นางบอกว่าจะไปดู ทว่าเพราะไม่รู้ด้านนอกสถานการณ์เป็นอย่างไร อวี้ถังถึงผลักหน้าต่างออกไปแล้วแอบมองผ่านช่อง
ในลานไร้ซึ่งผู้คน
เสียงเอะอะน่าจะดังมาจากด้านนอกลานเรือนโน่น
อวี้ถังกำลังลังเลว่าจะออกไปดูดีหรือไม่ ก็เห็นหญิงรับใช้ห้าหกคนกับสาวใช้เจ็ดแปดคน รุมล้อมฮูหยินสองคนเดินตรงเข้ามา
พวกหญิงรับใช้กับสาวใช้ล้วนสวมเสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ย[1]สีน้ำเงิน ประดับดอกไม้ผ้าสีขาวขนาดเท่าปากจอกสุราเอาไว้
ฮูหยินสองท่านอยู่ในช่วงวัยบุปผาผลิบาน รูปร่างสูงโปร่ง คนหนึ่งแต่งขาวทั้งชุด มีเพียงตุ้มหูไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัวห้อยอยู่หนึ่งคู่ อีกคนหนึ่งใส่เสื้อตัวบนสีขาวอมเงินที่ตัดจากผ้าไหมหังโจวลายตรง สวมกับกระโปรงร้อยจีบสีเขียว บนศีรษะปักปิ่นหินเขียวเลี่ยมทองแดงสองอัน ข้อมือสองข้างมีกำไลหยกสีเขียวแวววาวอยู่ฝั่งละวง
“พวกเจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้” อวี้ถังเห็นฮูหยินที่ใส่เสื้อผ้าไหมหังโจวสั่งพวกหญิงรับใช้กับสาวใช้เสียงเย็นเยียบ “ห้ามให้ใครเข้ามาได้ล่ะ!”
หญิงรับใช้และสาวใช้ต่างหยุดฝีเท้าลงอย่างพร้อมเพรียง ย่อเข่าลงครึ่งหนึ่งคล้ายคารวะ แล้วตอบว่า “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม
ฮูหยินเสื้อผ้าไหมหังโจวลากแขนฮูหยินที่แต่งขาวทั้งตัวเดินเข้ามาทางอวี้ถัง
ไม่รู้ว่าฮูหยินสองคนนี้คิดจะทำอะไร?
อวี้ถังคาดเดาไม่ออก
ทว่ามองดูก็รู้ว่าฮูหยินทั้งสองมาจากสกุลที่สูงส่ง
หากว่าเป็นแขกของสกุลเผยฉะนั้นต้องพักผ่อนอยู่ในห้อง สกุลเผยควรจะจัดหญิงรับใช้และสาวรับใช้ให้คอยนำทางอยู่ข้างหน้ามิใช่หรือ?
หรือเป็นคนสกุลเผย? เพราะว่าเห็นจี้ต้าเหนียงเลยคิดมาหาเรื่องพวกนาง…พวกนางสกุลอวี้คงไม่ได้หน้าใหญ่ปานนั้น?
หรือพวกนางกำลังหาเรือนเงียบๆ เพื่อคุยเรื่องลับๆ กัน?
ขณะที่อวี้ถังกำลังคิดไม่ตก ฮูหยินทั้งสองก็จูงมือกันมาถึงหน้าบันไดห้องเซียงฝางแล้ว อวี้ถังจึงมองเห็นหน้าตาของทั้งคู่ได้ชัดเจน
ฮูหยินที่สวมเสื้อผ้าไหมหังโจวผู้นั้นมีรูปหน้ายาว คิ้วทรงใบหลิว จมูกทรงเซวียนต่าน[2] ริมฝีปากอิงเถา[3] รับกับโครงหน้าสละสลวยดั่งภาพวาดพู่กัน ทว่าดวงตาแข็งกร้าว สีหน้าซีดเซียว
ส่วนอีกคนที่อยู่ในชุดขาวไว้ทุกข์ ดวงหน้าเรียวยาว ดวงตาดั่งผลซิ่งแดงก่ำทั้งสองข้าง สีหน้าขาวซีดไม่ต่างกัน
สิ่งที่ผิดจริยธรรมอย่าฟัง สิ่งที่ผิดจริยธรรมอย่าพูด
อวี้ถังพลันรู้สึกเสียใจที่ตนไม่ส่งเสียงออกไปก่อนหน้านี้ เพื่อให้ฮูหยินทั้งสองรู้ว่าเรือนน้อยหลังนี้ยังมีผู้อื่นอยู่ด้วย ทว่ายังไม่ทันให้นางได้แก้ไข ฮูหยินที่สวมเสื้อผ้าไหมหังโจวก็เปิดปากตำหนิฮูหยินที่สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวเสียแล้ว “เจ้าเลอะเลือนเพียงนี้ได้เช่นไร? เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีควรจะรีบหาทางส่งข่าวให้ข้ากับพี่ชายเจ้าสิ แล้วดูเจ้า มาร้อนใจเอาตอนนี้ยังมีประโยชน์หรือ? เจ้าสามใช้คำสั่งเสียของพ่อสามีเจ้ามาเป็นเกราะกำบัง พวกเราจะคัดค้านก็ไม่ทันเสียแล้ว!”
