Chaotic Sword God ตอนที่ 7 อัจฉริยะที่ถูกลืม
แม้ว่าด้านนอกของโถงนั้นจะใหญ่โต แต่ภายในประตูหลักก็ดูจะใหญ่กว่า ในปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากยืนอยู่ในนั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นชายวัยกลางคน ผู้ซึ่งอยู่ในชุดที่ต่างกันไป ซึ่งยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง.
ไป๋หยุนเทียนนำเจี้ยนเฉินไปยังด้านหน้าของประตูหลัก บุคคลที่จะสามารถนั่งตรงนี้ได้จะต้องมีฐานะในตระกูลที่สูงส่ง เจี้ยนเฉินนั้นเป็นบุตรชายคนที่สี่ของผู้นำตระกูล เขามีที่นั่งอยู่ด้านหน้า แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้นั่งในที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ เขานั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับท่านแม่ของเขา
เจี้ยนเฉินนั่งลงบนตักของมารดาอย่างนิ่มนวลและไม่ได้พูดอะไร
เมื่อถึงเวลา ผู้คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในห้องโถง ก่อนจะหยุดและนั่งลงบนที่นั่งของพวกเขา ในเวลาเดียวกัน ท่านป้าสามของเจี้ยนเฉินก็เข้ามาพร้อมกับบุตรชายของนาง
“เฮ้ น้องสี่ วันนี้ วันนี้เจ้าจะต้องทดสอบพลังเซียน เจ้าต้องตั้งใจทดสอบ ดังนั้นอย่าให้พี่รองดูถูกเจ้าได้เชียวนะ”
“หมิงเยว่” แม่ของนางจ้องด้วยสายตาเฉียบคมพลางเอ่ยเตือน
เจียงหยางหมิงเยว่หัวเราะ ก่อนจะแลบลิ้นให้เจี้ยนเฉิน โดยไม่ได้พูดอะไร นางนั่งลงบนเก้าอี้ถัดไปจากแม่ของนางด้วยท่าทีสงบ ตาของนางเป็นประกายขณะที่มองไปยังคนอื่น ๆ
ในเวลาไม่นาน ทุกคนที่นั่งอยู่ก็จ้องมองไปดูเจี้ยนเฉิน มันคงถึงเวลา พวกมันจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความคาดหวัง เหตุผลที่คนมากมายมารวมกันอยู่ที่นี่เพราะจะมีการทดสอบพลังเซียน
ถ้าเป็นเด็กคนอื่นในตระกูล มันอาจจะไม่ได้เห็นพวกเขามากันเยอะขนาดนี้ แต่เจี้ยนเฉินไม่ใช่เด็กธรรมดา แต่เขาเป็นถึงบุตรชายของผู้นำตระกูลเจียงหยาง เท่านั้นไม่พอ ดูเหมือนเขาจะเต็มไปด้วยพรสวรรค์ราวกับได้รับพรจากสวรรค์ ผู้ฝึกฝนพลังต่างคาดหวังในตัวเด็กคนนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ยามเมื่อเจี้ยนเฉินเข้ารับการทดสอบพลังเซียน ทุกคนในตระกูลจึงมาที่นี่
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จต่าง ๆ นั้นไม่ได้อยู่ในความคาดหวังของเขา และการทดสอบพลังเซียนนั้น ผู้อื่นคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญสำหรับเขา
เมื่อทุกคนนั่งลง พ่อของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางป้า เดินตรงไปตรงกลาง และนั่งลงบนเก้าอี้ประธานซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำตระกูลพร้อมกับกระบี่เล่มใหญ่ที่อยู่ถัดไปจากเขา
ดวงตาของเจียงหยางป้ามองมาที่เจี้ยนเฉินเพียงไม่นาน แต่เจี้ยนเฉินก็เห็นรอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้านั้น ทันใดนั้น ภายหลังการพูด ตามความคาดหมาย การทดสอบพลังเซียนของเจี้ยนเฉินได้เริ่มต้นขึ้น
“เต๋อชู่ ข้าต้องขอรบกวนท่านมาทำพิธีในวันนี้” เจียงหยางป้าพูดอย่างสุภาพกับผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสที่อายุราว 60-70 ปี ผมของเขาเป็นสีขาว เขาอยู่ในชุดคลุมสีเทา แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยประกายและมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ชายชราหัวเราะ “ท่านผู้นำตระกูลถ่อมตัวเกินไปแล้ว” จากนั้นเขาเดินตรงไปบริเวณตรงกลาง รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า จ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “นายน้อยสี่ ขอความกรุณาท่านด้วย”
