บทที่ 12 อย่างไร Ink Stone_Romance

แสงไฟของเรือนตระกูลเฉิงสว่างแทบทั้งคืน

สองพี่น้องตระกูลเฉิงรวมทั้งภรรยานั่งในบ้านของนายใหญ่ สาวใช้ต้มน้ำซุปบำรุงกำลังมาให้เจ้านาย

“นอนหรือยัง” ฮูหยินใหญ่ถาม

สาวใช้พยักหน้า

“พวกนางทั้งสองนอนเตียงเดียวกัน” นางกล่าว

“แล้วตรวจดูสัมภาระหรือยัง” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามต่อ

“ตรวจดูแล้ว ไม่มีสิ่งใด เงินทองก็ไม่มี มีเพียงเสื้อผ้าติดตัวไม่กี่ชุด เตา กล่องอาหารเปล่า ไม่มีอะไรอย่างอื่นเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว

หลังจากที่ฟังนางพูด สีหน้าของทั้งสี่คนที่อยู่ในบ้านก็แปลกไป

เพียงมีสิ่งของเหล่านี้ก็สามารถเดินทางจากปิ้งโจวมายังเจียงโจวได้เลยหรือ แบบนี้แค่ไปจุดธูปที่วัดในชานเมืองก็ไม่น่าจะเพียงพอ

ฮูหยินใหญ่โบกมือ เหล่าสาวใช้ก็ทยอยออกไป

“เด็กคนนั้นออกจากบ้านไปนานแล้ว จนข้าแทบจำรูปร่างหน้าตาของนางไม่ได้” ฮูหยินรองมองดูนายรองแล้วกล่าว “ท่านเห็นแล้ว คิดว่าใช่หรือไม่”

ตอนที่คนตระกูลโจวแต่งเข้ามา รอกว่าสองปีก็ยังไม่ตั้งครรภ์ ทั้งบ้านกังวลเป็นอย่างมาก แต่พอมีครรภ์แล้ว แม้ว่าบุตรที่คลอดออกมาจะเป็นบุตรสาว แต่ทั้งบ้านก็ดีใจเป็นอย่างมาก

สมัยนั้นนายท่านยังมีชีวิตอยู่ จึงตั้งชื่อให้ทารกด้วยตนเอง คิดไม่ถึงว่าพออายุได้หกเดือนกลับพบว่ามีปัญหา

“ลูกของคนอื่นสามารถใช้สายตามองผู้อื่นได้แล้ว แต่นางกลับนิ่งและมองเหม่อไปข้างหน้า บุตรของคนอื่นสามารถนั่งได้แล้ว แต่นางกลับทำไม่ได้ ได้แต่ฝืนพลิกตัว ตอนแรกเข้าใจว่ามีปัญหามาจากการตั้งครรภ์ แต่ก็ให้กินดีอยู่ดีมาโดยตลอด แต่ปัญหาก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำลายยืด ตาลอย พูดไม่ได้ พออายุครบหนึ่งขวบ ก็ได้รับการยืนยันว่าสติไม่สมประกอบ” แม่นมนั่งส่งเสียงกระซิบเล่าเรื่องในอดีต

แม่นางเฉิงเจ็ดที่สวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วงนั่งกอดเข่าอยู่บนตั่ง พอนางอายุได้แปดขวบก็เริ่มรักสวยรักงาม ฉลาดหลักแหม

“ตอนนี้ก็ยังสติไม่สมประกอบอยู่อีกหรือ” นางตะโกนถาม

แม่นมรีบร้องชู่บอกนางให้เงียบเสียง

“คุณหนูของบ่าว เบาเสียงหน่อย” นางกล่าว

“ข้าจะพูด” เสียงของนางดังขึ้นเรื่อยๆ แถมยังปาหมอนที่อยู่ข้างๆ ออกมา “มีพี่สาวสติไม่สมประกอบ แล้วต่อไปจะกล้าออกไปเจอผู้คนได้อย่างไร”

เสียงจากตัวบ้านดังไปถึงข้างนอก สาวใช้ที่อยู่ข้างนอกได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าพูดอะไร

แม่นางเฉิงเจ็ดเอาแต่ใจ นิสัยไม่ค่อยดี พออาละวาดขึ้นมาก็ไม่มีใครกล้าไปยุ่ง

ฝั่งนายรองเฉิงก็รู้สึกไม่ชอบใจ แต่ยังไงก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ยังไงก็ไม่สามารถโวยวายเหมือนเด็กได้

“ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไร หลังจากที่แม่นางเสีย ก็ส่งนางไปอยู่ที่วัดเต๋าแล้ว” เขากล่าว

