บทที่ 10 เฉิงเหนือ Ink Stone_Romance

เป็นเพราะรถลาเสีย เมื่อเฉิงเจียวเหนียงมาถึงเจียงโจว ประตูเมืองใกล้จะปิดเสียแล้ว ปั้นฉินชูป้ายตระกูลเฉิงให้ผู้เฝ้าประตู พวกเขาปล่อยให้พวกนางเข้าไปทั้งที่ยังสงสัย

ในเมืองเจียงโจวมีแม่น้ำเชื่อมระหว่างเมืองอยู่เส้นนึง เป็นแม่น้ำที่เกิดขึ้นจากการขุดโดยแรงงานของตระกูลเฉิงยามเมื่อเกิดน้ำท่วม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแม่น้ำที่มักเกิดภัยพิบัติก็แยกออกเป็นสองสาย ทำให้ไม่มีภัยพิบัติภายในเมืองอีก

ทางรัฐทราบซึ้งในการกระทำของตระกูลเฉิง ไม่เพียงสร้างอนุสาวรีย์ แต่ยังแบ่งหนึ่งในสามส่วนของแม่น้ำฝั่งตะวันตกให้กับตระกูลเฉิงอีก ด้วยเหตุนี้ตระกูลเฉิงจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าตระกูลเฉิงแห่งแม่น้ำตะวักตก

สมาชิกตระกูลเฉิงอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ พื้นที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยสะพานหินสามโค้ง ทิศใต้เรียกเฉิงใต้ ทิศเหนือเรียกเฉิงเหนือ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของทั้งสองฝั่งผ่านมาสามชั่วอายุคนแล้ว เฉิงเหนือเคร่งครัดตามธรรมเนียม ไม่แบ่งเรือน ไม่แบ่งทรัพย์สินมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนเฉิงใต้นั้นอยู่กันอย่างแสนวุ่นวาย ฝ่ายเหนือร่ำรวย ฝ่ายใต้สูงศักดิ์

นายท่านรองคนปัจจุบันของเรือนใหญ่เฉิงเหนือคือพ่อของเฉิงเจียวเหนียง

การที่ปั้นฉินแสดงตัวว่าเป็นคนของตระกูลเฉิงเหนือที่หน้าประตู ทำให้พวกเขาผ่านเข้าไปได้เร็วขึ้น หากแสดงตัวว่าเป็นเฉิงใต้ อาจจะไม่เร็วขนาดนี้

ปัจจุบันแม่น้ำไม่เชี่ยวกรากเหมือนเมื่อก่อน ระดับน้ำตื้นเขินในฤดูใบไม้ผลิ แม้แต่เรือก็ไม่สามารถแล่นผ่านได้ เวลานี้ต้นหลิวริมน้ำพลิ้วไสว ลมเย็นโบกโชย

ปั้นฉินยืนอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ มองดูกำแพงสีครามสูงใหญ่นั่น ก่อนจะชี้ไปด้วยความตื่นเต้น

“แม่นาง นั่นคือเรือนของพวกเราเจ้าค่ะ” นางกล่าว

เฉิงเจียวเหนียงมองดูกำแพงสีขาว หลังคาสีดำที่ซ้อนกันเป็นชั้น หากมองด้วยตาเปล่าน่าจะมีอย่างน้อยห้าชั้น

จากตรงนี้จะมองเห็นซุ้มประตูอันสูงใหญ่ แต่เพราะเป็นตอนกลางคืนจึงไม่สามารถมองเห็นตัวหนังสือบนนั้นได้

“นั่นประตูหลัก” ปั้นฉินนำทางข้ามสะพานก่อนจะพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าเคยไปกับเหล่าฮูหยินสองครั้ง แม่นางอยู่ที่นี่จนถึงสามขวบเจ้าค่ะ…”

ถึงจะอยู่จนสิบสามปีก็คงไม่มีประโยชน์ เด็กสติปัญญาไม่ดีอย่างนางจะจำได้อย่างไร

เฉิงเจียวเหนียงจับมือของปั้นฉินเอาไว้แล้วเดินข้ามสะพานไปอย่างเชื่องช้า เพราะเป็นพื้นที่ของเรือนตระกูลเฉิง

ที่นี่ไม่มีคนนอกเข้ามาเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์ คนที่นั่งเล่นอยู่ในเรือ ก็ล้วนแต่เป็นคนในตระกูลเฉิง มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนสูงอายุและเด็ก เหล่าเด็กๆ นั่งเล่น ผู้หญิงซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำ คุยเล่นกันเสียงเจี๊ยวจ๊าวสนุกสนาน

เมื่อมีคนเห็นพวกเขากำลังเดินมา โดยเฉพาะคนที่สวมใส่ผ้าคลุมที่ปิดตั้งแต่หัวจรดเท้า ทุกคนเดินเข้ามาหาด้วยความสงสัย

“ทั้งหมดนี่เป็นคนฝั่งเฉิงใต้ ล้วนอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาคนในตระกูลเจ้าค่ะ” ปั้นฉินพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

สองคนยังคงเดินต่อไป ข้ามสะพานเพื่อไปยังเฉิงเหนือ

ดึกดื่นป่านนี้ ผู้หญิงสองคนนั้นทำอะไรกัน สาวใช้ของตระกูลเฉิงงั้นรึ

คนที่กินลมชมวิวตรงนั้นเริ่มวิจารณ์ต่างๆ นานา

ประตูหลักต้องปิดไปแล้วเป็นแน่

ปั้นฉินพาเฉิงเจียวเหนียงเดินมาถึงประตูรองตะวันตก ซึ่งเป็นประตูที่คนในตระกูลใช้เป็นประจำ

“แม่นาง” ปั้นฉินยกมือขึ้น และหันกลับไปมองเฉิงเจียวเหนียง

ลมยามราตรีพัดโชย เสื้อของเฉิงเจียวเหนียงพลิ้วไสวอยู่ใต้แสงไฟ

“เคาะเลย” เฉิงเจียวเหนียงพูด

ปั้นฉินพยักหน้ารับก่อนจะเคาะประตูด้วยความตื่นเต้น

ฮูหยินใหญ่เฉิงน่าจะยังไม่เข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องออกไปข้างนอก นางคงยังเฝ้าสาวใช้ซักผ้าอยู่เป็นแน่

“เสื้อผ้าพวกนี้สีสดเกินไป ไปหยิบชุดสีม่วงมา” นางสั่ง

สาวใช้ที่อยู่ตรงตู้เสื้อผ้าใหญ่ได้ยินคำสั่ง นางรีบค้นหาออกมาทันที แต่ฮูหยินใหญ่กลับไม่ชอบและรู้สึกเบื่อหน่าย

สุดท้ายลูกสะใภ้จึงเลือกชุดพื้นสีไม้จันทน์ให้ ทำให้เรื่องนี้ได้ข้อสรุปในที่สุด

“ตัวนี้แหละ ไม่เด่นสะดุดตา ไม่เบี่ยงเบนความสนใจมากเกินไปและไม่น่าเบื่อหน่าย”

สาวใช้คนนึงเข้ามาอย่างเร่งรีบ

“ฮูหยิน แม่บ้านมาเจ้าค่ะ “สาวใช้พูด

แม่บ้าน

เหล่าฮูหยินใหญ่เฉิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ดึกดื่นป่านนี้ แม่บ้านมาที่นี่ทำไม

“นายท่านเข้านอนหรือยัง” ฮูหยินถาม

นายท่านใหญ่เฉิงวันนี้พักเรือนเมียรอง

“แม่บ้านบอกว่ามีเรื่องจะให้ฮูหยินตัดสินใจเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ

ฮูหยินใหญ่เฉิงปีนี้อายุสี่สิบกว่าแล้ว แม่ยายอายุมาก เรื่องต่างๆ ในเรือนจึงมอบให้ฮูหยินใหญ่ดูแล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องบางเรื่องก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เชิญเข้ามาสิ” ฮูหยินใหญ่เฉิงตอบ

สาวใช้พาแม่บ้านมาถึงห้องรับแขก แม่บ้านมาถึงก็รีบคำนับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

“มีอะไรรึ” ฮูหยินใหญ่ถาม

“ด้านนอก มีหญิงสาวผู้หนึ่งมาหาเจ้าค่ะ” แม่บ้านพูดด้วยเสียงต่ำ

พูดเพียงเท่านี้ ฮูหยินใหญ่ก็เบิกตาโพรง นางใช้ยกพัดกลมขึ้นพัดเบาๆ เพื่อปกปิดสีหน้า

สาวใช้ข้างๆ เข้าใจฮูหยิน จึงรีบพาสาวใช้คนอื่นๆ ออกไป เหลือไว้เรียกใช้เพียงสองคน

“พวกนางบอกว่ามาหานายท่านรองเจ้าค่ะ” แม่บ้านพูดต่อ

ฮูหยินโล่งใจไปเปราะ ยังดีที่ไม่ได้มาหาเจ้าตัว แม้นายท่านรองจะอยู่เรือนนี้ แต่ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน

“นายท่านรองเพิ่งกลับมา ยังไม่ถึงครึ่งปี” ฮูหยินกล่าวพร้อมวางพัดกลมลง

“ได้ข่าวว่ากลับมาจากปิ้งโจวเจ้าค่ะ” แม่บ้านรีบพูดต่อ

ฮูหยินใหญ่เฉิงวางพัดกลมที่โต๊ะดังปัง

นายท่านใหญ่ถูกเชิญมาอย่างรวดเร็ว ตอนเดินเข้าประตูมานายท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก นึกว่าภรรยาตนหึงหวง ตั้งใจขัดขวางไม่ใช้ตนหาความสุขจากเรือนเมียรอง แต่พอเห็นแม่บ้านอยู่ด้วยสีหน้าตึงเครียดจึงคลายลง แต่พอได้ยินสิ่งที่แม่บ้านพูด สีหน้าของนายท่านเปลี่ยนไปทันที

“สามหาว! “เขากล่าว “ไล่ออกไป! “

“นายท่ายเจ้าคะ ถ้ากล้ามาจากปิ้งโจวขนาดนี้ ข้าว่าถามน้องรองก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่กล่าว

“จะถามอะไรอีก เรื่องสามหาวเช่นนี้ให้น้องรองตัดสินใจไม่ได้!” ในฐานะพี่ใหญ่ทั้งยังเป็นนายท่านใหญ่ของตระกูล

ฮูหยินใหญ่ส่ายหัว ทั้งไกล่เกลี่ยและสั่งให้คนไปเรียกนายท่านรองมา

“ระวังฮูหยินรองด้วย” ฮูหยินใหญ่เตือน

คนที่ไปเรียกกลับมาอย่างรวดเร็ว และรายงานว่านายท่านรองไม่อยู่ ไปดื่มเหล้ากับสหายยังไม่กลับมา

“ฮูหยินรองบอกว่าถ้าเป็นเรื่องด่วน เธอจะส่งคนไปเรียกนายท่านกลับมาเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว

นายท่านใหญ่ได้ยินดังนั้นยิ่งโมโห

“กินเหล้าไปวันๆ ทำตัวเหลวไหลสิ้นดี!” เขากล่าวด้วยความโมโห “ไปเรียกกลับมา!”

ฮูหยินใหญ่นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง

“หญิงนางนั้นอยู่ที่ใด” ฮูหยินถาม

“ยังอยู่หน้าประตูเจ้าค่ะ” แม่บ้านตอบ

“อย่าปล่อยให้นางอยู่หน้าประตู ถ้าเจอกันเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่จนปิดไม่อยู่ ไปพาเข้ามาก่อน ให้คนเฝ้าเอาไว้” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว

“ไม่ได้ อย่าริอาจพาเข้ามาเด็ดขาด พาออกไป เฝ้าเอาไว้” นายท่านใหญ่กล่าว

แม่บ้านลำบากใจ ไม่รู้จะฟังใครดี

ด้านนอกประตูมีเสียงพูดคุยของสาวใช้ดังขึ้น

“ฮูหยินรองมาเจ้าค่ะ”

คนในห้องต่างเงียบกันหมด ฮูหยินใหญ่ลุกขึ้นอย่างรู้งาน ประตูถูกเปิดออกจากนั้นก็มีหญิงสาวอายุราวยี่สิบสี่ ยี่สิบห้าปีเดินเข้ามา เครื่องหน้าทั้งห้าแสนงดงาม เรียวคิ้วสวยแววตาสุกใส นางปรี่เข้าไปแสดงความเคารพต่อนายท่านใหญ่ทันทีที่มาถึง

“พอดีว่าทางการไม่คุมเข้มแล้ว นายท่านจึงไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานสักหน่อย” ฮูหยินรองเอ่ยพลางยิ้ม

นี่คือการมารับหน้าแทนสามี แต่นายท่านใหญ่กลับโมโหยิ่งกว่าเดิม เพราะมีเมียแสนดีรออยู่ที่บ้าน แต่กลับเที่ยวเถลไถลก่อเรื่องด้านนอกอีก

“อืม ไม่มีอะไรหรอก” ฮูหยินใหญ่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องมาด้วยตัวเองหรอก กลับไปพักเถอะ ซีเกอเอ๋อร์คงนอนแล้วกระมัง เจ้ารีบกลับไปพักได้แล้ว”

เมื่อต้นปีฮูหยินเพิ่งคลอดบุตรคนโต ทำให้เรือนรองได้พักหายใจสักที

ฮูหยินรองยิ้มและไม่ตอบกลับ แต่ก็ไม่ได้ลากลับเช่นกัน

บรรยากาศในห้องเริ่มแปลกชอบกล

“ท่านพี่คะ ในเมื่อข้ามาแล้ว ไม่ต้องปิดบังข้าก็ได้ หากทุกคนรู้แต่ข้าไม่รู้ มันน่าอายยิ่งกว่านะเจ้าคะ ” ฮูหยินรองกล่าว พร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา

อยู่เรือนเดียวกัน เกิดอะไรขึ้นจะปิดใครได้เล่า

นายท่านใหญ่กับฮูหยินใหญ่สีหน้าแปลกไป

“ชิงเหนียง เจ้าใจเย็นๆ ก่อน ยังถามไม่ได้ความเลย เจ้าอย่าเพิ่งคิดมาก” ฮูหยินใหญ่ปลอบฮูหยินรอง

ขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกัน เสียงของนายท่านรองก็ดังขึ้นจากด้านนอกประตู

“ท่านพี่ต้องการพบข้ารึ”

คนยังไม่ทันเข้ามา แต่เสียงกลับนำหน้ามาก่อนแล้ว

นายท่านรองเฉิงสวมชุดสีครามตัวยาว กลิ่นเหล้าหึ่งไปทั้งตัว ใบหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาด้านใน นายท่านรองตกใจทันทีที่เห็นคนอยู่เต็มห้อง

“อยู่กันหมดเลยหรือ” เขากล่าว “มีเรื่องอะไรกัน”

เสียงยังไม่ทันสิ้น เมียก็เดินเข้ามาหา

“เรื่องดีๆ งั้นรึ เฉิงต้ง ท่านชายรอง ท่านก่อเรื่องไว้ไงเจ้าคะ!” ฮูหยินรองดึงนายท่านรองไว้

ทันใดนั้นใบหน้าของนายท่านรองก็ปรากฏรอยของฝ่ามือ เขาตั้งตัวไม่ทันทั้งยังหลบไม่ทันอีกด้วย

ไม่มีใครเคยคิดว่าฮูหยินรองที่อ่อนโยนมาโดยตลอดจะลงมือได้เฉียบขาดถึงเพียงนี้ ฮูหยินใหญ่เพิ่งได้สติจึงรีบลุกไปช่วยดึงกลับมา ส่วนนายท่านใหญ่ก็ลุกขึ้นเช่นกัน

ในห้องวุ่นวายขึ้นในทันทีทันใด

คนใช้ด้านนอกต่างบอกกันให้รีบหลบไปก่อน

ไม่เคยมีการเคาะประตูยามวิกาลครั้งใดเป็นเรื่องดี

แม้จะผ่านมาหลายปี แต่สาวใช้ทั้งหลายยังคงจำภาพเฉิงเจียวเหนียงเคาะประตูจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ และเรื่องนี้ก็เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

 ……………………………………………………..