อันหลินเดินผ่านประตูของห้องเรียน มองหาที่นั่งด้านหลังแล้วนั่งลง
เขารู้สึกว่าความสนใจของเพื่อนร่วมห้องที่มีต่อเขา คล้ายว่าจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย
หลังเพื่อนร่วมห้องบางส่วนเห็นเขาปรากฏตัว ก็พากันกระซิบกระซาบวิจารณ์เขาขึ้นมา
แม้อันหลินจะไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไร แต่คงจะไม่ได้กำลังชมเขาแน่นอน
แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ตกถึงตัวเขาไม่หยุดไม่หย่อน อย่าว่าแต่เพื่อนร่วมห้องที่วิจารณ์กันเซ็งแซ่เลย แม้แต่ตัวอันหลินเองก็อดไม่ได้อยากค่อนแคะอยู่เหมือนกัน
คาบเรียนสำคัญของวันนี้คือวิชาแดนมนุษย์ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ เหล่าลูกศิษย์ในห้องต่างก็สวมเครื่องแต่งกายต่างๆ นานาที่นิยมบนโลกมนุษย์
ทั้งกางเกงยีน เสื้อกล้าม เดรส… ที่เหนือกว่านั้น มีคนถึงขั้นใส่สูท กี่เพ้าด้วยซ้ำ เป็นแฟชั่นโชว์รวมเครื่องแต่งกายชัดๆ เป็นภาพที่พิลึกที่สุด
ขอพูดอีกหนึ่งประโยค บุคคลที่สวมชุดสูทคนนั้น ก็คือท่านหัวหน้าห้องของพวกเขา เซวียนหยวนเฉิงนั่นเอง
เขาสวมชุดสูทรองเท้าหนัง ผูกเนคไทสีน้ำเงิน แถมยังใส่แว่นกันแดดเสียด้วย
การแต่งตัวของเขาหล่อเหลาเอาการ คล้ายคลึงกับสายลับใน 007 ดูแล้วไม่มีอะไรต่างกันมากนัก
แต่ว่า คุณจินตนาการท่าทางที่สวมชุดนี้ จากนั้นนั่งตัวตรงแหน่วอยู่ข้างหน้า สองมือวางบนโต๊ะ กำลังตั้งใจเรียนของเขาออกหรือเปล่า
อันหลินอดกลั้น พยายามไม่ให้ตัวเองหลุดขำออกมา
ผ่านไปไม่นาน อาจารย์ของพวกเขาเซียนพสุธาเยว่อิ่งก็เดินเข้ามาในห้อง
นางสวมเชิ้ตลายสก็อตสีเหลืองอ่อน คู่กับแว่นตากรอบสีแดง ดูแล้วให้อารมณ์สวยแบบปัญญาชน
ไม่เพียงเท่านี้ รูปร่างของนางสูงระหง อรชรอ้อนแอ้น ผมยาวถึงบั้นเอวหยักศกเล็กน้อย เรียวขาได้สัดส่วนคลุมด้วยถุงน่องสีดำ ดูทันสมัยและเซ็กซี่
นางที่มั่นใจเต็มเปี่ยมในตอนแรก เมื่อเดินเข้าห้อง เห็นเซวียนหยวนเฉิง 007 นั่งอยู่แถวหน้าสุดอย่างเคร่งขรึม ก็หลุดขำพรืดออกมาอย่างทนไม่ได้ทันที
ลูกศิษย์มองเซียนพสุธาเยว่อิ่งด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงขำ
เซียนพสุธาเยว่อิ่งเบนสายตาอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นก็เริ่มสอนราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดมาก่อน
จุดประสงค์ที่สำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนเปิดสอนวิชาแดนมนุษย์ เพราะต่อไปหากลูกศิษย์ดำรงตำแหน่งในสรวงสวรรค์ เพื่อให้สะดวกต่อการทำภารกิจมากขึ้นยาม ‘ลงไปแดนมนุษย์’ ง่ายต่อการกลมกลืนกับโลกใบนั้นยิ่งขึ้น
เนื้อหาที่ต้องเรียนในคาบแดนมนุษย์ หลักๆ คือวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละประเทศ การกระจายของอำนาจ ภูมิศาสตร์กายภาพของโลกใบนั้น รวมถึงภาษามนุษย์อย่างภาษาอังกฤษกับภาษาจีนที่เป็นสองวิชาบังคับ
เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่เหมือนฟังคัมภีร์สวรรค์ของวิชาอื่นแล้ว คราวนี้อันหลินมีปมเขื่องด้านความรู้ที่เหนือกว่าผู้คนสักที
สิ่งที่ทำให้เขาเสียดายคือ ผลลัพธ์ที่วิชานี้นำมาให้ กลับเป็นเช่นเดียวกับวิชาอื่น
เนื้อหาที่เซียนพสุธาเยว่อิ่งสอนล้วนเป็นพื้นฐานของพื้นฐานอีกที เช่นความรู้ทั่วไปอย่างโลกมีทั้งหมดเจ็ดทวีป จีนอยู่ในแผ่นดินทวีปเอเชีย
อันหลินไม่รู้เลยสักนิดว่าวิชานี้มีความหมายอะไรกับเขา เขาเลยสัปหงกอีกครั้ง…
แค่เรียนวิชาแดนมนุษย์ก็ใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม อันหลินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาผ่านมันมาได้อย่างไร
สุดท้าย คาบเรียนนี้ก็สิ้นสุดลงด้วยประโยคหนึ่งของเซียนพสุธาเยว่อิ่ง “อันหลินเป็นตัวแทนประจำวิชานี้ ฉะนั้นหลังเลิกเรียนลูกศิษย์มีปัญหาอะไร ไปสอบถามเขาได้”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่อันหลินก็รู้ดีว่า อัจฉริยะพวกนี้มีความเย่อหยิ่งของตัวเอง
เมื่อเทียบกับไม่ละอายหากต้องลดเกียรติถามผู้ที่ด้อยกว่า คิดว่าพวกเขาคงจะชอบยืนด้วยลำแข้งของตนมากกว่า
เป็นดังคาด หลังเลิกเรียนไม่มีใครเป็นฝ่ายมาถามคำถามเขาเลยสักคน
อันหลินทอดถอนหายใจ กำลังจะลุกขึ้นจากไป
“คือว่า สหายอันหลิน ไม่ทราบว่าเจ้าว่างหรือเปล่า”
เสียงอ่อนหวานไพเราะดังขึ้นในโสตประสาทของเขา
อันหลินตามหาต้นเสียงมองไปข้างๆ หัวสมองพลันขาวโพลน มองผู้หญิงที่ปรากฏตัวตรงหน้าอึ้งๆ
ดวงตาของหญิงสาวเป็นสีน้ำเงินดุจห้วงความฝัน แพขนตาลู่ลง กำลังมองอันหลินอย่างเกรงอกเกรงใจ
อันหลินไม่เคยมีโอกาสได้มองนางในระยะประชิดขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้รู้สึกว่าหัวใจกำลังจะหยุดเต้นอย่างไรอย่างนั้น
“วะ…ว่าง ไม่ทราบว่าสหายซูเฉี่ยนอวิ๋นมีอะไรหรือ”
ผ่านไปครู่ใหญ่ กว่าอันหลินจะเค้นประโยคนี้ออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
สำหรับดาวเด่นขั้นเทพที่เข้าสำนักมาก็ใช้รูปโฉมอันงดงาม ฆ่าดาวเด่นทั้งหลายของสำนักจนตายเรียบ อันหลินไม่รู้จริงๆ ว่า นางมาหาตัวเองเพราะอะไรกันแน่
“งั้นเจ้าเจียดเวลามาสอนข้าพูดภาษาจีนกับภาษาอังกฤษหน่อยได้ไหม ข้าไม่เคยมีพรสวรรค์ทางด้านภาษาเลย
ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ใช้เวลานานนักหรอก!”
ราวกับกลัวอันหลินจะปฏิเสธ ซูเฉี่ยนอวิ๋นจึงรีบพูดเสริม
นี่มัน…ความสุขมากะทันหันเกินไปหรือเปล่า!
ตอนนี้หัวใจของอันหลินเต้นรัว คาดว่าเร็วกว่าเมื่อก่อนสองสามเท่า ตื่นเต้นจนเกือบจะช็อกแล้ว
อดทนไว้! อันหลิน! นายทำได้!
โอกาสที่พันปีก็ยากจะได้พบแบบนี้ ถ้านายพลาดล่ะก็ คงต้องเดียวดายไปทั้งชีวิตแน่ๆ!