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า ขนาดเจ้าที่เป็นบิดายังจำไม่ได้ แล้วพวกข้าจะจำได้เยี่ยงไร” นายใหญ่เฉิงถอนหายใจหน้าเครียด

“เช่นนั้นก็คงใช่แล้วกัน” นายรองเฉิงกล่าว

นายใหญ่เฉิงโกรธจนจะลุกไปหยิบดาบอีกครั้ง แต่ฮูหยินใหญ่เข้ามาห้ามไว้

“เมื่อนั้นท่านนักบวชกล่าวไว้ว่า ไม่ให้มีการเยี่ยมญาติ ตอนที่ส่งไปก็อายุราวหกเจ็ดปี หญิงสาวพอโตก็รูปร่างเปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้โตอยู่กับเรา จะรู้ได้อย่างไร” นางกล่าว

พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของหญิงสาววัยสิบแปด ทุกคนในบ้านต่างก็เงียบไปชั่วขณะ

“ว่าแต่พวกนางสองคนเดินทางมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน” ฮูหยินรองถามขึ้นทันใด

“เพราะตอนนั้นฮูหยินใหญ่โจวมอบเงินก้อนหนึ่งไว้ให้กับนาง ฝังไว้ใต้ดินที่วัดเต๋า เมื่อวัดเกิดไฟไหม้ ปั้นฉินจึงขุดออกมา จ้างรถม้าเพื่อเดินทางมายังที่นี่ คนหนึ่งสติไม่สมประกอบ คนหนึ่งเป็นบ่าว โชคดีที่ระหว่างทางกลับไม่ถูกหลอกไปขาย เพียงแต่โดนหลอกเอาเงินไปบ้าง ใช้เองจนหมดบ้าง” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว

คนในบ้านต่างก็พยักหน้า ล้วนเป็นจริงเช่นนั้น

เมื่อข้างนอกสงบลงแล้ว ปั้นฉินลุกขึ้นมาจากเสื่อ เฉิงเจียวเหนียงที่นอนตะแคงอย่างไม่สนใจอยู่ที่เตียงไม้ไผ่ “คุณหนู” นางเรียกเบาๆ “ทำไมจึงไม่บอกว่าพวกเรามาที่นี่อย่างไร ฮูหยินใหญ่ไม่ได้มอบเงินให้พวกเราสักนิด หากบอกพวกเขาไปว่าท่านสามารถรักษาโรคได้ นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรือ”

เฉิงเจียวเหนียงไม่ขยับตัว

ปั้นฉินคิดว่านางนอนหลับแล้ว จึงค่อยๆ ปีนกลับมา

“บอกไปเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี” เสียงของเฉิงเจียวเหนียงค่อยๆ ดังขึ้น

“คุณหนูก็ยังไม่นอนหรือ นอนไม่หลับใช่หรือไม่” นางถามเบาๆ “พวกเราถึงบ้านแล้ว”

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มในใจ แต่สิ่งที่แสดงออกทางสีหน้านั้นแสนเบาบาง ยิ่งในเวลากลางคืนยิ่งเห็นไม่ชัด

“อืม” นางกล่าว

“คุณหนู รีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องได้พบผู้คนมากมายแน่นอน” ปั้นฉินกดเสียงลงต่ำแล้ว เฉิงเจียวเหนียงตอบรับก่อนจะหลับตาลง

ลมยามค่ำคืนลอยผ่านเข้ามาจากริมหน้าต่าง คืนที่เงียบสงบ แต่กลับมีเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนลอยมาด้วย แต่กลับไม่ได้รบกวนนายบ่าวสองคน

ครั้งนี้ปั้นฉินนอนหลับสนิทอย่างรวดเร็ว นี่น่าจะเป็นการนอนพักที่ดีที่สุดในรอบหลายเดือนของหญิงสาวทั้งสอง เฉิงเจียวเหนียงได้ยินเสียงกรน อยากจะพลิกตัว แต่ลองดูแล้ว สุดท้ายก็ถอดใจ

ถึงบ้านแล้ว ที่นี่คือบ้านของนางหรือ

เฉิงเจียวเหนียงหลับตาลง และนอนหลับไปอย่างเงียบๆ

ดึกมากแล้ว คนทั้งสี่ของตระกูลเฉิงก็สิ้นสุดการสนทนาลงชั่วคราว เพราะต่างก็ไม่รู้จะพูดสิ่งใดต่อดี

“คืนนี้ส่งคนไปที่ปิ้งโจว แล้วไปสอบถามตระกูลโจว ก็คงจะได้คำตอบ” นายใหญ่เฉิงกล่าว ยกมือขึ้นเป็นการตัดสินใจ