เจ้าสาม?
พ่อสามี?
อวี้ถังพลันมึนงง
ฮูหยินคนที่ใส่ชุดไว้ทุกข์สีขาวคือนายหญิงใหญ่ของสกุลเผย?
ส่วนฮูหยินที่ใส่เสื้อผ้าไหมหังโจวคือพี่สะใภ้ฝั่งสกุลมารดาของนายหญิงใหญ่?
พวกนางกำลังแอบนินทาเรื่องที่นายท่านสามจะขึ้นเป็นผู้นำสกุลหรือ?
อวี้ถังถูกการเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดฝันทำให้สับสน จนขนลุกตั้งไปทั้งตัว
พวกสกุลใหญ่และสูงส่งเช่นนี้ ไม่ว่าในจวนจะมีเรื่องสกปรกเพียงใด แต่ภายนอกก็ต้องตีหน้าเป็นลูกหลานกตัญญู พี่น้องรักใคร่ปรองดองเอาไว้อยู่เสมอ
เห็นชัดว่านายหญิงใหญ่เผยผู้นี้มีเรื่องจะสนทนากับคู่สะใภ้ของตน
นางต้องมาเจอเรื่องลับๆ เช่นนี้ แล้วนางกับมารดาจะถูกฆ่าปิดปากหรือไม่หนอ?
อวี้ถังรู้สึกร้อนรน พลันหมุนตัวไปหามารดาแล้วทำมือ ‘เงียบเสียง’ ส่งให้นาง
คนสกุลเฉินก็แปลกใจ ไม่รอให้นางเอ่ยปากถาม เสียงของนายหญิงใหญ่เผยก็ดังลอดเข้ามา “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าเลี้ยงงูพิษที่จะแว้งกัดข้าเอาไว้? ดูตอนแรกสิ เขาดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง ข้าก็คอยช่วยพูดกับท่านผู้เฒ่าเผยและท่านแม่เฒ่าให้ เขาไม่ตั้งใจเล่าเรียน ก็เป็นข้าที่ไปขอร้องให้ท่านพ่อช่วยสอนเขาด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นชื่อเขาจะติดอยู่บนป้ายประกาศสอบผ่านซู่จี๋ซื่อได้หรือ? แล้วก็เป็นเขานั่นแหละที่บอกว่าจะแต่งกับสตรีเชื่อฟังกตัญญู พี่สะใภ้ฝั่งมารดาของท่านถูกใจเขา เขาก็เอาแต่บ่ายเบี่ยง หากมิใช่เพราะข้า เขาจะสอบผ่านเป็นซู่จี๋ซื่อ ได้เป็นเจิ้งกวนหกกรมอย่างราบรื่นได้เหมือนทุกวันนี้รึ?”
“เอาเถอะ เอาเถอะ!” พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เรื่องที่ผ่านมาแล้ว จะยกขึ้นมาพูดอีกทำไม? พูดไปพูดมา ก็เพราะเขาคิดว่าสกุลฝั่งมารดาข้าต่ำต้อยเกินไป คนเดินขึ้นที่สูง น้ำไหลลงที่ต่ำ นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน หากจะโทษ ก็โทษที่พี่น้องฝั่งมารดาข้าไม่เอาไหน ไม่อาจสอบผ่านจนเป็นบัณฑิตได้”
ถึงขนาดได้ฟังเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้
อวี้ถังกับมารดาหันมาสบตากัน แม้แต่หายใจออกแรงๆ ยังไม่กล้า
“เรื่องนี้จะโทษพี่สะใภ้ได้อย่างไรกัน!” นายหญิงใหญ่เผยคล้ายว่าพูดถึงเรื่องนี้ก็โมโหยิ่งกว่าเก่า “ต้องโทษที่เจ้าสามไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่นเอง…”
แม้น้ำเสียงพี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่จะไม่ได้กล่าวโทษ แต่ความจริงก็คงอัดอั้นอยู่ในใจมานานแล้ว พอได้ฟังก็หัวเราะเสียงเย็นพูดแทรกนายหญิงใหญ่เผยว่า “คงมีแต่เจ้าที่คิดว่าเขาไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่น! แผนการของเขาวางเอาไว้อย่างแยบยล ผลักไสสกุลเราออก แล้วหันหน้าไปหาสกุลหลีโน่น”
“สกุลหลี?” นายหญิงใหญ่เผยร้องตกใจ “สกุลของหลีซวิ่นที่เป็นเจ้ากรมพิธีการ และมหาบัณฑิตหอเหวินหยวน?”