ไป๋หยุนเทียนจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก และเอ่ยกระซิบ “เซียงเอ๋อ เดินไปหาเต๋อชู่ เขาจะทำการทดสอบพลังเซียนให้เจ้า”
“ขอรับ!” เจี้ยนเฉินตอบอย่างร่าเริง เด็กน้อยชาญฉลาดลุกจากที่นั่งของเขา และเดินไปด้วยก้าวเล็ก ๆ ของเขา เขาเดินไปหาผู้อาวุโสที่ยืนอยู่อย่างช้า ๆ
โดยไม่รอช้า เต๋อชู่ยกมือขวาของเขาซึ่งมีแหวนสีเงินที่ส่องประกายขึ้น มันเป็นแสงสีขาว การสั่นสะเทือนเล็กน้อยบริเวณพื้นที่โดยรอบ ก่อนจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ทางด้านขวาซึ่งไม่มีอะไรอยู่ด้านหน้า กลับปรากฏหินสีขาวที่มีขนาดครึ่งเมตรขึ้นทันที มันเป็นหินสีขาวลักษณะโปร่งใสราวกับมันถูกขัดเกลามาอย่างยาวนาน รูปสี่เหลี่ยมมุมฉากนี้ มีความกว้างและความหนานั้นยาวเกือบเมตร
เมื่อพิจารณาหินสีขาวที่พึ่งปรากฏออกมาสด ๆ ร้อน ๆ นั้น เจี้ยนเฉินกระพริบตาอย่างประหลาดใจ เขารู้สึกว่าควรจะเลิกสนใจเกี่ยวกับหินนี้ แต่มือขวาของเต๋อชู่มีอะไรที่น่าสนใจกว่านั้น เขาเริ่มจ้องมองแหวนบนนิ้วกลางของอีกฝ่าย มันเป็นแหวนที่เขาเคยเห็นมาจากหนังสือ
แหวนมิติถูกสร้างจากวัตถุชนิดพิเศษและจะสามารถเก็บวัตถุภายในแหวนนั้นได้ มันมีพื้นที่เก็บของหลายลูกบาศก์เมตร ขณะที่หากเป็นแหวนมิติระดับสูงกว่านี้จะมีพื้นที่เก็บของได้หลายร้อยลูกบาศก์เมตร สิ่งที่สามารถเก็บและนำออกมาได้นั้นล้วนแต่เป็นสิ่งไม่มีชีวิตทั้งสิ้น สิ่งนี้เป็นอุปกรณ์ที่แพงมากในทวีปเทียนหยวน โดยที่คนธรรมดาอาจจะไม่สามารถหามันได้ด้วยซ้ำ
เมื่อมองเห็นเจี้ยนเฉินกำลังจ้องมองแหวนมิติที่อยู่ในนิ้วกลางมือซ้ายนั้น เต๋อชู่หัวเราะออกมาเล็กน้อย เขาได้นำหินสีขาวนี้ออกมาเพื่อที่จะทำการทดสอบพลังเซียน ทุกคนจ้อง ในความเป็นจริง เขาเห็นสีหน้าเช่นนี้มาบ่อยครั้งจนเขาไม่ได้นับ
“นายน้อยสี่ ได้โปรดวางมือลงบนหินศักดิ์สิทธิ์”เต๋อชู่ยิ้ม
หินศักดิ์สิทธิ์มีลักษณะพิเศษ ที่มันจะวัดพลังเซียนภายในร่างกาย ในทวีปเทียนหยวนอันกว้างใหญ่ มีอุปกรณ์มากมายที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของแต่ละคน หินศักดิ์สิทธิ์จะแสดงออกมาเป็นสี ตามความแข็งแกร่งของแต่ละคน แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ฟ้าและม่วง
หากหินส่องประกายสีแดงหมายถึงบุคคลที่ต่ำกว่าชั้นเซียน ขณะที่สีส้มหมายถึงระดับเซียน สีเหลืองเป็นถึงเซียนระดับสูง และสีฟ้าคือเซียนปฐพี สีม่วงเป็นสัญลักษณ์ของเซียนสวรรค์ นอกเหนือไปกว่านั้น เซียนระดับผู้คุมกฏ เซียนระดับราชา เซียนระดับจักรพรรดิ จะไม่สามารถตรวจสอบได้โดยหินศักดิ์สิทธิ์
ได้ยินเต๋อชู่กล่าว เจี้ยนเฉินละความสนใจ ก่อนจะวางมือของเขาบนหินสีขาวที่ถูกเรียกว่า หินศักดิ์สิทธิ์
ในขณะเดียวกัน ดวงตาของทุกคนจับจ้องไปยังหินศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต่างคาดเดาเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง อะไรคือของขวัญที่เจี้ยนเฉินได้รับ
เมื่อเจี้ยนเฉินวางมือบนหินศักดิ์สิทธิ์ เต๋อชู่ยื่นแขนของเขาออก เพื่อกระทำบางอย่างกับหินศักดิ์สิทธิ์ที่ดูราวกับเวทมนตร์
ทันใดนั้น เจี้ยนเฉินรู้สึกเพียงแค่ชนิดของพลังงานบางอย่างที่พุ่งตรงเข้าสู่แขนของเขา ขณะที่พลังงานอันแปลกประหลาดนั้นเข้าสู่เขา มันก็เข้าไปภายในร่างกายของเขาอย่างเงียบ ๆ โคจรอยู่รอบ ๆ ก่อนจะถูกดึงกลับไปยังหินศักดิ์สิทธิ์
เต๋อชู่จ้องมองหินศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการเปลี่ยนสีของมัน หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน มันกลับไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง ไม่มีแม้กระทั่งเฉดสีเดียว อย่างน้อยมันก็ควรปรากฏขึ้นมาสักสีหนึ่ง
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร หินศักดิ์สิทธิ์ไม่มีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ” เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ที่เต๋อชู่จะร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก รอยยิ้มของเขาหายไปอย่างช้า ๆ จากนั้นใบหน้าของเขาค่อย ๆ หันใบหน้าของเขาจ้องมองไปยังใบหน้าของเจี้ยนเฉินด้วยสีหน้าที่แปลกไป ต่างก็ไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้
จ้องมองใบหน้าที่ตกตะลึงของเต๋อชู่และหินที่ยังคงเป็นสีขาวนั้น ทุกคนต่างตื่นตระหนก ใบหน้าของทุกคนล้วนแล้วแต่จนปัญญาและเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ พวกเขาต่างก็หันมามองหน้าแล้วก็หันไปมองไปเบื้องหน้า พริบตาเดียว ความน่าสังเวชก็ปรากฏบนใบหน้าของคนส่วนใหญ่ ขณะที่บางคนจ้องมองอย่างสงสาร
ใบหน้าของเจียงหยางป้าแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด ขณะเดียวกันไป๋หยุนเทียนมีใบหน้าซีดเผือด ทั้งสองคนต่างก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
เต๋อชู่กลืนน้ำลาย กับสิ่งที่ไม่อาจเชื่อได้ แม้แต่ตัวเขาเอง ทันใดนั้น เขาเริ่มจ้องมองไปยังหินศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งเขาหวังว่ามันจะเกิดความผิดพลาดในครั้งแรก แต่สามครั้งถัดไปหินนั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นอีกครั้งที่เต๋อชู่รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ นายน้อยสี่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นของขวัญ เป็นอัจฉริยะตั้งแต่ถือกำเนิด แต่เป็นที่รู้กันดีว่า หากคนผู้นั้นไม่สามารถบ่มเพาะพลังหรือใช้พลังเซียน มันก็ล้วนแล้วแต่ไม่ต่างกับคนพิการ
เต๋อชู่ไร้ซึ่งหนทางช่วย ความผิดหวังยังปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะถอนหายใจ ขณะที่เขาจ้องมองไปยังเจี้ยนเฉินด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาหันหน้ากลับไปหาเจียงหยางป้า “ท่านผู้นำตระกูล ผลเป็นเช่นนี้ นายน้อยสี่ไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม”
หลังจากสิ้นสุดคำประกาศ ใบหน้าของไป๋หยุนเทียนซีด จนเรียกได้ว่าไร้สีเลือด นางจ้องไปยังเจี้ยนเฉินด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก นางพึมพำ “นั่น .. นั่น ย่อมเป็นไปไม่ได้ เซียงเอ๋อจะเป็นดั่งคนพิการไปได้อย่างไรกัน” หลังจากพูดจบ นางเป็นลมและล้มลงบนพื้นจากเก้าอี้ของนาง ลูกชายของนางที่เป็นที่นับถือกันอย่างกว้างขวางในฐานะอัจฉริยะ กลับถูกค้นพบว่าพิการ มันไม่แปลกเลยที่จะรู้สึกตกใจกับข่าวทั้งหมด ไม่ว่ามารดาคนไหนในทวีปนี้ก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะนั่นหากเกิดขึ้นในสมาชิกที่น่านับถือเป็นอย่างมากในตระกูล
ขณะที่ทุกคนกำลังรวบรวมความคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาล้วนแล้วแต่มองเจี้ยนเฉินด้วยความสงสารและผิดหวัง ด้านหยูเฟิงหยานและหลิงหลงต่างลอบถอนลมหายใจ มองดูคู่แม่ลูกที่กำลังเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แม้ใบหน้าของคนสองคนนั้นจะดูอับจนปัญญา แต่พวกนางก็ลอบยินดีอย่างเงียบ ๆ
“อ่า น้องสี่ น้องสี่ เกิดอะไรขึ้น น้องสี่ ตื่นสิ! น้องสี่ ตื่นสิ ตื่น!!” เอ่ยอย่างเร่งร้อน ไป๋ยู่ซวงกังวลอย่างยิ่ง นางพยายามที่จะปลุกไป๋หยุนเทียนที่หมดสติ แต่มันก็ไม่เป็นผล
ได้ยินเสียงไป๋ยู่ซวงที่ซึ่งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ทันใดนั้นเจียงหยางป้ามุ่งหน้าไปที่ไป๋หยุนเทียน และเริ่มร้องบอก “ซวงเอ๋อ นำหยุนเอ๋อไปยังเตียงของนาง”
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเร่งรีบก้าวมาที่ข้างกายของมารดาอย่างรวดเร็ว แต่ทุกคนก็ไม่ได้สังเกตเห็นหรือให้ความสนใจ เขายื่นมือขวาของเขาจับข้อมือเพื่อตรวจสอบชีพจรของนางอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก เขาก็มั่นใจว่าในที่สุดว่าแม่ของเขาไม่ได้เป็นอันตรายแต่อย่างใด
เจี้ยนเฉินมองไปยังท่าทีผิดหวังของบิดาท่ามกลางฝูงคน และแม้ว่าเขาจะรู้สึกจนปัญญา ลอบถอนหายใจ เขาก็เดินตามไป๋ยู่ซวง ผู้ซึ่งกำลังนำพามารดาของเขาออกจากห้องโถง
“อ่า!!!….” จ้องมองดูเจี้ยนเฉินที่ออกไป เจียงหยางป้ารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เขาตั้งความหวังกับเจียงเฉินไว้สูงมาก แต่ขณะที่ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น มันราวกับเป็นจุดจบ บุตรชายคนที่สี่ของเขาไม่ต่างไปกับคนพิการ
“ท่านผู้นำตระกูล อย่าได้สนใจมากเกินไป แม้ว่านายน้อยสี่จะไม่สามารถบ่มเพราะพลังเซียนได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ใช่อัจฉริยะ” ชายอายุน้อย ที่ซึ่งเป็นสมาชิกในตระกูลพยายามทำให้เจียงหยางป้าสบายใจ
เจียงหยางป้าโบกมือของเขาและกล่าวว่า “ทุกคนออกไปได้ และอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป” สิ้นเสียง เจียงหยางป้าก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องโถง แม้ว่าในความจริงเจี้ยนเฉินจะเป็นอัจฉริยะก็ตาม แต่พลังเซียนก็เป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากในโลกนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันก็เป็นจุดจบอย่างแท้จริง
ความจริงเกี่ยวกับบุตรชายคนที่สี่ของผู้นำตระกูลเจียงหยางถูกกระจายออกไปในคฤหาสน์เจียงหยางอย่างกับไฟลามทุ่ง บางคนพิจารณาข่าวด้วยความยินดี ขณะที่บางคนเศร้าโศก แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือฐานะของเซียงเอ๋อในตระกูลนั้นได้ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วหลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาวนี้
ภายในห้องอันกว้างใหญ่ เจี้ยนเฉินนั่งลงอย่างเงียบงันบนเตียง ใบหน้าของเขายังคงสงบ ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด และทุกคนต่างไม่รู้ในสิ่งที่เขาคิด มารดาของเขา ไป๋หยุนเทียนยังคงไม่ตื่น มีเพียงท่านป้าสามและพี่สอง เจียงหยางหมิงเยว่ ที่ซึ่งอยู่ในห้องนี้เพียงเท่านั้น!