แต่อย่างไร อวี้ถังกับมารดาก็เหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม สถานที่แห่งนี้ไม่อาจรั้งอยู่ได้นาน สองคนหารือกันเสร็จ คิดว่าจะบอกกับเล่ยจือไว้สักคำ ว่าพวกตนจะล่วงหน้าไปยังสถานที่จัดเลี้ยงอาหารเจของสกุลเผยก่อน
ใครจะรู้ว่าตอนที่พวกนางเดินออกมา กลับเจอบ่าวกลุ่มหนึ่งกำลังย้ายหีบลังกันอยู่
ฟังจากน้ำเสียง เป็นฮูหยินหยางพี่สะใภ้ของนายหญิงใหญ่เผยที่มาร่วมแสดงความเสียใจ ตอนนี้กำลังย้ายข้าวของเข้าไปพักในเรือนซึ่งห่างจากตรงนี้ไม่ไกล
มิน่าเมื่อครู่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย
คนสกุลเฉินกับอวี้ถังกลัวว่าจะเป็นจุดสนใจ จึงตามหาเล่ยจือเงียบๆ แล้วบอกลานาง
เล่ยจือนึกว่าพวกนางสองแม่ลูกรู้สึกว่าเรือนนี้เงียบเหงาเกินไป คิดว่านี่ก็ใกล้ถึงเวลากินข้าวแล้ว จึงทิ้งงานในมือ แล้วพาพวกนางไปที่เรือนรับรองซึ่งจัดอาหารกลางวันไว้
เที่ยงตรงของฤดูร้อน แสงอาทิตย์สาดแสงทิ่มแทงตา ทว่าต้นไม้ใหญ่สองฝั่งของระเบียงทางเดินกลับบดบังได้มิดชิด ลมเย็มโชยผ่าน สบายตัวยิ่งนัก
ด้านหน้าไกลๆ อวี้ถังเห็นบุรุษหลายคนกำลังเดินจากระเบียงทางเดินตรงเข้ามา
บุรุษที่อยู่ตรงกลาง อายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี รูปร่างสูงใหญ่ผ่าเผย สวมชุดไว้ทุกข์ สีหน้าขาวซีด สันจมูกโด่งสูง สันกรามที่เครียดเขม็งยกขึ้นเล็กน้อย แม้ท่าทีจะดูเปิดเผย ทว่ากลางหว่างคิ้วกลับแสดงอารมณ์อึมครึม
เขาคือบุรุษชุดเขียวที่นางเจอในโรงจำนำวันนั้นนี่
ดวงตาดั่งผลซิ่งของอวี้ถังเบิกกว้าง
เขา มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
นี่เป็นเรือนชั้นในของสกุลเผยนะ!
เล่ยจือวุ่นวายกับการลากชายเสื้อของอวี้ถัง พูดเสียงร้อนรนว่า “คุณหนูใหญ่อวี้ นั่นคือนายท่านสามและสหายของท่านเจ้าค่ะ ท่าน ท่านต้องหลบสักหน่อย”
นายท่านสาม?!
นายท่านสามสกุลเผย?!
ไม่น่าใช่หรอก?!
อวี้ถังมองไปทางเล่ยจือ แล้วก็มองไปที่คนตรงหน้า คิดว่าตัวเองหูตาฝ้าฟางไปแล้ว
เล่ยจือเห็นว่าสายตาของอวี้ถังไม่มีหลบเลี่ยง เอาแต่จ้องเขม็งที่นายท่านสามตรงๆ ก็ร้อนใจจนเหงื่อผุดเต็มหน้า ไม่อาจมัวสนใจเรื่องมารยาทได้อีก จึงลากอวี้ถังไปหลบที่มุมหัวโค้งของระเบียงทันที
คนสกุลเฉินเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ขึ้นมายืนบังอวี้ถังไว้
เผยเยี่ยนไม่ได้แลตามอง เพียงเดินผ่านระเบียงตรงหน้าไป
ทว่าเป็นบุรุษที่เดินตามเขาอยู่ข้างหลัง หันหน้ากลับมามองอวี้ถังอยู่หลายที
อวี้ถังไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ นางยังตกอยู่ในความสะพรึงที่ว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นก็คือนายท่านสามสกุลเผย
รอจนเล่ยจือพานางเดินต่อไปเบื้องหน้า นางก็ยังถามย้ำกับเล่ยจืออีกรอบอย่างทำใจเชื่อไม่ลงว่า “นายท่านสาม เหตุใดถึงอายุน้อยขนาดนี้?”