“นอกจากสกุลหลีนั้น เจ้าคิดว่ายังมีสกุลหลีไหนที่ทำให้เจ้าสามมองเห็นในสายตาได้อีก?” พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยพูดประชดประชัน “ดูท่าเรื่องนี้เจ้าจะไม่รู้อะไร แต่ก่อนข้าก็บอกว่าเจ้าโง่งม ให้คอยระวังเจ้าสามเอาไว้ เจ้าก็ไม่ยอมฟัง ตอนนี้รู้หรือยังล่ะว่าเขาร้ายกาจเพียงใด? ท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าลำเอียงจะตายไป! พูดถึงสกุลหลีทางนั้น คุณหนูสามสกุลหลีกับถงกวนของพวกเราอายุไล่เลี่ยกัน หากอ้างว่าทำเพื่อสกุลเผย ก็คงต้องให้ถงกวนแต่งงานเชื่อมไมตรีกับสกุลหลี”
“พี่สะใภ้ ท่านคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว” นายหญิงใหญ่เผยพูดอย่างไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ “ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย”
พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยร้องเหอะทีหนึ่ง เอ่ยว่า “เรื่องอื่นข้าอาจจะฟังมาผิด แต่เรื่องนี้ไม่มีทางพลาดแน่ ฮูหยินหลีสนิทกับทางสกุลข้า นางแอบมาพบข้า เพราะต้องการถามเรื่องในเรือนของเจ้าสาม ข้ามีหรือจะเข้าใจผิด!”
นายหญิงใหญ่สกุลเผยสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอด
พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยบอกต่อว่า “ท่านผู้เฒ่าเผยดันมาด่วนจากไป บ้านรองกับบ้านสามก็ต้องไว้ทุกข์สามปี เรื่องหลังจากสามปีนี้ใครจะไปรู้ได้? ตอนนี้ที่ต้องกังวลคือตำแหน่งผู้นำสกุลของเจ้าสาม นิสัยของเจ้าสามเจ้าก็รู้ดี เคยยอมลงให้ใครเสียที่ไหน พี่ชายเจ้าดีกับเขาถึงเพียงนั้น แล้วเขาล่ะ จะหักหลังกันก็ทำได้ง่ายๆ ไม่สงสารเห็นใจกันสักนิด หากว่าเขานั่งตำแหน่งผู้นำสกุลได้มั่นคงเมื่อไร บ้านใหญ่คงต้องจบเห่แน่”
นายหญิงใหญ่ถามอย่างสงสัยว่า “เขาจะขัดขวางไม่ให้ถงกวนของข้าไปสอบขุนนางได้รึ? ท่านพ่อพูดไว้ว่าถงกวนของเราเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดในการเล่าเรียน ขอเพียงถงกวนสอบได้ลำดับไม่เลว เจ้าสามจะทำอะไรพวกเราได้? สกุลเผยยังต้องพึ่งพาถงกวนของข้านำความรุ่งโรจน์มาให้สกุลสิ!”
