภาพเหมือนภาพนี้อยู่ จะเคยคิดหรือไม่ว่าสกุลเผยจะเกิดเรื่องแก่งแย่งตำแหน่งผู้นำสกุลหลังจากที่เขาตายไปแล้ว? 

 

 

เห็นทีว่าโลกนี้ช่างอนิจจัง 

 

 

ท่ามกลางเสียงร้องไห้ อวี้ถังพลันจมอยู่กับความรู้สึกโศกาอาดูร 

 

 

กรอบตานางรื้นชื้น หยดน้ำตาร่วงหล่น 

 

 

คนสกุลเฉินทางนั้นกลับปล่อยโฮออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ 

 

 

อวี้ถังกับจี้ต้าเหนียงประคองคนสกุลเฉินคนละฝั่งแล้วพาเดินออกมาจากโถงรอง 

 

 

จี้ต้าเหนียงหยุดคิดพักหนึ่ง แล้วเรียกสาวใช้ที่ชื่อ ‘เล่ยจือ’ เข้ามาสั่งงานว่า “นี่คือนายหญิงและคุณหนูใหญ่ของอวี้ซิ่วไฉ เจ้าพานายหญิงกับคุณหนูใหญ่ไปพักที่เซียงฝาง[4]ด้านหลังก่อน” และหันมาพูดกับคนสกุลเฉินว่า “ด้านนอกข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนพวกท่านได้ อีกสักครู่ข้าค่อยมาหาใหม่เจ้าค่ะ” 

 

 

อู่ฝางเปลี่ยนมาเป็นเซียงฝาง เห็นชัดว่าจี้ต้าเหนียงดูแลพวกนางเป็นพิเศษ 

 

 

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังรีบขอบคุณนางเป็นพัลวัน เอ่ยว่า “พวกเราคอยอยู่ที่ห้องอู่ฝางก็ใช้ได้แล้ว” 

 

 

จี้ต้าเหนียงลดเสียงเบา เอ่ยว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ! ห้องเซียงฝางเดิมให้แขกสตรีเรือนในพัก ตอนนี้ไม่ได้ใช้งาน ให้พวกท่านพักสักวันหนึ่ง มิใช่เรื่องใหญ่โต” 

 

 

นี่ก็เป็นความปรารถนาดีของจี้ต้าเหนียง 

 

 

สองแม่ลูกกล่าวขอบคุณซ้ำอีกหลายรอบ เห็นว่าจี้ต้าเหนียงเอ่ยด้วยใจจริง ทั้งมีบ่าวรับใช้เข้ามาขอคำชี้แนะ จึงไม่กล้ารบกวนเวลานางอีก ได้แต่ตอบตกลงอย่างซาบซึ้งใจ แล้วตามเล่ยจือขึ้นระเบียงทางเดินไปฝั่งตะวันตก 

 

 

“คนดีๆ เช่นนี้ เหตุใดจึงมาจากไปเสียดื้อๆ นะ?!” 

 

 

อวี้ถังปลอบใจมารดาอยู่หลายประโยค พอเงยหน้าก็พบว่าพวกนางเดินตามทางอันคดเคี้ยวเลี้ยวลดตามเล่ยจือมาโผล่ยังเรือนน้อยที่เงียบสงบหลังหนึ่ง 

 

 

ในลานมีลำธารและต้นไผ่ สะพานไม้และก้อนหิน ตกแต่งไว้อย่างประณีตบรรจง เสียงร้องไห้แว่วลอยตามมา เสริมให้เรือนน้อยหลังนี้เงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม 

 

 

เล่ยจือผลักประตูเซียงฝางฝั่งตะวันตกให้เปิดออก เชิญคนสกุลเฉินกับอวี้ถังเข้าไปด้านใน เอ่ยเสียงเบาว่า “นายหญิงอวี้ เชิญท่านพักที่นี่ก่อน ถึงเวลาทานมื้อเที่ยงข้าจะมาเชิญอีกรอบเจ้าค่ะ” พูดจบ ก็รินชาให้ทั้งสองด้วยตนเอง 

 

 

อวี้ถังมองดูเครื่องเรือนสีเข้มเพียงสีเดียวที่อยู่ในห้องเซียงฝาง ม่านกั้นสีฟ้าอ่อน ในแจกันดอกไม้สีครามมีดอกอวี้หลันขาวสูงต่ำไม่เท่ากันขนาดประมาณปากชามปักอยู่สองดอก การจัดวางเรียบง่ายทว่างดงาม เรียบง่ายสบายตายิ่ง 

 

 

