ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 8 คู่ปรับในอดีต

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ไม่ว่าจะเป็นความคิดของเยี่ยจิ่ง ซือคงจิง หรือคนอื่นๆ เยี่ยนจ้าวเกอล้วนไม่ได้ใส่ใจมากนัก

ถึงแม้ว่าเรื่องที่หุบเหวปราการมังกรจะเร่งด่วน แต่ในเมื่อเดินทางมาถึงอาณาจักรถังตะวันออกแล้ว ก็ช่างคนอื่นเถิด เพราะเยี่ยนจ้าวเกอจะต้องเข้าเฝ้าราชาองค์ปัจจุบันของอาณาจักรถังตะวันออกให้ได้

อีกฝ่ายไม่ได้เป็นเพียงราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออก และยอดจอมยุทธ์แห่งเกาะนภาตะวันออกคนหนึ่งเท่านั้น ทว่ายังเป็นเพื่อนสนิทของเยี่ยนตี๋ ผู้เป็นบิดาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ รวมถึงเขายังคอยดูแลและสนับสนุนเยี่ยนจ้าวเกอเสมอ

หุบเหวปราการมังกรมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ แน่นอนว่าจอมยุทธ์ยอดฝีมือของอาณาจักรถังตะวันออก และจอมยุทธ์ผู้รักษาการณ์ของเขากว่างเฉิงที่อยู่ใกล้ที่นี่มากที่สุด ต้องรีบเดินทางมาปิดผนึกและตรวจสอบตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ก่อนที่เยี่ยนจ้าวเกอและทุกคนจะเข้าไปในสถานที่ที่อันตรายอย่างหุบเหวปราการมังกร จึงต้องทำความเข้าใจกับสถานการณ์ล่าสุดเสียก่อน

หลังจากเข้าเฝ้าราชาแห่งอาณาจักรถังตะวันออกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็จะไปเข้าพบผู้อาวุโสคุมการณ์ของสำนักเขากว่างเฉิงที่ประจำการอยู่ ณ อาณาจักรถังตะวันออก

การเข้าพบครั้งนี้ไม่ได้ผ่อนคลายและสันติอย่างในครั้งแรก เพราะว่าผู้มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรถังตะวันออกของเขากว่างเฉิงผู้นี้ เป็นคนของอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ

ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกผู้นี้ ภายนอกดูเป็นชายชราที่เข้มงวดคนหนึ่ง เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรยืดเยื้อเสียเวลานัก เพียงใช้คำพูดง่ายๆ ไม่กี่ประโยคอธิบายสถานการณ์ที่เขาทราบดี ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอก็ฟังไปพลาง ไตร่ตรองไปพลาง

“เฉาหยวนหลงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏตัวที่หุบเหวปราการมังกรเช่นกัน เจ้าก็พยายามเข้าเถิด” หลังจากอธิบายสถานการณ์ที่ปราการมังกรเสร็จสิ้นแล้ว ชายชราก็กล่าวทิ้งท้ายอย่างไม่ใส่ใจ

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มและพูดว่า “ครั้งนี้ทางสำนักให้ข้าเป็นคนนำคณะมาก็เพราะเขาไม่ใช่หรือขอรับ”

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่กี่แห่งที่ในยุคสมัยนั้น สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นสำนักยิ่งใหญ่ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขากว่างเฉิงเช่นกัน แม้กระทั่งมีกำลังอำนาจอาจเหนือกว่าเขากว่างเฉิง อีกทั้งยังมีเค้าลางเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้

เฉาหยวนหลงเป็นบุตรแห่งสวรรค์ และปรมาจารย์วัยเยาว์ผู้เก่งกาจของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขาอายุใกล้เคียงกับเยี่ยนจ้าวเกอ วรยุทธ์ก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นคนรุ่นใหม่มากความสามารถผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของโลกแปดพิภพเช่นกันด้วย

เจ้าของร่างเดิมของเยี่ยนจ้าวเกอเคยประมือกับเขาสามครั้ง แต่ผลสุดท้ายเสมอกันทั้งหมด ทั้งสองเลยถือได้ว่าเป็นคู่ปรับเก่าในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ของโลกแปดพิภพ

ท่านผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกกล่าวว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้ถือว่าหาได้ยาก เขาฝึกวิชาเข็มทองสุริยันของสำนักจนสำเร็จถึงขั้นที่แปดแล้ว ในขณะที่มีพรสวรรค์เหนือผู้อื่น เขาก็ยังมีความพยายามอุตสาหะ หากครั้งนี้เขายังก้าวหน้าเพิ่มขึ้นอีก ผลจะเป็นเช่นไรคิดว่าข้าคงไม่ต้องบอกเจ้านะ”

วิชาเข็มทองสุริยันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นวิชาที่ไม่นิยมฝึกฝนกันนัก ทว่าหากฝึกฝนจนแก่กล้าแล้วจะมีอานุภาพร้ายแรงมาก ถือเป็นหนึ่งในวิชาที่อยู่ระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับวรยุทธ์ในระดับเดียวกัน

การฝึกฝนในระยะเริ่มและระยะกลางค่อนข้างมีขีดจำกัด อย่างน้อยก็ต้องฝึกถึงขั้นที่หกหรือเจ็ดจึงจะเห็นความพิเศษอย่างชัดเจน

ทว่าวิชานี้กลับเป็นวิชาที่ฝึกฝนได้ยากมาก ผู้ฝึกต้องอดทนกับความเจ็บปวดจากการถูกไฟแผดเผา ราวกับถูกเข็มเป็นพันเป็นหมื่นเล่มทิ่มแทงทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นการฝึกฝนที่ไม่ต่างอะไรกับการทารุณตนเอง

เมื่อระดับวรยุทธ์สูงขึ้น สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะมีวิชาที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นให้เหล่าศิษย์ได้เลือกฝึกฝนอยู่แล้ว จึงมีผู้เลือกฝึกวิชานี้น้อยมาก

เยี่ยนจ้าวเกอพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ถ้าหากเฉาหยวนหลงสามารถฝึกวิชาเข็มทองสุริยันสำเร็จถึงขั้นที่เก้าได้ด้วยอายุเท่านี้ ในประวัติศาสตร์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยังมีไม่เกินห้าคน ช่างหาได้ยากจริงๆ”

“หากได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของคนรุ่นเดียวกันในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเหนือกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา”

ชายหนุ่มยิ้ม “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เตือน ข้าเองก็เตรียมใจไว้แล้ว”

ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออกมองเขาครั้งหนึ่ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปเถิด หากพบสิ่งใดที่ปราการมังกรก็ให้รีบกลับมารายงานทันที ดูแลศิษย์ทุกคนที่มาฝึกฝนให้ดี อย่าให้เกิดผิดพลาดอะไรก็แล้วกัน”

“เช่นนั้นข้าขอลา ท่านผู้อาวุโสส่งเพียงเท่านี้พอ” เยี่ยนจ้าวเกอลุกขึ้นยืน

ชายชรามองดูแผ่นหลังที่จากไปของเยี่ยนจ้าวเกอ ครั้นสายตาเรียบสงบลงแล้ว เขาจึงหลับตาทั้งสองข้างลงช้าๆ “เจ้าเด็กไร้กาลเทศะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”

ปราการมังกรเป็นหุบเหวขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่พาดตัวยาวเป็นแนวขวางอยู่บนพื้นดิน สองด้านมีหน้าผาขนาดใหญ่ เหวด้านล่างลึกมองไม่เห็นก้น และมีหมอกดำปกคลุมตลอดทั้งปี

หมอกดำเป็นอันตรายกับผู้คน ยิ่งลึกลงไปในหุบเหว ก็ยิ่งมีหมอกดำหนาแน่น ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมือยังไม่กล้าเสี่ยงอันตรายลงไปสุ่มสี่สุ่มห้า และมักมีสัตว์อสูรที่ฉลาดเป็นกรดและดุร้ายอยู่ท่ามกลางหมอกดำมากมาย

เมื่อเข้าไปในปราการมังกร หมอกดำที่ปกคลุมอยู่ยิ่งทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของเวลา ทำให้ยากที่จะแยกแยะทิศทาง คนจากด้านนอกหุบเหวอยากจะช่วยเหลือก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน

ทว่าในปราการมังกรก็มีสมบัติล้ำค่าที่พบเจอได้ยากบนพื้นแผ่นดินทั่วไป หรืออาจเป็นสมบัติที่มีเพียงเฉพาะที่นี่เท่านั้น จึงมีจอมยุทธ์เข้ามาค้นหาสมบัติที่นี่เสมอ

แน่นอนว่า ผู้ที่เข้ามาส่วนมากก็ไม่ได้รอดกลับออกมาอีก

ดังนั้นตั้งแต่อดีตกาลมา ปราการมังกรจึงเป็นสถานที่ที่ขึ้นว่าอันตรายยิ่งนัก

เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ออกจากเมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก และรุดหน้าเดินทางมาถึงรอบนอกของสถานที่อันตรายแห่งนี้

“พวกเจ้าคงจะทราบถึงความเป็นมาของปราการมังกรกันแล้วใช่หรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนอยู่ข้างหน้าผาเปรยขึ้น “ในโลกแปดพิภพ ทั่วไปแล้วผู้คนจะแบ่งพื้นที่ขนาดใหญ่ออกเป็นแปดส่วน ซึ่งจะใช้นภา ปฐพี วายุ อัสนี วารี อัคคี ภูผา และบึงเป็นชื่อเรียกแทน”

“เนื่องจากความผิดปกติของปฐพีพิภพเมื่อหลายปีก่อน พื้นที่นั้นจึงกลายเป็นเป็นเขตปิดตายและกลายเป็นสถานที่อันตรายขนาดใหญ่ที่สุดของโลก หลังจากนั้นทุกคนก็เห็นพ้องที่จะเรียกที่แห่งนั้นว่า ‘อเวจี’ มาตลอด

“นับแต่อเวจีก็แตกแขนงเป็นหุบเหวขนาดใหญ่อีกมากมายทั่วใต้หล้า ปราการมังกรแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในหุบเหวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งพาดตัวยาวเข้าไปในเขตของนภาพิภพที่เขากว่างเฉิงของเราตั้งอยู่ด้วย”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อว่า “จู่ๆ ปราการมังกรก็เกิดความผิดปกติขึ้น สาเหตุยังไม่ชัดเจนนัก พวกเจ้าจะต้องระวังตัวให้ดี”

ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงล้วนพยักหน้าตอบรับ

ทุกคนก็ค่อยๆ เดินลงไปในหุบเขา โดยมีเยี่ยนจ้าวเกอเป็นผู้นำ

แม้จะเป็นสถานที่ที่อันตราย แต่ก็มีคนจัดการรอบนอกสุดให้เป็นทางเดินอย่างง่ายแล้ว

บนเส้นทางเดินนี้มีแสงจากตะเกียงส่องสว่างอยู่ในทุกช่วง และมีควันจางๆ ไหลเข้ามากันหมอกดำออกเป็นช่องทางเล็กๆ ที่ให้คนเดินได้

นี่ก็คือทางที่จอมยุทธ์ยอดฝีมือของอาณาจักรถังตะวันออกและเขากว่างเฉิงเข้ามาทำการผนึกชั่วคราว เมื่อรู้ถึงความผิดปกติในตอนแรก จากนั้นก็ทำการเฝ้าระวังพร้อมกับแจ้งเรื่องไปยังสำนักเขากว่างเฉิง ให้ส่งคนนำคาถาพิเศษมาใช้ในการตรวจสอบที่นี่

หากไม่ใช่เป็นเพราะผนึกได้ทันเวลาในตอนนั้น หมอกดำเหล่านี้คงทะลักออกมานอกหุบเขาไปแล้ว

เมื่อพบกับจอมยุทธ์ที่ดูแลการผนึกในพื้นที่แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอและทุกคนก็เริ่มเข้าไปส่วนลึกของปราการมังกร

เยี่ยนจ้าวเกอเดินอยู่ด้านหน้าสุด คอยระวังสถานการณ์รอบตัวไปพลาง และไตร่ตรองในใจไปพลาง ‘หมอกดำนี้เป็นปราณพิษจริงๆ ด้วยสินะ ถึงแม้จะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเตาผลึกหินภายชั้นใน ทว่าตัวมันกลับมีผลร้ายไร้ประโยชน์ใดๆ ’

‘แต่เดี๋ยว…ขอข้าคิดก่อนนะ เหมือนจะมีประโยชน์อยู่’

‘จากขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย จนถึงขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้น ระยะห่างของพลังที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น มากยิ่งกว่าจากขั้นจิตราชั้นในระยะกลางไปสู่ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายอีก ไม่ใช่ความแตกต่างราวฟ้ากับดิน แต่เป็นความแตกต่างที่เหมือนกับการได้ถอดร่างเปลี่ยนกระดูกเลยก็ว่าได้’ เยี่ยนจ้าวเกอคิดในใจต่อว่า ‘ยิ่งปลดปล่อยปราณจิตราสู่ภายนอก ก็จะยิ่งมีความสามารถในการป้องกันตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น”

‘เมื่อปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในทุ่มกำลังโจมตีไปยังจุดสำคัญที่ปรมาจารย์ขั้นจิตรานอกไม่ได้ทำการปกป้องเป็นพิเศษจึงจะเห็นผล มิเช่นนั้นก็เป็นการเสียกำลังเปล่าๆ เสียส่วนใหญ่’

‘ในทางกลับกัน หากปรจารย์ขั้นจิตรานอกปลดปล่อยปราณจิตราชั้นนอกออกสู่ภายนอก ก็จะมีพลังทำลายล้างอันน่าทึ่งเช่นกัน และจะทลายการป้องกันของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในได้ง่ายยิ่งกว่า’

‘น่าเสียดาย จากขั้นจิตราชั้นในถึงขั้นจิตราชั้นนอก แม้ห่างกันเพียงหนึ่งก้าวก็ถือเป็นคลองขวางกั้นที่กว้างใหญ่ อยากบรรลุจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ประเด็นสำคัญคือต้องใช้เวลาเป็นจำนวนมากในการขัดเกลาปราณจิตราและฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก’

ทว่าขณะที่เดินอยู่ในปราการมังกรซึ่งเต็มไปด้วยความอันตราย บนใบหน้าเยี่ยนจ้าวเกอกลับปรากฏรอยยิ้มขึ้น

‘แต่ถ้าปรับเปลี่ยนวิชาทวนคลื่นน้ำวนของเคล็ดวิชาเหวเวหาทวนกระแส แล้วชักจูงปราณพิษเข้าสู่ร่างกาย ก็จะสามารถเปลี่ยนของไร้ค่าให้เป็นของล้ำค่าได้ ทำให้มันกลายเป็นหินลับมีดชั้นดีมาขัดเกลาปราณจิตราของตนเอง ก็จะช่วยข้าให้บุกทะลวงจากภายในสู่ภายนอก ทำลายด่านกีดกั้นจากขั้นจิตราชั้นในสู่ขั้นจิตราชั้นนอกได้’

………………..