เล่ยจือตอบว่า “นายท่านสามเป็นลูกหลงของท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ!”
นางรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นลูกหลง!
แต่นางไม่รู้ว่าเขาจะอายุน้อยถึงเพียงนี้!
นึกถึงตอนแรก นางยังเดาว่าเขาเป็นคุณชายของสกุลสาขาอีกสองสายอยู่เลย
เชื่อว่าเขาต้องเป็นญาติของสกุลเผยแน่
มิน่าตอนนั้นเขาถึงทำหน้าไม่พอใจ
อวี้ถังหน้าขึ้นสี เอ่ยว่า “นายท่านสามของเจ้าสอบผ่านเป็นซู่จี๋ซื่อได้ตอนอายุเท่าไร?”
เล่ยจือตอบว่า “ยี่สิบเอ็ดเจ้าค่ะ”
จะโทษนางก็ไม่ได้
บิดานางตอนที่อายุยี่สิบเอ็ดยังเป็นถงเซิงอยู่เลย
อวี้ถังทำปากยู่
คนสกุลเฉินเอ่ยปรามอวี้ถังว่า “ห้ามเสียมารยาท! ตั้งใจเดินไปก็พอ”
มาวิจารณ์คนของสกุลเผยในจวนสกุลเผย จะไร้มารยาทเกินไปแล้ว
อวี้ถังได้แต่ปิดปากเงียบ
คนสกุลเฉินยังไม่วางใจ พูดต่อว่า “เจ้ารับปากข้าแล้ว จะไม่ก่อเรื่อง ถ้าเจ้ายังอยากรู้ไม่เลิก ก็ข่มกลั้นเอาไว้เสีย”
อวี้ถังผงกศีรษะอย่างจนใจ
เล่ยจือฟังออกว่าสองแม่ลูกพูดจาเป็นนัย จึงถามอย่างวิตกว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?”
คนสกุลเฉินตอบว่า “ไม่มี ไม่มี เจ้าเด็กคนนี้ ก็แค่อยากรู้อยากเห็นไปทั่วน่ะ”
นัยน์ตาของเล่ยจือมีกระแสขบขันพาดผ่าน เอ่ยว่า “คนที่ได้เจอหน้านายท่านสามสกุลเราล้วนแต่ตื่นตะลึงทุกคน คุณหนูใหญ่อวี้มิใช่คนแรกหรอกเจ้าค่ะ” นางพูดไป ก็หันไปมองข้างหลังทีหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่านสามน่าจะไปเยี่ยมฮูหยินหยางเจ้าค่ะ”
“เยี่ยมฮูหยินหยาง?” อวี้ถังทวนคำด้วยสีหน้าประหลาด
นายท่านสามสกุลเผยกับฮูหยินหยางมีอะไรให้คุยกันรึ?
“ก็คือพี่สะใภ้ฝั่งมารดาของนายหญิงใหญ่เผยเจ้าค่ะ” เล่ยจือตอบ “พี่น้องฝั่งมารดาของนายหญิงใหญ่เผยเป็นทงเจิ้งสื่ออยู่ที่สำนักทงเจิ้ง[1]” พูดถึงตรงนี้ เล่ยจือก็หันซ้ายขวามองรอบทิศ เห็นว่าไม่มีใคร ก็เผยสีหน้าดูถูกออกมา เอ่ยว่า “เมื่อครู่ฮูหยินหยางไม่สบายเจ้าค่ะ บอกว่าจัดให้อยู่ในเรือนคงไม่ดี สั่งให้พ่อบ้านใหญ่เปลี่ยนเป็นหลังอื่น พ่อบ้านใหญ่ก็จริงๆ เลย เรื่องเล็กเท่านี้ก็ต้องรายงานให้นายท่านสามทราบ…เพราะเรื่องท่านผู้เฒ่าทำให้หลายวันนี้นายท่านสามกินดื่มอะไรแทบไม่ลงอยู่แล้ว นอนก็แทบไม่ได้นอน อารมณ์คงไม่ดีเท่าไร พ่อบ้านใหญ่โผล่พรวดพราดเข้าไป ท่านคอยดูเถอะ เดี๋ยวพ่อบ้านใหญ่ต้องถูกตำหนิแน่”
ไม่รู้นี่ใช่หนึ่งในแผนการของฮูหยินหยางหรือไม่?
อวี้ถังขบคิด
คนสกุลเฉินได้ฟังก็รู้สึกหวาดกลัวมาก เอ่ยเสียงแผ่วว่า “บางทีพ่อบ้านใหญ่อาจจะไม่รู้ต้องทำอย่างไรกับฮูหยินหยาง?”
“ฮูหยินหยางไม่ใช่คนเช่นนั้นเจ้าค่ะ!” เล่ยจือไม่เห็นด้วย “พ่อบ้านใหญ่ชอบถือว่าตนอาวุโสกว่าแล้วเที่ยวดูถูกผู้อื่น ทว่านายท่านสามเกลียดคนแบบนี้ที่สุด แต่ก่อนเขายังมีท่านแม่เฒ่าคอยคุ้มครอง วันนี้ท่านแม่เฒ่าล้มป่วยลงเพราะท่านผู้เฒ่าแล้ว ใครก็ไม่มีอำนาจไปสั่งเขา! เขาก็ไม่ดูเสียบ้างว่านี่มันเป็นเวลาเช่นใด!”
นี่จะร้องละครบทไหนกันอีก?
คนสกุลเฉินกับอวี้ถังไม่สะดวกจะออกความเห็น คนสกุลเฉินเออออกับเล่ยจือไปสองสามคำ ก็มาถึงเรือนรับรองที่จัดเลี้ยงพอดี
ด้านในเรือนรับรองร้อนอบอ้าว มีคนนั่งอยู่แน่นขนัดไปหมด
อวี้ถังเห็นคนคุ้นหน้าหลายคน น่าจะเป็นบรรดาเพื่อนบ้านของนาง
อาจเพราะออกมาจากโถงเซ่นไหว้ ความรู้สึกโศกเศร้าจางหายไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนพูดคุยหัวเราะ เรือนรับรองจึงเต็มไปด้วยเสียงจอแจและความวุ่นวาย ไม่คล้ายกับงานศพ แต่เหมือนกับมีงานมงคลมากกว่า
อวี้ถังนึกถึงท่าทีเมื่อครู่ของนายท่านสามแห่งสกุลเผย แล้วนึกย้อนไปถึงความเจ็บปวดเมื่อชาติก่อนตอนที่นางได้รับข่าวการตายของบิดามารดา อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้
มีเพียงผู้เป็นครอบครัวจริงๆ เท่านั้นถึงจะเข้าใจความเจ็บปวดที่รวดร้าวในอกได้
เล่ยจือจัดให้คนสกุลเฉินกับอวี้ถังนั่งลงตรงโต๊ะแถวหลัง
ตรงนั้นค่อนข้างเงียบ ลมที่พัดผ่านเข้ามาทำให้เย็นสบายไม่น้อย คนที่นั่งร่วมโต๊ะล้วนเป็นเหล่าสตรีของครอบครัวคหบดีในชนบท หนึ่งในนั้นมีแม่นางน้อยหน้ากลมผู้หนึ่ง อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับอวี้ถัง พอเห็นนางก็ยิ้มแฉ่งส่งมาให้เป็นการทักทาย ทั้งยังจะมานั่งข้างนางอีก
อวี้ถังนึกอยู่ครึ่งวันเพิ่งจะนึกออกว่านางก็คือหม่าซิ่วเหนียง บุตรสาวของสกุลหม่าซิ่วไฉในเมืองนี่เอง
ชาติก่อนในช่วงนี้ พวกนางเล่นด้วยกันได้ดี ตอนที่นางแต่งงาน หม่าซิ่วเหนียงได้ออกเรือนไปกับถงเซิงสกุลจางแล้ว แต่ยังฝากคนให้นำกำไลเงินคู่หนึ่งที่มีมูลค่ากว่าห้าตำลึงมามอบให้เป็นของขวัญ พร้อมกับฝากคำพูดมาด้วยว่า หากมีปัญหาให้ไปหานางได้เลย
ทว่าภายหลังสกุลหลี่โหดเหี้ยมนัก นางกลัวจะพานทำให้หม่าซิ่วเหนียงลำบาก จึงไม่กล้าติดต่อไป กระทั่งก่อนจะตาย ตนก็ยังไม่เคยได้กล่าวขอบคุณนางเลยสักครั้ง
อวี้ถังกรอบตารื้นชื้น จับมือหม่าซิ่วเหนียงเอาไว้แล้วนั่งอยู่ข้างกายนาง
นายหญิงหม่าผู้เป็นภรรยาของหม่าซิ่วไฉพูดกับคนสกุลเฉินว่า “เจ้าดูเด็กสองคนนั้นสิ แทบจะรวมเป็นร่างเดียวกันอยู่แล้ว ทำเหมือนว่าพวกเราเป็นหวังหมู่เหนียงเหนียงแยกแม่น้ำ[2] จะจับแยกพวกนางออกจากกันหรืออย่างไร”
คนสกุลเฉินอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
หม่าซิ่วเหนียงถามอวี้ถังว่า “เจ้าหายไปไหนมา? เมื่อครู่ข้าตามหาเจ้าอยู่นะ?”
อวี้ถังตอบว่า “ข้าก็อยู่ในจวนนี่แหละ! แล้วเมื่อครู่เจ้าไปไหนมา? ข้าก็ไม่เห็นเจ้าเหมือนกัน”
หม่าซิ่วเหนียงบ่นอุบอิบว่า “ช่างแปลกจริงๆ”
อวี้ถังเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เอ่ยว่า “เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไร? พวกเราไม่เจอหน้ากันช่วงหนึ่งแล้ว เจ้ามัวยุ่งกับเรื่องอะไรอยู่หรือ?”
หม่าซิ่วเหนียงเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟัง
คนสกุลเฉินเห็นว่าอวี้ถังระวังปากระวังคำ ก็ค่อยวางใจลง แล้วหันไปสนทนากับนายหญิงหม่าต่อ
อวี้ถังทางนี้หูก็ฟังไปโดยที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นางกำลังคิดเรื่องนายท่านสามอยู่
ต่อให้นอนฝันนางก็คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาคือผู้นำสกุลที่ถูกเล่าลือคนนั้น
ก่อนหน้านี้นางยังกังวลแทนเขาว่าจะเลือกยืนผิดฝั่งในศึกครานี้ ใครจะไปนึกว่าเขากลับเป็นเจ้านายที่ไม่มีทางถูกเอาเปรียบแน่
ชาติก่อนเขาไม่เพียงครอบครองตำแหน่งผู้นำสกุลอย่างมั่นคง ทั้งยังบงการเหล่าพี่น้องสกุลเผยที่เป็นขุนนางอยู่ด้านนอกจนหัวปั่นไปหมด
ภายหลังสกุลเผยมีจิ้นซื่อเพิ่มมาอีกสองคน คนหนึ่งคือคุณชายใหญ่จากบ้านใหญ่ อีกคนคือคุณชายฉานจากสกุลสาขา
คุณชายใหญ่จากบ้านใหญ่นั้นถูกเขากดข่มไว้ ไม่รู้ว่าคุณชายฉานจากสกุลสาขาผู้นั้นได้รับการสนับสนุนจากเขาหรือไม่?
จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่เอาเรื่องนางที่ไปแอบอ้างบารมีของสกุลเผย นางถือว่าติดหนี้น้ำใจเขาหนหนึ่ง
เดิมคิดว่าเขาคงเป็นคุณชายจากสกุลสาขา นางก็แค่หาภาพวาดเก่าแก่สักผืนส่งไปให้เขา นับว่าเป็นการแสดงความขอบคุณแล้ว ทว่าบัดนี้เขาเป็นถึงนายท่านสามสกุลเผย ต่อให้นางหาภาพวาดโด่งดังล้ำค่ามาได้ เขาก็คงไม่เห็นในสายตา
หรือว่า ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น? นางก็ทำเป็นไม่รู้ฐานะของเขาไปเสีย?
พออวี้ถังนึกว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นคือคนที่อยู่เบื้องหลังสกุลเผยในความทรงจำของนาง ก็เหมือนกับเงามืดของนายท่านสามสกุลเผยที่ปกคลุมเมืองหลินอันเอาไว้ นางรู้สึกหวาดระแวง ต้องคอยระวังตัว ราวกับว่าอันตรายอาจจะมาโผล่อยู่ตรงหน้าได้ทุกเวลา
เฮ้อ นายท่านใหญ่เผยย่อมมีเรื่องให้คิดมากมาย ขอให้เขาลืมนางกับเรื่องที่นางเคยทำไปให้หมดด้วยเถอะ
ทว่า สีหน้าของเขาอึมครึมกว่าตอนที่นางเจอครั้งก่อนอยู่มาก หนแล้วที่เจอเขาให้ความรู้สึกเย็นชาและห่างเหินกับนาง ทว่าตอนนี้กลับให้อารมณ์ดุร้ายและใจร้อน คล้ายว่าพร้อมจะระเบิดและสูญเสียสัมปชัญญะได้ตลอด
สาเหตุเพราะบิดาที่จากไปหรือ?
ตอนที่บิดามารดาของนางสิ้น นางก็เสียใจมาก แต่ไม่เหมือนกับเขาแบบนี้
การจากไปของท่านผู้เฒ่าเหมือนจะเอาความสงบและความสุขุมบนร่างเขาจากไปพร้อมกันด้วย
ตอนที่บิดามารดานางจากไป สิ่งที่ทะลักท่วมสำหรับนางก็คือความเจ็บปวด
นายท่านสามกับท่านผู้เฒ่าคงต้องมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง
อวี้ถังลอบทอดถอนใจ จู่ๆ พลันรู้สึกว่าหม่าซิ่วเหนียงกำลังเขย่ามือนาง ทั้งเอ่ยว่า “ข้าคุยกับเจ้าอยู่นะ เจ้าได้ฟังหรือไม่? คิดอะไรอยู่อย่างนั้นรึ?”
นางรีบดึงสติกลับมา เอ่ยว่า “ขออภัย เมื่อครู่ข้าคิดเรื่องอื่นอยู่ เจ้าจะบอกอะไรข้าหรือ ขอรอฟังอยู่นะ!”
หม่าซิ่วเหนียงไม่ได้เซ้าซี้ พูดว่า “ข้าบอกว่าอีกไม่เกินสิบวันจะมีงานที่วัดเจาหมิง เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?”
ถ้านางไม่พูดถึง อวี้ถังคงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ชาติก่อน คุณชายรองสกุลหลี่ ซึ่งก็คือหลี่จวิ้น ได้ยินว่าเขาได้เจอกับนางที่วัดเจาหมิงเป็นครั้งแรก เขาตกหลุมรักนางทันที จะเป็นจะตายให้ได้ หากไม่ใช่นางจะไม่มีวันแต่งเด็ดขาด สกุลหลี่พิจารณาแล้วว่าเขาไม่ใช่บุตรชายที่จะมาสืบทอดสกุล จึงกล้ำกลืนตอบตกลงงานแต่งนี้ ให้แม่สื่อมาทาบทามเรื่องหมั้นหมาย
ชาตินี้ นางไม่ต้องการเกี่ยวพันใดๆ กับสกุลหลี่อีก
“ข้าไม่ไปหรอก” อวี้ถังตอบ “เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ข้าสุขภาพไม่ดี ข้าต้องอยู่ที่เรือนเป็นเพื่อนท่านแม่”
หม่าซิ่วเหนียงพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจ ทว่าคนสกุลเฉินที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ กลับพูดขึ้นว่า “ไม่ง่ายที่ซิ่วเหนียงจะชวนเจ้าออกไปข้างนอก เจ้าก็ไปเถอะ! ที่เรือนยังมีป้าเฉินอยู่อีกคน”
ชาติก่อน ท่านแม่ก็โน้มน้าวนางให้ออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกเช่นนี้
อวี้ถังกรอบตาเริ่มชื้นๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ไป อากาศร้อนเหลือเกิน ข้าอยู่ที่เรือนดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นลมแดดไป”
นายหญิงหม่าได้ฟัง ก็อบรมหม่าซิ่วเหนียงไปยกหนึ่งว่า “เจ้าดูอาถังเป็นตัวอย่างสิ เจ้าก็อยู่เรือนเสีย ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น”
“ท่านแม่!” หม่าซิ่วเหนียงเหมือนถูกฟ้าผ่า นางออดอ้อนอยู่ครึ่งวัน นายหญิงหม่าก็ไม่ยอมใจอ่อน
อวี้ถังหน้าเสีย เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้ามาเล่นที่เรือนข้าก็แล้วกัน! งานวัดมีอะไรน่าสนุกกัน? ร้อนจะตายไป น้ำแข็งยังไม่ทันกินก็ละลายเต็มมือแล้ว เจ้ามาที่เรือนข้าดีกว่า ข้าจะให้ท่านพ่อไปซื้อน้ำแข็งให้ แล้วก็มีแตงหวานร้านจิ่งสุ่ยไพ่ด้วย”
หม่าซิ่วเหนียงตกลงทันทีด้วยความตื่นเต้น นางดีใจจนเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้นางฟังไม่หยุด
————————————————————-
[1]สำนักทงเจิ้งเป็นหน่วยงานส่วนกลางที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นฝ่ายสนับสนุน มีหน้าที่ดูแลรับส่งเอกสารราชการและหนังสือทูลเกล้าต่างๆ
[2]หวังหมู่เหนียงเหนียง เป็นเทวีตามศาสนาชาวบ้านจีนซึ่งปรากฏมาแต่โบราณกาล ได้รับความนิยมและเชื่อถือว่าเป็นผู้ประทานอายุยืนยาว มั่งมีเงินทองและความสงบสุข