สามวันต่อมา ในที่สุดอันหลินกับหลิวต้าเป่าก็ถูกปล่อยตัวออกจากห้องกักตัวที่มืดมนและไร้แสงตะวัน
ส่วนจ้าวหวายหยินกับต้าไป๋ เพราะแอบดูนักเรียนหญิงอาบน้ำ เรื่องราวเลวร้ายกว่า ถูกกักตัวมากกว่าพวกอันหลินสี่วัน
สำหรับเรื่องนี้ อันหลินกับหลิวต้าเป่ารู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง
พวกเขาบอกลาผู้กล้าทั้งสองในห้องกักตัวด้วยความอาลัย จากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตบำเพ็ญเซียนในรั้วสำนักตามปกติอีกครั้ง
อันหลินเห็นความงดงามของฤดูใบไม้ผลิในรั้วสำนัก ร้อยบุปผาเบ่งบาน มีลมเย็นสบายโชยมาบ่อยครั้ง พร้อมกับกลิ่นดอกไม้หอมจางๆ สิ่งเหล่านี้ ล้วนงดงาม
เขาสูดดมอากาศที่สดชื่นอย่างตะกละตะกลาม ในใจผ่อนคลายเหลือเกิน
“นี่แหละอิสรภาพ!” อันหลินอุทาน
“นั่นสิ ตอนนี้ข้ามีความรู้สึกเหมือนได้รับชีวิตใหม่อีกครั้ง!” หลิวต้าเป่าอุทานตาม
“อันหลิน ข้ากลับไปที่ห้องก่อนนะ
ในฐานะที่เป็นหัวหน้า พอรับตำแหน่งก็ถูกกักตัวถึงสามวัน ข้าต้องกลับไปชี้แจงกับเพื่อนๆ สักหน่อย” หลิวต้าเป่าพูดกับอันหลินยิ้มๆ
“ได้ เจ้ารักษาตัวด้วยล่ะ” อันหลินพยักหน้า
“อืม เจ้าก็ด้วย!” หลิวต้าเป่าตบไหล่อันหลิน จากนั้นก็จากไป
การอยู่ร่วมกันสามวัน ทำให้อันหลินพบว่า อันที่จริงหลิวต้าเป่าคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่น่ารำคาญ
แม้บางครั้ง เขาจะทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ เช่นการท้ารบครั้งนี้
แต่หลังเขาสนิทกับอันหลินแล้ว กลับคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น เป็นคนจริงใจตรงไปตรงมา
ด้วยเหตุนี้เอง อันหลินกับหลิวต้าเป่าจึงกลายเป็นเพื่อนที่ไม่ตีไม่รู้จักกัน
เมื่อหลิวต้าเป่าค่อยๆ เดินออกไปไกล รอบกายก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
อันหลินทอดสายตามองไกล เห็นอาทิตย์อัสดงจวนจะลาลับขอบฟ้า เมฆสีเหลืองทองลอยล่องรอบรั้วสำนัก แปรเปลี่ยนเป็นสลัวยิ่งขึ้น
นกกระเรียนหลายตัวโบยบินกลางนภา มีเสียงนกร้องดังแว่วๆ บ่อยครั้ง
เขายืนอยู่บนเนินของรั้วสำนัก ทอดมองทัศนียภาพอันไกลโพ้นอย่างเหม่อลอย
แสงอาทิตย์อัสดงสาดกระทบตัวเขา ฉาบร่างกายของเขาด้วยสีเหลืองอ่อน ประหนึ่งม้วนภาพวาดเก่าแก่
“อืม…สายมากแล้ว คิดว่าคาบเรียนวันนี้ใกล้จะจบแล้ว เราค่อยไปเรียนพรุ่งนี้แล้วกัน” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน กว่าอันหลินจะตื่นขึ้นจากภวังค์ รำพันเสียงเบา
สำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนสร้างอยู่บนแผ่นดินที่ลอยอยู่กลางอากาศ ทุกครั้งที่เลิกเรียน เขาจะมองเห็นทิวทัศน์งดงามของตะวันที่ตกลงไปในทะเลหมอก ม่านเมฆส่องแสงหลากสีสัน
ได้ยินว่า ในเวลาพิเศษบางครั้ง จะสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันตระการตาของเมฆเจ็ดสีในรั้วสำนักได้อีกด้วย
แต่อันหลินเพิ่งมาได้ไม่นาน ยังไม่มีวาสนาได้เห็นภาพที่วิเศษแบบนั้น
ทว่าแม้จะเป็นทิวทัศน์ยามสายัณห์แสนธรรมดา ก็งดงามเหนือคำบรรยาย ทุกครั้งที่เขาเห็น ในใจก็รู้สึกทึ่งอยู่เสมอ
พอกลับมาถึงที่พัก อันหลินก็เริ่มนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรทันที
กับเรื่องบำเพ็ญเพียร เขาไม่เคยเกียจคร้านเลยแม้แต่วินาทีเดียว
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะบรรลุกายแห่งมรรคขั้นสี่เมื่อไหร่ อาจเป็นพรุ่งนี้ อีกสิบปีข้างหน้า หรืออาจจะไม่มีทางบรรลุกายแห่งมรรคขั้นสี่ทั้งชีวิตนี้เลยก็ได้
แม้หนทางข้างหน้าจะเลือนราง มองไม่เห็นว่าตัวเองจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน
อันหลินก็ไม่มีความคิดจะถอดใจแม้แต่นิด เพราะโลกใบนี้สวยงามมากไม่ใช่หรือไง
ปรารถนาอยากเห็นทัศนียภาพที่คนธรรมดาไม่มีทางได้เห็น อยากพบเจอคนที่น่าสนใจมากขึ้น อยากก้าวเข้าสู่เส้นทางของการบำเพ็ญเซียนอย่างแท้จริง เช่นนั้นแม้ความสำเร็จจะมีความเป็นไปได้แค่หนึ่งในหมื่น ตัวเองก็ต้องลองพยายามดูสักตั้ง!
ราตรีนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด อันหลินรู้สึกว่าตอนที่ตัวเองบำเพ็ญเพียร การเพิ่มขึ้นของพลังยุทธ์เร็วกว่าที่ผ่านมาเล็กน้อย
รุ่งเช้าของวันต่อมา อันหลินเคาะประตูห้องสวีเสี่ยวหลาน
“อันหลิน เจ้าถูกปล่อยออกมาสักที!” สวีเสี่ยวหลานเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นอันหลิน นางที่กำลังสะลึมสะลือ นัยน์ตาก็เป็นประกายขึ้นมา
อันหลินเป็นเพื่อนคนแรกที่สวีเสี่ยวหลานเจอเมื่อเข้ามาฝึกตนที่สำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียน และเป็นคนที่เข้ากันได้ที่สุดด้วย
สองสามวันที่อันหลินถูกส่งตัวไป นางรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง
“ไป ไปเรียนกันเถอะ” อันหลินทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ารอเดี๋ยว ข้าขอเปลี่ยนชุดก่อน” อันหลินยังไม่ทันได้พูดต่อ สวีเสี่ยวหลานก็ปิดประตูดังปัง
พอสวีเสี่ยวหลานออกมาหลังเปลี่ยนชุดแล้ว อันหลินก็ตะลึงงัน จ้องการแต่งตัวของนางไม่วางตา
“เจ้า…เจ้าไปเอาชุดเจ้าหญิงนี่มาจากไหน!” อันหลินตะลึงจนเริ่มพูดจาติดอ่าง
เห็นสวีเสี่ยวหลานสวมชุดกระโปรงตาข่ายสีขาว เยื้องย่างออกมา
ใต้ลำคองดงามระหงของนาง เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้ารางๆ แถบผ้าคาดสีขาวรัดจนเห็นเอวคอดกิ่ว
ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามแรงลม นางเป็นเหมือนนางฟ้าบนสวรรค์ที่อยู่เหนือโลกีย์ เหาะเหินบนเวหา
สวีเสี่ยวหลานสวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อใส่ชุดเจ้าหญิง ก็ยิ่งงดงามเหมือนเจ้าหญิงที่ออกมาจากภาพวาด ทำให้ละสายตาไม่ได้
ทว่าตอนนี้ อันหลินตกตะลึงอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพราะความงามของนาง แต่เพราะเครื่องแต่งกายที่มีรูปแบบแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของนาง
ชุดเจ้าหญิงเป็นชุดที่มีแค่บนโลกแท้ๆ!
ทำไมชุดนี้ถึงได้มาโผล่ในแดนบำเพ็ญเซียน ไม่เข้ากันเอาเสียเลย!
“เป็นอะไรไป นี่เป็นชุดจากโลกบ้านเกิดเจ้าไม่ใช่หรือ ตกใจขนาดนั้นเชียว” สวีเสี่ยวหลานเห็นสีหน้าตะลึงพรึงเพริดของอันหลิน ปากก็อ้ากว้าง จนสามารถยัดแอปเปิลเข้าไปได้ทั้งลูกแล้ว จึงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจขึ้นมาทันที
“บ้านเกิดของข้า…” อันหลินจ้องสวีเสี่ยวหลาน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความตกใจว่า “เจ้ารู้จักโลกด้วยหรือ!”
อันหลินคิดว่าดินแดนนี้ที่เขาข้ามมิติมา เป็นโลกที่ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอด
ตามที่เขารู้ ผู้ที่ปกครองสรวงสวรรค์เป็นสิ่งมีชีวิตของแคว้นจิ่วโจว ไม่ควรจะมีแนวคิดเกี่ยวกับโลกจึงจะถูก
เรื่องที่เขามาจากโลก ก็ไม่เคยมีใครกล่าวถึงเช่นกัน
แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือ สวีเสี่ยวหลานกลับพูดคำว่า ‘โลก’ ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้ มันทำให้เกิดคลื่นโหมซัดสาดในใจเขาขึ้นมาทันใด
“นี่ เจ้าเป็นบ้าอะไรอีกแล้ว” สวีเสี่ยวหลานยกมือเท้าสะเอว พูดอย่างมีน้ำโหเล็กน้อยว่า “โลกก็คือแดนมนุษย์ที่สรวงสวรรค์ดูแล ทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะ”
อันหลินพยายามสะกดความว้าวุ่นใจของตัวเองให้สงบลง ทำความเข้าใจกับคำพูดของสวีเสี่ยวหลาน จัดระเบียบคำถามที่ตัวเองต้องการจะรู้ จากนั้นก็ค่อยๆ เอ่ยถามว่า “แล้วทำไมคนบนโลก ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของสรวงสวรรค์ล่ะ”
“มิติที่อยู่แตกต่างกัน ตอนที่พวกเราไปแดนมนุษย์ ล้วนอาศัยประตูทะลุมิติส่งตัวออกไป”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ข้ามาจากโลกมนุษย์”
“อาจารย์ ‘วิชาแดนมนุษย์’ เซียนพสุธาเยว่อิ่งเป็นคนบอกพวกเรา
นางทำหน้าที่สอนเกี่ยวกับความรู้และวัฒนธรรมของโลกมนุษย์ วันนี้เพราะมีคาบเรียนของนาง ทำตามเงื่อนไขของนาง ข้าถึงได้ใส่ชุดของแดนมนุษย์ไงล่ะ
จะว่าไป ชุดนี้สวยไหม”
สวีเสี่ยวหลานยิ้มหวานให้อันหลิน ซ้ำยังสะบัดชายกระโปรงของนางเบาๆ
“ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนใส่ชุดเจ้าหญิงได้สวยเท่าเจ้ามาก่อนเลย” อันหลินได้สติ มองผู้หญิงตรงหน้าแล้วตอบอย่างจริงใจ
สวีเสี่ยวหลานพอใจกับคำตอบของอันหลินมาก รอยยิ้มบนใบหน้าก็เจิดจ้าขึ้นหลายเท่า เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหน ไม่ชอบให้คนอื่นไม่ชมว่าตนสวยหรอก
“อ้อ จริงด้วย มีอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเจ้าถูกกักตัว เลยไม่มีโอกาสได้บอกเจ้าสักที”
สวีเสี่ยวหลานเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ตบเข่าฉาดหนึ่ง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“เรื่องอะไรหรือ” อันหลินถามอย่างแปลกใจ
“เมื่อวานเซียนพสุธาเยว่อิ่ง แต่งตั้งให้เจ้าเป็นตัวแทนประจำวิชาแดนมนุษย์ของห้องเรา!” สวีเสี่ยวหลานพูดพลางยิ้มกริ่ม
“ตัวแทนประจำวิชา…” เมื่ออันหลินได้ยินประโยคนี้ก็ตกใจก่อน เมื่อเขาได้สติ ก็เชิดหน้าขึ้นสี่สิบห้าองศา เหม่อมองท้องฟ้า
ฟ้าครามสดใส ดวงตะวันร้อนระอุที่งดงาม…
สิ่งเหล่านี้ช่างสวยงาม ปลาเค็มอย่างเราจะผงาดแล้วงั้นเหรอ
……………………………….
[1] ฤดูใบไม้ผลิในที่นี้หมายถึง วันที่สดใส