นายหญิงใหญ่เผยนับว่ามองการณ์ไกลอยู่บ้าง
อวี้ถังได้ยินก็เริ่มคิดตามทันที
ชาติก่อน ปีที่ห้าหลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเผยสิ้นไป คุณชายใหญ่เผยก็สอบเป็นจวี่เหรินได้ ภายหลังก็สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้อีก
เพียงแต่ชาติก่อนนางเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเอาตัวรอดจากสกุลหลี่ เรื่องของสกุลเผยรู้อยู่ไม่มาก ไม่แน่ใจว่าคุณชายเผยผู้นี้ภายหลังเป็นอย่างไรต่อ
ทว่า นางได้ยินจากมารดาของหลี่จวิ้น ซึ่งก็คือคนสกุลหลินผู้เป็นแม่สามีของนางในชาติก่อน นางเคยคุยกับหลี่ตวนว่า นายหญิงใหญ่เผยมีบิดาที่รู้จักคนกว้างขวาง ทั้งยังมีพี่น้องที่ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสามด้วย คุณชายใหญ่ผู้นั้นต่อให้ไม่อาศัยสกุลเผย อนาคตก็ไม่มีทางลำบากแน่
พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยไม่คิดเช่นนั้น กล่าวว่า “เจ้าเหมือนที่แม่สามีพูดไม่มีผิด เสียแรงที่โตมาขนาดนี้ ถงกวนสามปีนี้คงต้องอยู่เมืองหลินอันเพื่อไว้ทุกข์ให้น้องเขยก่อน เมื่อเจ้าสามขึ้นเป็นผู้นำสกุล ซ้ำยังเป็นอาแท้ๆ ของถงกวน ต่อให้พ่อสามีกับพี่ชายเจ้าอยากรับเขาไปเรียนอ่านเขียนด้วย ก็ต้องให้เขาพยักหน้าเห็นด้วยจึงจะไปได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เขาตัดสินใจให้ถงกวนเล่าเรียนที่เมืองหลินอัน แล้วไม่ยอมตั้งใจสั่งสอนถงกวนให้ดี ไม่ต้องพูดถึงสามปี ต่อให้สามสิบปี ถงกวนก็อย่าคิดจะได้ลืมตาอ้าปากเลย”
พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยผู้นี้ต้องการมายุยงคนมากกว่ามาช่วยแก้ปัญหากระมัง?
อวี้ถังยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าพี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยผู้นี้เหมือนผู้ชมละครไม่ต้องกลัวตกเวที[4]มากกว่า ไม่เหมือนกำลังช่วยนายหญิงใหญ่เผยคิดหาทางออกอย่างจริงใจ
ทว่า สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยพูดถูกอยู่เรื่องหนึ่ง
ชาติก่อน คุณชายใหญ่เผยก็อาศัยอยู่ที่หลินอันตลอด กระทั่งครบช่วงไว้ทุกข์ ก็ไม่ได้เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ แต่เพราะบิดาของนายหญิงใหญ่ล้มป่วยหนัก ส่งจดหมายมาบอกว่าก่อนตายอยากจะเจอหน้าคุณชายใหญ่เผยสักครั้ง คุณชายใหญ่เผยถึงได้ออกจากหลินอันไป จากนั้นก็ใช้ทะเบียนราษฎร์เมืองหลวง จนสอบเป็นจวี่เหรินได้
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเป็นดังที่พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยพูดเอาไว้ไม่มีผิด!?
อวี้ถังรู้สึกอีกครั้งหนึ่งว่า สกุลเผยช่างยากแท้หยั่งถึง คนธรรมดาอย่างพวกนางควรจะหลบไปให้ไกลๆ ไว้เป็นดี
“พี่สะใภ้ ท่านว่าทำอย่างไรดีเล่า?” นายหญิงใหญ่เผยได้ฟังที่พี่สะใภ้พูดก็เอ่ยอย่างร้อนใจว่า “หากไม้กลายเป็นเรือแล้ว เรายังจะกระโดดออกมาขัดขวางคำสั่งเสียของท่านผู้เฒ่าได้หรือ? คนอื่นคงเอาเราไปพูดว่าพวกเราคิดแย่งสมบัติกับน้องสามี! มีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของถงกวนมัวหมอง?”
“เหตุใดเจ้าไม่เข้าใจเสียทีนะ!” พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยกล่าวเสียงเหี้ยมว่า “มิใช่ยังมีนายท่านรองอยู่รึ? ต่อให้ตำแหน่งผู้นำสกุลจะมาไม่ถึงพวกเรา แต่จะยอมถอยให้เจ้าสามง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร!”
“เป็นไปไม่ได้หรอก!” นายหญิงใหญ่เผยกล่าว “อารองเป็นคนซื่อสัตย์และใจกว้าง เขาไม่มีทางออกตัวแก่งแย่งแน่ อีกอย่าง การแย่งชิงสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ส่งผลดีอะไรต่อเขา?”
พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยเอ่ยว่า “เขาคงไม่ออกหน้าแก่งแย่ง แต่เขาออกมาพูดสิ่งที่เป็นธรรมได้นี่นา! สกุลเผยไม่ใช่ว่ามีอีกสองสายรึ? นายท่านอี้กับนายท่านวั่งเล่า ไม่แน่ก็อาจจะมีอะไรที่อยากพูดก็ได้? เจ้าไม่อยากได้สมบัติกองโตของสกุลเผย แต่นายท่านอี้กับนายท่านวั่งจะไม่เสียดายรึ? พวกเขาอีกสองสายไม่เหมือนพวกเจ้าที่ผลิตบัณฑิตออกมาได้ทุกรุ่น ถ้าเป็นข้า ของที่ข้าไม่ได้ คนอื่นก็อย่าคิดจะฉกไปได้ง่ายๆ เลย”
นายหญิงใหญ่เผยเงียบเสียงไปพักใหญ่
พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยก็ไม่ได้เร่งเร้านาง ไม่รู้ว่าทำอะไรกันอยู่ ใต้ชายคาเงียบเชียบ ไร้เสียงพูดคุย
อวี้ถังกับมารดากลั้นหายใจนิ่ง กลัวว่าจะถูกคนพบเข้า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร นายหญิงใหญ่เผยก็เอ่ยเสียงต่ำว่า “พี่สะใภ้ เรื่องนี้ข้าจะเชื่อท่าน!”
อวี้ถังได้ยินเสียงเจือความพอใจและยินดีของพี่สะใภ้นายหญิงใหญ่เผย เอ่ยว่า “เจ้าควรจะเชื่อแต่แรกแล้ว! เมื่อก่อนยังมีน้องเขยคุ้มครองเจ้า เจ้าก็เลยไม่ต้องสนใจอะไร แต่มาวันนี้ น้องเขยไม่อยู่แล้ว คิดเสียว่าทำเพื่อหลานทั้งสองคน เจ้าจะต้องเข้มแข็งกว่านี้ถึงจะถูก!”
นายหญิงใหญ่เผยส่งเสียง “อืม” คำหนึ่ง
พี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยยังกล่าวต่อว่า “เจ้าเอียงหูมาทางนี้ ข้าจะบอกว่าควรทำเช่นไร!”
อวี้ถังมองเห็นศีรษะของนายหญิงใหญ่เผยกับพี่สะใภ้ของนางสุมรวมอยู่ด้วยกัน
ส่วนพูดอะไรกันบ้างนั้นนางได้ยินไม่ชัดเจน
นับหรือไม่ว่าตนได้เป็นประจักษ์พยานเห็นช่วงเวลาดำมืดของนายหญิงใหญ่เผยแล้ว?
อวี้ถังส่ายหน้า
ไม่รู้ว่าบ้านใหญ่กับนายท่านสามขัดแย้งเรื่องอันใดกัน ทำให้ระหว่างพวกเขาต้องตัดสินแพ้ชนะให้ชัดเจนถึงเพียงนี้ แต่ก็น่าเสียดาย ที่สุดท้ายบ้านใหญ่ก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี
เป็นนาน กว่านายหญิงใหญ่เผยกับพี่สะใภ้ของนางจะเดินออกไป อวี้ถังกับมารดาต่างถอนหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งอก คนสกุลเฉินกำชับบุตรสาวด้วยความกังวลว่า “สิ่งที่เจ้าได้ยินต้องเก็บไว้ในท้องเท่านั้น เรื่องภายในจวนเช่นนี้ พ่อตาบอกตัวเองมีเหตุผล แม่ยายบอกตัวเองมีเหตุผล[5] พวกเราต่างเป็นคนนอก ไม่อาจยื่นมือเข้าไปวุ่นวายเรื่องในจวนผู้อื่นได้”
อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก
คนสกุลเฉินยังคงไม่วางใจ ให้อวี้ถังเอ่ยคำสาบานพร้อมแช่งชักตนเองไปรอบหนึ่ง ถึงได้สบายใจและยอมปล่อยอวี้ถังไป
———————————————————–
[1]เสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ย คือ เสื้อกั๊กที่ไม่มีแขนและไม่มีคอเสื้อ สาบเสื้อตรง ยาวถึงเข่า
[2]จมูกทรงเซวียนต่าน คือ สันจมูกสูงปานกลาง ปีกจมูกโค้งได้รูป เห็นเป็นโครงชัดเจน ปลายจมูกมนกลมอวบอิ่ม สันจมูกแคบเข้า เชื่อว่าเป็นทรงจมูกของผู้มีวาสนาดี
[3]อิงเถา คือ เชอร์รี่
[4]ผู้ชมละครไม่ต้องกลัวตกเวที หมายถึง เป็นแค่ผู้ชมจึงไม่กลัวว่าตนจะตกลงจากเวที ใช้เสียดสีคนที่ไม่คิดถึงจิตใจผู้อื่น
[5]พ่อตาบอกตัวเองมีเหตุผล แม่ยายบอกตัวเองมีเหตุผล เปรียบได้ถึง ต่างคนต่างก็บอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก