ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 7 ความรู้สึกนึกคิดของเยี่ยจิ่ง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ผู้พูดไร้ซึ่งเจตนา ทว่าผู้ฟังกลับใส่ใจ

เยี่ยนจ้าวเกอพูดไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่กลับทำให้เยี่ยจิ่งที่สุขใจเมื่อได้กลับบ้านรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก

แม้ทุกคนจะถูกรัศมีของเยี่ยนจ้าวเกอบดบัง ทว่าก็ยังดูสนุกสนาน การที่พวกเขาได้ออกจากเขากว่างเฉิงมายังเกาะนภาตะวันออก และอาณาจักรถังตะวันออกนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกว่า แท้จริงพวกเขาก็เป็นบุตรแห่งสวรรค์เช่นเดียวกัน

ในฐานะที่เป็นศิษย์แห่งเขากว่างเฉิง หนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของยุคนี้ เดิมทีพวกเขาก็เป็นบุคคลชั้นยอดที่ผ่านการทดสอบคัดเลือกจากสถานที่ทรงอำนาจต่างๆ เฉกเช่นอาณาจักรถังตะวันออก แล้วจะมีใครฝีมือย่ำแย่บ้างเล่า

เพียงแต่ทุกคนจะไม่คิดลำพองใจ เพราะทุกครั้งที่ในใจเกิดความรู้สึกเช่นนั้น แผ่นหลังของบุรุษสวมชุดสีขาว คลุมทับด้วยเสื้อนอกสีน้ำเงิน ท่าทางสบายๆ ที่อยู่ด้านหน้าสุดผู้นั้น จะทำให้ความลิงโลดในใจของพวกเขาสงบลงได้ทันที

เมื่อลูบอาวุธวิเศษของตนแล้ว ในใจก็ฮึกเหิมเกิดความคิดที่จะมุ่งพัฒนาตนเองให้เก่งกาจยิ่งขึ้น

ทหารองครักษ์ในราชวังแห่งอาณาจักรถังตะวันออก มีเพียงคนที่เก่งกาจที่สุดในบรรดาผู้ที่มีวรยุทธ์เทียบเท่ากับพวกเขาเท่านั้น ถึงจะมีอาวุธสงครามได้คนละชิ้น…

แน่นอนว่าหากเทียบกับเยี่ยนจ้าวเกอ พวกเขาไม่มีทางเทียบได้

บุคคลที่เยี่ยนจ้าวเกอจะเข้าพบในตอนนี้ คือราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรถังตะวันออก หนึ่งในสามมหาอำนาจแห่งเกาะนภาตะวันออกที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขากว่างเฉิง ถือเป็นราชาผู้โที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุด

ส่วนผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออก ถือเป็นตัวแทนของเขากว่างเฉิง ที่เป็นที่เคารพสูงสุดของอาณาจักร มีตำแหน่งสูงยิ่งกว่าผู้อาวุโสชุย ที่เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่งลากลงจากตำแหน่งไปก่อนหน้านี้

ถึงแม้ในนอกต่างกัน วรยุทธ์มีสูงต่ำ อำนาจมีมากมีน้อย ทว่าในบทบัญญัติของสำนัก ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจเช่นผู้อาวุโสชุย เมื่อออกจากสำนักมาอยู่ที่เกาะนภาตะวันออก ก็มีหน้าที่คอยคุมการณ์ในเมืองหรือพื้นที่สำคัญ รวมถึงดูแลการขุดค้นและใช้งานทรัพยากรต่างๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสำนักไว้

โดยผู้อาวุโสคุมการณ์จะคอยคุมการณ์อยู่ที่พระราชวัง สำนัก หรือขุมกำลังใหญ่ๆ เป็นที่เคารพร่วมกันของที่แห่งนั้น เพื่อคอยรับประกันผลกระทบจากอิทธิพลของเขากว่างเฉิง และการเก็บเกี่ยวในแต่ละวัน รวมถึงรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน

หลังจากที่เข้าเมืองและนัดแนะจุดรวมพลกันแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็เข้าวังไปผู้เดียว ส่วนเยี่ยจิ่งและคนอื่นต่างก็แยกตัวกันออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ในเมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก

เยี่ยจิ่งหมดอารมณ์ที่จะเยี่ยมชมบ้านเกิดต่อ จึงเดินเลียบตามริมแม่น้ำที่ตัดผ่านเมืองไปเรื่อยๆ แล้วหยุดยืนอยู่บนสะพานแห่งหนึ่ง พลางก้มหน้ามองกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวผ่านใต้สะพานไปเพียงลำพังอย่างสงบเงียบ

ซือคงจิงปรากฏกายด้านหลังเขาโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ทว่าเยี่ยจิ่งรู้ตัว จึงกล่าวอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก “ศิษย์พี่”

“กำลังคิดเรื่องเมื่อครู่อยู่หรือ?” ซือคงจิงเอียงศีรษะเล็กน้อย

เยี่ยจิ่งส่ายหน้า “ตอนนั้นข้าคิดว่าเขาต้องการจะโอ้อวด แต่คิดดูออีกครั้งกลับรู้สึกว่าไม่ใช่”

“เช่นนั้นเจ้ากำลังคิดเรื่องอาวุธวิเศษที่ศิษย์พี่เยี่ยนให้ทุกคน?” ซือคงจิงถาม

ตอนที่อยู่ในสำนัก มีเพียงเยี่ยจิ่งที่ไม่ได้หยิบอาวุธวิเศษที่เยี่ยนจ้าวเกอให้ ส่วนสิบห้าคนรวมทั้งซือคงจิงต่างก็เลือกมาคนละหนึ่งชิ้น

“ศิษย์พี่เยี่ยนอาจจะกำลังโอ้อวดอยู่ก็ได้ แต่เขามีสิทธิ์จะทำเช่นนั้น” ซือคงจิงเดินมายืนข้างๆ เยี่ยจิ่ง “อาวุธวิเศษระดับล่างเป็นสิ่งที่ไม่มีความคิดและจุดยืนหรอกนะ และความสำเร็จในอนาคตของข้ากับเจ้า ก็ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธวิเศษเพียงแค่ชิ้นเดียวจะมากำหนดได้ ศิษย์พี่เยี่ยนยุติธรรมกับทุกคน มอบอาวุธให้ทุกคนคนละหนึ่งชิ้น ข้าจะกล้าไม่รับไว้ได้อย่างไร ไว้อนาคตค่อยคืนสิ่งที่ดีกว่านี้ให้เขาก็ได้”

เยี่ยจิ่งพยักหน้า แม้ว่าซือคงจิงจะหยิบอาวุธวิเศษมาชิ้นหนึ่งเหมือนกับทุกคน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก

“เจ้าไม่รับไว้อาจจะดูแปลกแยก แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้” ซือคงจิงกล่าวต่อว่า “คงมีบางคนที่คิดว่านั่นถือเป็นความหวังดีของศิษย์พี่เยี่ยน เจ้าปฏิเสธก็เท่ากับว่าไม่เจียมตัว แต่ข้ากลับรู้สึกว่าศิษย์พี่เยี่ยนไม่ได้กำลังเอาใจทุกคนอยู่ สายตาที่เขามองเจ้ากับมองข้าไม่แตกต่างอะไรกันเลย”

การที่นางกล่าวเช่นนี้ กลับทำให้เยี่ยจิ่งยิ่งกำหมัดแน่นขึ้น ภาพในอดีตที่เยี่ยนจ้าวเกอพรากคนรักของเขาไป โดยที่ไม่เห็นหัวของเขานั้น ราวกับฉายซ้ำตรงหน้าอีกครั้ง

“เขาคิดอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่ต้องการของของเขา” เยี่ยจิ่งกล่าว น้ำเสียงค่อยๆ สงบลง ก่อนจะเผยความมั่นใจและเชื่อมั่นในแววตา “สำหรับข้าในตอนนี้ อาวุธวิเศษเป็นสิ่งที่ดีแน่อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการฝึกฝนของตัวข้าเอง”

“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด เมื่อปลงความคิดได้ จิตใจย่อมสบาย หากอัดอั้นตันใจ จะได้รับผลกระทบในยามฝึกฝนได้ง่าย สู้ปลดปล่อยตนเอง แล้วทำตามความต้องการของตัวเองดีกว่า” ซือคงจิงกล่าว

เยี่ยจิ่งกำหมัดแน่นพลางพูดว่า “เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้แกร่งกล้ากว่าข้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ระดับพลังจะสูงกว่า ทั้งยังมีวิชาหลอมเตาผลึกหินชั้นในที่กลับสู่โลกอีกครั้ง แต่ข้าจะไม่แพ้ให้เขาตลอดไปหรอก ข้าต้องเหนือกว่าเขาให้ได้”

“ปรมาจารย์รุ่นเยาว์ไม่ได้เก่งกาจมากถึงเพียงนั้น ข้าจะแข่งกับเขาดูสักตั้ง ว่าใครกันจะเป็นมหาปรมาจารย์ แล้วละโลกาสู่ความศักดิ์สิทธิ์ บรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ก่อนกัน!”

การฝึกฝนของจอมยุทธ์ในยุคนี้ จะเริ่มฝึกจากร่างกาย โดยแบ่งออกเป็นขั้นร่างกาย ขั้นเบิกทางชีพจร และขั้นชักจูงลมปราณ ในทุกขั้นแบ่งออกเป็นระยะต้น ระยะกลาง และระยะท้าย

รวมทั้งสิ้นเก้าขั้น หากรวมกับขั้นประจักษ์นภาอันเป็นการฝึกยุทธ์ขั้นสุดท้าย จะเรียกรวมกันว่าระดับยุทธ์หลอมกายสิบขั้น

ถัดจากขั้นประจักษ์นภาขึ้นไปจะมีด่านขวางกั้นใหญ่หนึ่งจุด หากก้าวข้ามผ่านไปได้ จอมยุทธ์ก็จะเข้าสู่ระดับปรมาจารย์

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักวิทยายุทธ์เช่นเขากว่างเฉิงอาจยังมองไม่ออก ทว่าในความเป็นจริงแล้วเมื่อจอมยุทธ์กลายเป็นปรมาจารย์ ก็จะมีคุณสมบัติที่จะเปิดสำนักวิทยายุทธ์บนแผ่นดินใหญ่ได้

ผู้นำด้อยอำนาจจำนวนไม่น้อยก็ฝึกวรยุทธ์เพื่อเข้าสู้ระดับปรมาจารย์

ระดับปรมาจารย์นี้แบ่งเป็นสามขั้น อันได้แก่ ขั้นจิตราชั้นใน ขั้นจิตราชั้นนอก และขั้นเคียงนภา ทุกขั้นแบ่งเป็นระยะต้น ระยะกลาง และระยะท้ายเช่นกัน รวมกับขั้นฝ่านภาในขั้นสุดท้าย นั่นก็คือระดับปรมาจารย์ยุทธ์สิบขั้น

อีกทั้งถัดจากขั้นฝ่านภาขึ้นไป ก็จะมีอีกหนึ่งด่านขวางที่กว้างใหญ่ ผู้ที่ข้ามผ่านไปได้ ก็จะถูกเรียกว่ามหาปรมาจารย์

เมื่อถึงจุดนี้ถือได้ จะถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจคนหนึ่ง และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งแผ่นดิน

มหาปรมาจารย์ยุทธ์สิบขั้นจะเรียกได้ว่าบรรลุธรรม ซึ่งก็คือการละทิ้งทางโลกเข้าสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่อยู่สูงกว่าขั้นบรรลุธรรมจะมีโอกาสได้เข้าสู่ดินแดนวรยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ และกลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์

และในยุคปัจจุบันนี้ ทั่วหล้ามีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เพียงหยิบมือเท่านั้น

“วิชาหลอมเตาผลึกหินชั้นในของเขาหลอมสร้างอาวุธวิเศษและอาวุธวิญญาณได้ ต้องดูต่อไปว่าจะหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ สำหรับสำนักแล้ว อาวุธวิญญาณมากมายจะสำคัญกว่าการมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งได้อย่างไร”

ดวงตาของเยี่ยจิ่งเปล่งประกาย แม้ว่าตอนนี้เขาเบิกทางตันเถียนชี่ไห่ อยู่ในระดับยุทธ์หลอมกายขั้นแปด ขั้นชักจูงลมปราณระยะกลางเท่านั้น ในขณะเยี่ยนจ้าวเกอกำลังจะเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายนานแล้วก็ตาม

แต่เยี่ยจิ่งมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาเชื่อว่าตนเองสามารถเอาชนะชายหนุ่มผู้เป็นเสมือนศัตรูที่ชะตาลิขิตไว้ได้

เขามีจิตใจแน่วแน่และมีความเชื่อมั่นที่มากพอ อีกทั้งเขาก็ยังมีที่พึ่งเป็นของตนเอง…

เยี่ยจิ่งถอนหายใจเบาๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว พลางใช้นิ้วมือถูไปยังแหวนสีแดงคล้ำวงหนึ่งที่สวมอยู่บนมือขวา

จุดเริ่มต้นต่ำกว่าไม่สำคัญ แค่มีพัฒนาการที่รุดหน้ารวดเร็ว ต้องมีสักวันที่สามารถไล่ทันและก้าวนำไปได้แน่!

ซือคงจิงมองไปยังเยี่ยจิ่ง “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ามีความสามารถไม่ธรรมดา ขอเพียงมีความมุ่งมั่น ซื่อสัตย์อดทนการจะไปถึงขั้นบรรลุธรรมและเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ต้องไม่ใช่ปัญหาแน่”

“ข้าก็แค่คุยโวกับตัวเองเท่านั้น ศิษย์พี่อย่าล้อข้าเล่นเลย ท่านอยู่ขั้นประจักษ์นภาแล้ว ห่างจากขั้นปรมาจารย์อีกเพียงก้าวเดียว บัดนี้ดูแล้วท่านต่างหากที่มีความเป็นได้มากที่สุดที่จะเอาชนะเยี่ยนจ้าวเกอ อีกทั้งยังมีโอกาสเป็นศิษย์ระดับปรมาจารย์รุ่นเยาว์อีกคนของเขากว่างเฉิงมากกว่าข้า” เยี่ยจิ่งกล่าวยิ้มๆ

ซือคงจิงจึงพูดว่า “แต่ข้าว่าครั้งนี้ศิษย์พี่เยี่ยนดูไม่เหมือนมีใจคิดร้าย แต่กลับเป็นตอนที่อยู่ที่วิหารปฏิบัติกิจ คำพูดเหล่านั้นของท่านผู้อาวุโสชุยเหมือนจงใจยุแหย่อย่างน่าสงสัย ต่อไปศิษย์น้องเยี่ยเจ้าต้องคอยระมัดระวังตัวให้ดี”

“ภายในสำนักมีความสัมพันธ์มากมายที่มองออกได้ยาก ง่ายนักที่จะตกไปในหลุมพลางโดยไม่รู้ตัว”

เยี่ยจิ่งพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”

…………