จากอู่ฝางเปลี่ยนเป็นเซียงฝาง นางเดาว่าสถานที่แห่งนี้คงจะเตรียมเอาไว้ให้ญาติพี่น้องไม่ก็สหายสนิทที่เป็นสตรีของสกุลเผยใช้พักผ่อน อาจเพราะจี้ต้าเหนียงเห็นว่าบิดานางเป็นซิ่วไฉ มารดานางร่างกายอ่อนแอซ้ำยังพูดคุยถูกคอ จึงได้ดูแลเป็นพิเศษ จัดการให้พวกนางแม่ลูกเข้ามาพักที่นี่ 

 

 

คนสกุลเฉินรับน้ำชามา เอ่ยขอบคุณเล่ยจือเสียงนุ่ม 

 

 

อวี้ถังคิดว่าจี้ต้าเหนียงเรียกใช้งานเล่ยจือ แสดงว่าเล่ยจือผู้นี้คงมีความสัมพันธ์กับจี้ต้าเหนียงไม่เลวทีเดียว นางรับถ้วยชามาจากเล่ยจือ กล่าวขอบคุณอีกฝ่าย “ลำบากพี่เล่ยจือแล้ว” แล้วพูดต่อว่า “พวกเราได้เข้ามาพักที่นี่ ทั้งหมดต้องขอบคุณจี้ต้าเหนียงกับพี่เล่ยจือ รอผ่านไปหลายวันให้จี้ต้าเหนียงกับพี่เล่ยจือไม่ยุ่งแล้ว พวกเราจะมาขอบคุณอีกครั้ง” 

 

 

เล่ยจือคิดไม่ถึงว่าแม่ลูกของซิ่วไฉสกุลอวี้จะเกรงอกเกรงใจตนถึงเพียงนี้ จึงอดเหลือบมองอวี้ถังหลายครั้งไม่ได้ 

 

 

เครื่องประดับและอาภรณ์ของอวี้ถังธรรมดาทั่วไป ส่วนสูงระดับกลางๆ เครื่องหน้างดงาม กิริยาอ่อนหวาน ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ 

 

 

เล่ยจือตกตะลึง 

 

 

คุณหนูสกุลอวี้มีรูปโฉมงดงามไม่แพ้เหล่านายหญิงและคุณหนูของสกุลเผยเลย 

 

 

อวี้ถังเดิมก็เป็นคนนิสัยใจคอกว้างขวาง ภายหลังได้ประสบกับเรื่องไม่คาดฝัน กิริยาท่าทางจึงไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมตัวจนดูต้อยต่ำ ทั้งยังสุขุมเยือกเย็น 

 

 

นางปล่อยให้เล่ยจือมองตามสบาย 

 

 

จนเป็นเล่ยจือเองที่รู้สึกเสียมารยาท นางก้มศีรษะต่ำ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูอวี้เกรงใจแล้ว คำพูดของท่าน ข้าจะนำส่งให้ถึงแน่เจ้าค่ะ” 

 

 

“จี้ต้าเหนียงกับแม่นางเล่ยจือช่างมีน้ำใจนัก!” คนสกุลเฉินเสริมวาจาตามมารยาทกับเล่ยจืออีกหลายประโยค แล้วเดินไปส่งเล่ยจือที่ประตูด้วยตนเอง หลังจากหย่อนตัวนั่งบนตั่งนอนไม้ในห้อง สีหน้าถึงได้เผยความอ่อนล้าให้เห็น 

 

 

อวี้ถังคิดว่านี่ีคือการดูแลเป็นพิเศษที่จี้ต้าเหนียงมอบให้ หากว่าคนอื่นรู้เข้าคงไม่ดี จึงปิดหน้าต่างฝั่งลานเรือน แล้วเปิดหน้าต่างฝั่งด้านนอกแทน และถึงแม้จะเปิดออก แต่ก็ไม่กล้าเปิดอ้าเต็มที่ เพียงเปิดค้างไว้ครึ่งเดียวเท่านั้น นางเข้าไปช่วยมารดาบิดผ้าเช็ดหน้าแล้วซับเหงื่อให้ “ท่านแม่ ท่านพักสักครู่เถอะเจ้าค่ะ ถึงมื้อกลางวันเมื่อไรเดี๋ยวเล่ยจือจะมาเรียกพวกเราเอง” 

 

 

คนสกุลเฉินพยักหน้า เอ่ยอย่างรู้สึกไม่สบายใจว่า “ถ้าสุขภาพข้าไม่เป็นปัญหา พวกเราคงไม่ต้องเบียดเบียนอาหารเจของสกุลเผยไปหนึ่งมื้อ ปากบอกว่ามาจุดธูปเคารพท่านผู้เฒ่าเผย กลับมาขอข้าวเขากินเสียได้” 

 

 

อวี้ถังกล่อมมารดาว่า “สกุลเผยบุญหนักศักดิ์สูง ไม่มาสนใจอาหารมื้อสองมื้อหรอกเจ้าค่ะ” 

 

 

