บทที่ 11 ลูกคนโต Ink Stone_Romance

ปั้นฉินไม่รู้ว่าภายในประตูที่ตนเคาะนั้นผู้ที่อยู่ข้างในสองคนเริ่มทะเลาะกันแล้ว

ปั้นฉินและเฉิงเจียวเหนียงเดินมาถึงที่ประตู แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป

บรรดาคนรับใช้ที่อยู่โดยรอบต่างมีแววตาที่แปลกไป ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ เหมือนพยายามจะหลีกเลี่ยงพวกนางอยู่

ปั้นฉินประหลาดใจนัก

 “พวกเขาเป็นอะไรกันเจ้าคะ” นางถามเฉิงเจียวเหนียงเบาๆ “เหตุใดจึงมองเราด้วยสายตาแบบนั้น”

เฉิงเจียวเหนียวมองไปที่สวน

 “พวกนางเข้าใจคำพูดของเจ้าผิดไป” นางกล่าว

ปั้นฉินตอบรับ แต่ก็ทำให้ยิ่งสับสน

เมื่อครู่นางพูดกับยามด้วยความตื่นตระหนกว่ามาหานายรอง มาเพื่อนับญาติ มาจากปิ้งโจว

“มีอะไรให้เข้าใจผิดกันงั้นหรือเจ้าคะ” นางถามอย่างไม่เข้าใจ หลังจากถามเสร็จก็โยนความคิดนี้ทิ้งไป หากเฉิงเจียวเหนียงบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด อย่างนั้นคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ กระนั้นยังก็ยังคงไม่วางใจ “พวกเขาเข้าใจผิดเรื่องอะไรเล่า

เหตุใดเฉิงเจียวเหนียงถึงไม่เตือนข้าล่ะ”

เพราะว่าปากของข้าตามสมองไม่ทัน เฉิงเจียวเหนียงเงียบ อยากจะหัวเราะ แต่ยังไม่ทันได้หัวเราะอีกความคิดหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา

นางมองไปที่สวน มีสาวรับใช้สี่ห้านางกำลังเดินเข้ามาหน้าตาคร่ำเคร่ง

เมื่อปั้นฉินเห็นแล้วก็รีบเข้าไปรับ

 “แม่นมจ้ะ นายรองท่าน…” นางกล่าว

พูดยังไม่ทันจบประโยค สาวใช้สองนางก็รีบเข้ามาล้อมไว้

 “นายรองไม่อยู่บ้าน ดึกป่านนี้แล้ว แม่นางน้อยไปพักผ่อนก่อนเถอะ รอพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ พวกนางกล่าวพลางยืนฝั่งซ้ายคนหนึ่งฝั่งขวาคนหนึ่งหนีบปั้นฉินไว้ตรงกลาง

ปั้นฉินตกใจ

 “พวกเจ้าทำอะไร นางตะโกน” เมื่อเปิดปากก็ถูกผ้าขี้ริ้วผืนเก่ายัดเข้าไป

ปั้นฉินมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า

 “พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว” นางส่งเสียงครวญคราง

ความจริงแล้วคำพูดของเฉิงเจียวเหนียงถูกต้องมาโดยตลอด

 “ข้าเป็นบุตรสาวของนายรอง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สาวใช้สองนางที่เดินเข้าหาเขาสะดุ้งโหยง

อะไรนะ

ภายในบ้านฝั่งนี้ รองฮูหยินเฉิงก้มหน้าเช็ดน้ำตาขณะที่นายรองเฉิงกำลังจัดการกับเสื้อผ้าที่มีรอยขาดวิ้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ถนัดเรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่สามารถเรียกพวกเด็กๆ ให้เข้ามาเห็นเรื่องน่าขันนี้ได้

 “เข้าไปขังตัวเองในหอบรรพบุรุษครึ่งเดือนเดี๋ยวนี้ แล้วห้ามออกมาเด็ดขาด” นายใหญ่ตระกูลเฉิงด่าทอด้วยใบหน้าขมึง

 “อย่างไรเสียเขาก็ยังหนุ่มยังแน่น แถมยังอยู่ในตำแหน่งนั้นอีก ยากที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม ผู้หญิงพวกนั้นก็แค่เพื่อความบันเทิง พวกเราอย่ามาทะเลาะกันเพียงเพราะเรื่องนี้เลย” ฮูหยินใหญ่โอบไหล่ปลอบใจฮูหยินรอง

คนหนี่งโกรธ คนหนึ่งนิ่ง ฮูหยินรองเองก็รู้ว่านางไม่ควรโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่โต ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนเสียเปรียบเสียเอง

นางเช็ดน้ำตาพร้อมกับตอบรับ

“เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องเขาแล้ว รีบไล่ไปเสีย ถือเสียว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น” ฮูหยินใหญ่หายใจเฮือกใหญ่ มองไปที่นายรอง แล้วพูดว่า “น้องรอง ต่อไปเจ้าอย่าทำเรื่องเช่นนี้อีก ถ้าไม่คิดเผื่อตัวเจ้าเอง ก็ขอให้คิดเผื่อพวกพี่ๆ บ้าง”

สีหน้านายรองเฉิงยังบึ้งตึง ทั้งโกรธทั้งอาย

สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเข้ามาอย่างรีบร้อน

 “นายท่าน ฮูหยิน” พวกนางกล่าวคาราวะ

 “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ” ฮูหยินใหญ่ถาม

 “ยังเจ้าค่ะ สาวใช้ตอบ ชายตามองไปที่นายรอง เห็นได้ว่าท่านกำลังลังเลใจ

 “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ไม่ต้องสนใจ ให้ยัดผ้าเข้าปากแล้วเอาตัวไป พวกเจ้าทำงานมานานขนาดนี้ เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้หรือไง”

พวกสาวใช้ตกใจ

“เจ้าค่ะ” พวกนางกล่าว มองดูที่นายรองแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “แต่ว่า นางบอกว่า นางเป็นลูกสาวของนายรอง”

หลังจากที่มีคำๆ นี้ออกมา รองฮูหยินเฉิงจากเดิมที่สงบลงแล้วก็โวยวายขึ้นอีกครั้ง

 “เฉิงเอ้อหลาง นี่ถึงขึ้นมีลูกสาวกันเลยหรือไง ท่านทำเกินไปแล้ว” นางตะโกนแล้วโถมตัวเข้าใส่นายรองเฉิง

ครั้งนี้ฮูหยินใหญ่ยื่นมือเข้าไปหวังจะห้ามไว้ แต่ตัวเองก็ถูกลากตัวไปด้วยจนแทบล้มลง

บรรดาสาวใช้รีบเข้าไปพยุงตัวนางไว้

ทันใดนั้นในบ้านก็ได้เกิดปากเสียงขึ้นมาอีกครั้ง

ปั้นฉินยืนอยู่ข้างกายของเฉิงเจียวเหนียง มองดูสาวใช้ที่ล้อมรอบพวกนางไว้

 “ครั้งนี้ไม่น่าเข้าใจผิดแล้วใช่ไหม” นางกระซิบถามเฉิงเจียวเหนียง

 “กลัวแค่ผู้ที่ส่งสารจะสื่อไม่ชัดเจน หรือผู้รับสารอาจจะไม่เข้าใจสารที่ต้องการจะสื่อ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

ในบ้านนี้ ยังมีผู้ใดจำได้บ้างไหมว่าที่เมืองปิ้งโจวยังมีลูกสาวของตระกูลเฉิงอยู่

นางมองไปที่สวนของบ้าน เห็นเป็นเงาสะท้อนมาบดบัง แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเงาของอะไร

 “ไม่จริง” นายรองตะโกนตอบอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วผลักฮูหยินรองออก

ฮูหยินรองล้มลงกับพื้นและร้องไห้คร่ำครวญกับฮูหยินใหญ่

นายใหญ่เดินวนไปวนมา ดึงเอาดาบที่แขวนอยู่บนพนังออกมา

เหล่าสาวใช้พากันตกใจ รีบคุกเข่าหยุดนายใหญ่ไว้

ฮูหยินใหญ่ห้ามแล้วห้ามอีก ร้อนใจเป็นฟืนเป็นไฟ

 “ข้าจะไปดูว่าใครกันที่มาให้ร้ายข้า” นายรองพุ่งไปด้วยความโกรธ

 “เจ้ายังมีหน้าไปพบอีกหรือ ถ้าไปแล้วเจ้าไม่ต้องกลับเข้าบ้านอีก” นายใหญ่ด่าเสียงสั่น

นายรองเดินพุ่งออกไปราวกับไม่ได้ยิน

 “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พวกท่านดูสิ เขารีบออกไปนับญาติเช่นนี้” ฮูหยินรองร้องไห้ครวญคราง

ฮูหยินใหญ่รีบลุกขึ้นมา

นี่ถ้าได้พบกันแล้วก็คงหาข้ออ้างมาลบล้างไม่ได้

 “เจ้าไม่ต้องกังวลนะ มีข้าอยู่ทั้งคน ข้าไม่ยอมให้คนนอกเข้าบ้านเราได้ง่ายๆ หรอก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ยอมเด็ดขาด” นางกล่าว อีกใจก็อยากปลอบใจฮูหยินรอง อีกใจก็อยากรีบวิ่งตามออกไป

นายรองเฉิงมาถึงหน้าประตูอย่างรวดเร็ว มองเห็นหญิงสองนางยืนอยู่ใต้โคมไฟโดนเหล่าสาวใช้ยืนล้อมไว้ เป็นที่สะดุดตานัก

มีคนมาหาข้าถึงบ้านจริงสินะ

นายรองเฉิงเดินให้ช้าลง เขาเคยพลาดพลั้งก็จริง แต่เท่าที่จำได้ไม่เคยมีลูกข้างนอก หรือเป็นเพราะประมาทไป

ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ตีให้ตายก็ไม่ยอมรับ เพราะทางนี้เองก็คงไม่มีหลักฐาน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รอจนป่านนี้ค่อยมาหาหรอก

พอคิดได้เช่นนี้ นายรองเดินเร็วขึ้น เขาเก็บสีหน้าอาการแล้วเดินเข้าไปหา

 “นายท่านมาแล้ว” ปั้นฉินตะโกนอย่างดีใจเมื่อเห็นนายรอง

เฉิงเจียวเหนียงเห็นเขาแต่แรกแล้ว

ชายอายุราวสามสิบปีนี้ รูปร่างค่อนข้างผอม ส่วนสูงปานกลาง พอเข้าใกล้ก็เห็นใบหน้าขาวสะอาด รูปหน้าสี่เหลี่ยม ไม่ถึงกับดูดีแต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด

ฮูหยินใหญ่เดินตามหลังมาติดๆ

 “พวกเจ้านี่มันอะไรกัน” นายรองตะโกนถามเสียงต่ำ

เสียงยังไม่ทันสิ้นสุด ปั้นฉินก็เดินเข้ามาใกล้ๆ ด้วยความดีใจ

 “นายท่าน นี่ข้าปั้นฉินเอง” นางตะโกนพูด “ข้าพาคุณหนูกลับมาแล้ว”

นายรองเฉิงหยุดก้าวขา

ปั้นฉิน

คือใครกัน

 “คุณหนู คุณหนู นี่ไงท่านพ่อของคุณหนู” ปั้นฉินจับมือของเฉิงเจียวเหนียงแล้วพูดขึ้น ทั้งยินดีทั้งขมขื่น อดไม่ไหวจนร้องไห้ออกมา

“อย่าพูดจามั่วซั่ว ใครเป็นพ่อใครกัน” นายรองเฉิงรีบกล่าวขึ้น

“เจ้ามาจากที่ไหนหรือแม่นาง จำผิดคนหรือไม่” ฮูหยินใหญ่ก็เดินเข้ามา กล่าวถามด้วยเสียงทุ้ม

ปั้นฉินร้องไห้จนพูดไม่ออก และไม่สามารถอธิบายได้ เฉิงเจียวเหนียงก้าวมาข้างหน้า ยื่นมือดึงเอาผ้าคลุมออก

 “ท่านพ่อ” นางกล่าวพร้อมคุกเข่าลงกราบ

หญิงสาวนางนี้หน้าตาดียิ่ง พอมองดูแล้วรู้สึกคุ้นหน้านัก

นายรองกับฮูหยินใหญ่ตกตะลึง

 “เจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงได้พร่ำเรียกผู้อื่นว่าพ่อเช่นนี้” นายรองถามเมื่อได้สติ

“นายท่าน ท่านลืมไปแล้วหรือ ท่านบอกว่าจะไปรับพวกข้ากลับมาจากวัดเต๋า” ปั้นฉินร่ำไห้กล่าวว่า “วัดเต๋าถูกฟ้าผ่าและเกิดไฟไหม้ ข้ากับคุณหนูจึงกลับมากันเอง”

บนฟ้ามืดราวกับมีเสียงเหมือนฟ้าร้องดังขึ้น

นายรองและฮูหยินใหญ่ตกใจทันที

นี่ไม่ได้เป็นการเรียกบิดาอย่างพร่ำเพรื่อ แต่เป็นลูกสาวของเขาจริงๆ

นายใหญ่ตกใจนิ่ง

“นี่ ใช่จริงหรือ” ยังมีบางคำถามที่เขายังไม่แน่ใจ

“เจ้าค่ะนายท่าน เฉิงเจียวเหนียงจากวัดเต๋าที่เมืองปิ้งโจวกลับมาแล้ว” สาวใช้กล่าว

นายใหญ่ค่อยๆ วางดาบเก็บไว้บนโต๊ะ

“นางนี่เอง” เขากล่าวพึมพำ ถอนหายใจ เหมือนนึกอะไรออก แล้วเกิดความประหม่า “คนตระกูลโจวก็มาด้วยหรือ”

สาวใช้ยังไม่ทันนึกออกว่าคนตระกูลโจวคือใคร แต่ฮูหยินรองกลับนึกออกแล้ว

ตระกูลโจว ตระกูลของภรรยาคนแรกของสามีนาง ก่อนที่ตนจะเข้าบ้านนี้ ยังถูกคนตระกูลโจวดูหมิ่นเพราะเป็นผู้มาก่อน หากไม่เป็นเพราะว่าตระกูลของบ้านนางพอมีอำนาจบ้าง นางยังต้องเข้าพิธีเคารพน้ำชาคนตระกูลโจวนี้

ฮูหยินรองหยุดร้องไห้ ค่อยๆ ยกมือที่วางบนเข่าขึ้นมา

เป็นลูกสาวของนางนั่นเอง

ลูกสาวคนโตของนายรองเฉิงกลับมาแล้ว

 “อะไรนะ เป็นลูกสาวคนโตงั้นหรือ”

ลึกเข้าไปในสวนของบ้าน เฉิงชีเหนียงที่ปล่อยผมนอนราบกับพื้นลุกขึ้นนั่งในทันที

 “ข้ามีพี่สาวเพิ่มคนหนึ่งงั้นหรือ” นางเบิกตากลมโตถาม ใบหน้าสีขาวเริ่มขึ้นสีแดง นิ้วมือที่ทาสีเล็บแดงอ่อนอันแหลมคมชี้มาที่ตัวเอง “ข้าไม่ใช่ลูกสาวคนโตแล้วสินะ”

……………………………………………………..