สองสามีภรรยาเฉิงรองกลับถึงเรือนของตน ทั้งสองแยกกันทำธุระของตนเอง เสร็จแล้วนายรองเฉิงก็จะรีบไปที่ห้องหนังสือ แต่ฮูหยินรองเฉิงก็ได้เข้ามาหยุดไว้

“เป็นความผิดของข้าเอง ที่ไม่ได้ถามให้ชัดเจนก็โวยวายขึ้น” นางถือถ้วยชายื่นขอขมาสามีด้วยตนเอง ก้มหัวกล่าวเสียงค่อยด้วยความเสียใจ

เห็นภรรยาสำนึกผิดแล้ว สีหน้าของนายรองเฉิงก็เริ่มดีขึ้นมาหน่อย ตอบกลับอืม เขาไม่ได้รับชา แต่ก็ไม่ได้เดินหนีไป ฮูหยินรองเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมือมาจับชายเสื้อของสามีไว้

“ท่านพี่ ข้ามิใช่คนที่ไม่มีเหตุผล เพียงแต่ความรักที่มีทำให้ข้าไม่สามารถควบคุมตนเองได้ แต่ไรมาท่านก็รู้ว่าข้ามิได้เป็นคนขี้หึงหวง แต่ครั้งนี้ได้พอยินว่าเป็นคนภายนอก และมาหาท่านดึกๆ ดื่นๆ ข้ารู้สึกตกใจและหวาดกลัว เวลาที่คับขันเช่นนี้ หากมีจุดอ่อนอะไรที่คนอื่นรู้เข้า ท่านพี่ ชีวิตข้าและลูกล้วนต้องพึ่งพาท่าน” นางกล่าว มองนายรองเฉิงด้วยนัยต์ตาที่พร่าไปด้วยน้ำตา

นายรองเฉิงแต่งงานใหม่กับบุตรสาวคนเล็กตระกูลเผิงในตงผิงโจว อายุน้อยกว่าเขาหกปี และยังเป็นแม่มือใหม่ กำลังเป็นช่วงเวลาที่มีเสน่ห์มากเป็นพิเศษ บวกกับคำพูดและท่าทางแบบนี้ ความโกรธของนายเฉิงรองนั้นหมดไปนานแล้ว

“เจ้านี่จริงๆ เลย จะไม่ให้ข้าโกรธได้อย่างไร ในสายตาเจ้า ข้าเป็นคนไม่รอบคอบขนาดนั้นเลยหรือ” เขากล่าว แล้วจึงนั่งลงพร้อมรับถ้วยชา

ในที่สุดสองสามีภรรยาก็ปรับความเข้าใจกัน บรรยายกาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่น

“เพียงแต่นางกลับมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะจัดการต่อเช่นไรถึงจะดี” ฮูหยินรองกล่าว

“คนสติไม่ดีเพียงคนเดียว จะมีอะไรยุ่งยากนักเล่า แค่ให้กินดื่มเท่านั้นก็พอ” นายรองเฉิงกล่าวแบบไม่ใยดี พูดเสร็จก็หาว พร้อมกับเตรียมจะไปเข้านอน

คุณนายรองไตร่ตรองชั่วครู่

นึกถึงเรื่องราวของคนไม่เต็มบาทคนนี้แล้ว พลันนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา

“พี่รอง เมื่อครู่ที่เรือนพี่ใหญ่ ท่านกล่าวถึงแม่นางลี่ว์ แม่นางสิบสาม คือผู้ใดกันหรือ” นางถาม

นายรองเฉิงที่กำลังถอดเสื้อเตรียมเข้านอนท่าทางเปลี่ยนไป

นั่นเป็นเพราะเมื่อครู่ที่ทะเลาะกันแล้วเผลอพูดชื่อของคนเก่าที่เคยใยดีด้วยในอดีตออกมา แต่ก็พูดเพื่อบอกพี่ใหญ่ว่าตัดสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าฮูหยินรองที่ร้องไห้อยู่ในขณะนั้นจะได้ยินและจำได้

นี่ล้วนแต่เป็นเพราะเจ้าสติไม่ดีนั่นแท้ๆ หากนางไม่ได้ปรากฏตัวมาในกลางดึกเช่นนี้ เรื่องวุ่นวายเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร

คนไม่เต็มบาทจะก่อเรื่องยุ่งยากอะไรได้งั้นหรือ คิดผิดไปจริงๆ คนสติไม่ดีคนนี้เพิ่งมาถึงก็ก่อปัญหามากมายมาให้เขาแล้ว

 …………………………………………………………….