คนสกุลเฉินเห็นว่าบนหน้าผากของอวี้ถังมีแต่เหงื่อ ก็เอ่ยอย่างปวดใจว่า “เจ้าก็อย่าฝืนตัวเองมาก หากว่ารู้สึกร้อน ก็หาที่เย็นๆ หลบไปพักก่อน อย่าได้ต้องเจ็บไข้เพราะมาจุดธูปเคารพท่านผู้เฒ่าเผยล่ะ” 

 

 

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!” อวี้ถังรับคำ แล้วยกตั่งไม้เตี้ยเดินมาหา จะช่วยนวดขาให้คนสกุลเฉิน 

 

 

คนสกุลเฉินทั้งประหลาดใจและยินดี เอ่ยว่า “ไอหยา! เหลือเชื่อจริงๆ ข้าไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าการมีลูกสาวจะสุขสบายปานนี้!” 

 

 

ถูกต้องแล้ว! 

 

 

แต่ไรนางก็ไม่เคยรู้ความ ไม่เคยรู้จักรักษาสิ่งล้ำค่าในมือ 

 

 

ตอนนี้เพิ่งจะได้รู้ว่าการได้อยู่พร้อมหน้ากัน มันยากเย็นและมีค่ามากเพียงใด 

 

 

ดวงตาอวี้ถังรื้นชื้น แสร้งทำทีออดอ้อนเพื่อกลบเกลื่อน แล้วนั่งลงข้างคนสกุลเฉินเพื่อบีบนวดขาให้นาง 

 

 

คนสกุลเฉินกำลังอิ่มเอิบกับความกตัญญูของบุตรสาว ทางหนึ่งก็บ่นกับนางว่า “โบราณว่าเอาไว้ คนมีวาสนามักเกิดเดือนหก คนอาภัพเดือนหกมักตาย[5]…เพราะท่านผู้เฒ่าทำกุศลบุญไว้มากมาย…จึงโชคดีที่นายท่านทั้งสองอยู่พร้อมหน้า ใกล้สิ้นยังมีบุตรชายอยู่ข้างๆ ทว่าก็โชคร้ายเหลือเกิน คนผมขาวต้องส่งคนผมดำ เพราะนายท่านใหญ่มาจากไปก่อน…” 

 

 

อวี้ถังฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา กำลังนึกถึงสวนป่าแลไร่ชา ถนนแลท่าเรือ ที่เขียนคำว่า ‘เผย’ ติดไว้ทุกหนทุกแห่ง นางคิดอย่างทอดถอนใจว่า หรือเป็นเพราะว่าสกุลเผยล้วนแต่ทำทานสร้างกุศล? 

 

 

ด้านนอกพลันมีเสียงโหวกเหวกดังลอดเข้ามา 

 

 

คนสกุลเฉินกับอวี้ถังพากันชะงักกึก 

 

 

อวี้ถังนึกถึงคำของจี้ต้าเหนียง จึงกระซิบบอกมารดาว่า “ท่านแม่นั่งอยู่ก่อน ข้าไปดูเองเจ้าค่ะ!” 

 

 

————————————————————- 

 

 

 

 

 

[1]อู่ฟาง คือ ห้องเล็ก 2 ห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องโถงใหญ่ 

 

 

[2]ควบคุมฮ่องเต้สั่งการใต้หล้า หมายถึง แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน 

 

 

[3]อู่ฝู คือ สัญลักษณ์มงคลของจีน หมายถึงความสุขทั้งห้าประการ ได้แก่ อายุมั่นยืนยาว มั่นคงมั่งคั่งร่ำรวย สุขภาพพลานามัยแข็งแรง ประพฤติตนในกรอบศีลธรรมอันดี และตายอย่างสงบสุข 

 

 

[4]เซียงฝาง เป็นห้องที่อยู่ด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออกของจวน 

 

 

[5]คนมีวาสนามักเกิดเดือนหก คนอาภัพเดือนหกมักตาย อธิบายได้ว่า เดือนหกเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวสาลี เดือนแปดเก็บเกี่ยวข้าวโพด เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวอดอยาก ทั้งเดือนหกอากาศเริ่มอบอุ่น ไม่ต้องทนรับลมหนาว จึงนับว่าเด็กที่เกิดเดือนหกมีโชควาสนา แต่ในทางกลับกัน อากาศที่เริ่มอบอุ่นจะทำให้ศพเน่าเปื่อยและส่งกลิ่นเหม็นเร็วขึ้น ครอบครัวมักตั้งศพไว้เพียงสามวันแล้วฝังทันที ไม่มีดูฤกษ์เลือกยาม ทั้งชาวไร่ชาวนามักวุ่นวายกับการเก็บเกี่ยว พิธีศพจึงเป็นอย่างลวกๆ และเร่งร้อน นับว่าคนที่ตายเดือนหกช่างอาภัพยิ่ง