อันหลินจิตใจว้าวุ่น เขารู้ว่ายิ่งเป็นเวลาแบบนี้ ก็ต้องยิ่งใจเย็น
“ได้ เพราะข้าเป็นตัวแทนประจำวิชานี่นา ช่วยเหลือสหายที่ประสบปัญหา เป็นหน้าที่ของข้า ขณะเดียวกันก็เป็นเกียรติของข้าเช่นกัน
เจ้านั่งลงสิ ข้าจะค่อยๆ สอนเจ้า”
อันหลินเผยรอยยิ้มอ่อนโยนปานแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ พูดกับซูเฉี่ยนอวิ๋น
ซูเฉี่ยนอวิ๋นพยักหน้า นั่งลงข้างอันหลิน ใบหน้าแสดงความซาบซึ้ง “งั้นต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
เมื่อซูเฉี่ยนอวิ๋นนั่งลง อันหลินก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ประหนึ่งกล้วยไม้ที่ซ่อนตัวไปหุบเขาลึก
แม้ในใจจะประหม่าเป็นล้นพ้น แต่เขาก็พยายามทำให้ตัวเองแสดงออกอย่างสุขุมเล็กน้อย
“สหายซูเฉี่ยนอวิ๋น ตอนนี้เจ้าเรียนภาษาจีนกับภาษาอังกฤษถึงขั้นไหนแล้วล่ะ” น้ำเสียงของอันหลินราบเรียบ ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
ซูเฉี่ยนอวิ๋นเม้มปากเล็กน้อย ใบหน้าเจือความคับข้องใจ “ปกติข้าไม่ชอบพูด ไม่ถูกกับภาษามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้เรียนภาษาจีนกับภาษาอังกฤษ แม้แต่ออกเสียงก็ทำไม่ได้ อืม พูดให้ถูกก็คือออกเสียงไม่เป็นเลยสักพยางค์เดียว…”
เสียงของซูเฉี่ยนอวิ๋นอ่อนหวานเบาหวิว อันหลินฟังจนใจแทบจะละลายแล้ว
เขาคิดมาตลอดว่าคนที่ดูภายนอกเย่อหยิ่งเย็นชาอย่างซูเฉี่ยนอวิ๋น เสียงคงจะเย็นเยือกมากเป็นแน่ แต่ไม่คิดเลยว่าเสียงของซูเฉี่ยนอวิ๋นจะน่ารัก อ่อนหวานขนาดนี้
จะว่าไป ในความทรงจำของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเฉี่ยนอวิ๋นเอ่ยปากพูดกับตนเองสินะ…
ปกติซูเฉี่ยนอวิ๋นมักจะปรากฏตัวในสำนักด้วยรูปลักษณ์ของผู้หญิงเย็นชาอยู่เสมอ แทบจะไม่สุงสิงกับคนอื่นเลย
คนอื่นต่างก็พูดว่านางเป็นผู้งมงายยุทธ์ หมกมุ่นกับมรรควิถี สนใจแค่การบำเพ็ญเซียน ดูจากตอนนี้แล้ว สาเหตุคงเป็นเพราะนางไม่ค่อยชอบพูด!
“พูดมากจึงจะสร้างความรู้สึกทางภาษาได้ เอาอย่างนี้ ข้าจะเริ่มจากการสอนวลีให้เจ้าก่อน จากนั้นค่อยสอนเจ้าสะกดคำและสัทอักษรให้เจ้า” อันหลินยิ้มจางๆ เขียนคำศัพท์หลายตัวลงบนโต๊ะ
คำศัพท์เหล่านี้แบ่งออกเป็น ‘อาจารย์ นักเรียน โรงเรียน เข้าเรียน’ โดยเขียนเป็นภาษาจีนกับภาษาอังกฤษ
อันหลินอ่านหนึ่งรอบ ให้ซูเฉี่ยนอวิ๋นอ่านตามหนึ่งรอบ
นานสองนาน กว่าซูเฉี่ยนอวิ๋นจะจำการออกเสียงของคำศัพท์พวกนี้ได้
อันหลินสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งแล้วว่า ที่ซูเฉี่ยนอวิ๋นบอกว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ทางด้านภาษา ไม่ได้หลอกเขาจริงๆ!
ซูเฉี่ยนอวิ๋นเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าตัวเองฝึกสองภาษานี้ได้ช้ามาก ใบหน้างามแช่มช้อยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พูดเสียงเบาว่า “ขอโทษด้วยนะ ทำเจ้าเสียเวลาเสียแล้ว”
อันหลินส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ระหว่างเพื่อนควรจะช่วยเหลือกันและกันอยู่แล้ว หากเจ้ายังพูดแบบนี้อีก ข้าจะโกรธแล้วนะ”
ซูเฉี่ยนอวิ๋นได้ฟังดังนั้น นัยน์ตาก็มีสีสันมากขึ้น ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “พี่ฉางเอ๋อบอกข้าเสมอว่า ไม่มีผู้ชายคนไหนดีเลยสักคน”
“แต่ข้าคิดว่าอันหลินเป็นข้อยกเว้น เจ้าเป็นคนดีจริงๆ”
รอยยิ้มของนางดุจแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิที่งดงามที่สุด ละลายความเหน็บหนาวอันยาวนาน ทำลายเกราะป้องกันในใจอันหลินในพริบตา
ชั่ววินาทีนั้น อันหลินคิดว่าเขามีความรักแล้ว…
………………………………..
[1] โชคดอกท้อ หมายถึง โชคด้านความรัก