บทที่ 13 นินทา Ink Stone_Romance

ทางทิศตะวันออกของเรือนรองตระกูลเฉิง ติดกับสระบัวเป็นเรือนหลังใหญ่สองเรือนที่มีสวนดอกไม้ และเป็นสถานตาก

อากาศในฤดูร้อน เรือนของหญิงสาวในบ้านล้วนอยู่ใกล้บริเวณนี้

รุ่งเช้าเหล่าสาวใช้ต่างพากันมาปรนนิบัติรับใช้ แต่สิ่งที่ต่างไปจากทุกวันคือทุกคนต่างเดินผ่านและหยุดที่บ้านสวนหลัง

หนึ่งพร้อมกับส่งสายตาสอดส่องและพูดคุยกัน

กลางดึกเมื่อคืนนี้ บ้านหลังนี้ได้ถูกจัดเก็บอย่างกะทันหัน และมีหญิงนางหนึ่งได้เข้าไปอาศัย ว่ากันว่า นางเป็นบุตรสาวคนโตของบ้าน

“พวกเราต้องมาจัดลำดับกันใหม่แล้ว ต่อไปแม่นางเฉิงเจ็ดก็ต้องเป็นแม่นางเฉิงแปดแล้ว” แม่นางเฉิงหกวัยสิบสองปีหัวเราะคิกคัก

หลังจากฟังคำพูดของนาง หญิงสาวสองนางที่กินข้าวอยู่ในบ้านก็วางตะเกียบลง ก้มหัวลงและกลั้นหัวเราะ

แม่นมวิ่งมาอย่างตื่นตระหนก

“คุณหนูหก อย่าแกล้งน้องเล่นแบบนี้” นางกล่าว

แม่นางเฉิงหกเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านใหญ่ ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ของบ้านตัวเอง แม่นางเฉิงเจ็ดจึงไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงนัก

ความโกรธที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อคืนของแม่นางเฉิงเจ็ดได้ปะทุขึ้นมาจากคำพูดนี้ นางโยนตะเกียบ ร้องไห้แล้ววิ่งออกไปข้างนอก

แม่นมถอนหายใจแล้วรีบตามออกไป

เห็นแม่นางเฉิงเจ็ดร้องไห้วิ่งหนี แม่นางเฉิงหกแลบลิ้นล้อเลียน แล้วเดินจากไป

หญิงสาวสองนางที่เหลืออยู่ในบ้านต่างจ้องมองกัน

“เจ้ายังจำคนสติไม่สมประกอบนั่นได้หรือไม่ ” แม่นางเฉิงสี่ถาม

“ตอนที่นางออกไปเราเพิ่งจะอายุได้สิบสอง จะจำได้อย่างไรเล่า” แม่นางเฉิงห้ากล่าว แล้วค่อยๆ จับตะเกียบขึ้นมา

กินข้าว “อีกอย่าง คนสติไม่สมประกอบมีอะไรให้น่าจดจำเล่า ก็เท่านี้แหละ”

ขณะที่กล่าว นางได้ทำท่าทางแลบลิ้นและกรอกตา ทำหน้าตาล้อเลียน

แม่นางเฉิงสี่โดนหยอกจนหัวเราะ

“อย่างนั้นต่อไปข้าก็เป็นแม่นางเฉิงห้าแล้วซิ” นางกล่าวพร้อมกับยื่นมือชี้ไปที่แม่นางเฉิงห้า

ช่างเป็นเรื่องน่าขำสิ้นดี สองพี่น้องมองตากันอีกครั้ง แล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง

ฮูหยินรองที่ไม่ได้หลับแทบทั้งคืนแม้แต่ข้าวก็ยังไม่ทันได้กิน อยากจะหลับต่ออีกสักพัก แต่กลับถูกลูกสาวร้องไห้เสียงดัง

รบกวนจนหลับนอนต่อไม่ได้

“ไม่มีใครไม่ให้เจ้าเป็นแม่นางเฉิงเจ็ด เจ้าคือแม่นางเฉิงเจ็ด และจะเป็นแม่นางเฉิงเจ็ดตลอดไป” นางกล่าวพร้อมกับลูบหัวบุตรสาว

แม่นางเฉิงเจ็ดจับชายเสื้อของมารดา นัยน์ตาดวงโตน้ำตาคลอเบ้า อารมณ์ของนางสงบลงเมื่อได้รับการรับการยืนยันจากมารดา

“อย่างนั้น ข้าไม่อยากจะมีพี่สาวที่ไม่สมประกอบ คนอื่นจะหัวเราะเยาะข้าได้” นางเริ่มบิดตัวกล่าว

ถ้าเป็นไปได้ ทุกคนในตระกูลเฉิงล้วนแล้วแต่มีความต้องการเช่นนี้ แต่จะมีวิธีใดเล่า

เจ้าสติไม่ดีถูกส่งไปที่วัดเต๋าตั้งเจ็ดแปดปี ไม่ตายไม่พอ ซ้ำยังกลับมาอีก

ฮูหยินรองเฉิงรู้สึกเพียงว่าปวดหัวจนจะระเบิด

“เอาล่ะ แม่นางเฉิงเจ็ด เจ้าจะโวยวายไปทำไมเล่า เจ้าลองมองดูตัวเองว่าเหมือนกุลสตรีหรือเปล่า ถ้าเจ้ายังเป็นเช่นนี้ เจ้าจะต่างอะไรกับพี่สาวที่สติไม่ดีของเจ้า ที่ถูกคนทั้งเมืองหัวเราะเยาะ” นางก้มหน้าลงพูดกับลูก

นี่นับเป็นฝันร้ายที่สุดของแม่นางเฉิงเจ็ด นางมองไปที่มารดา พร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดัง

เรือนรองของตระกูลเฉิงเสียงดังวุ่นวายตั้งแต่เช้า

ข่าวถูกส่งไปถึงเรือนใหญ่ของตระกูลเฉิง สองสามีภรรยาประมุขแห่งเฉิงใหญ่ที่แทบไม่ได้นอนมาทั้งคืนสบตากัน พร้อมถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“น้องรองเป็นลูกผู้ชาย น้องสะใภ้แต่งเข้าบ้านมาก็ไม่ทันได้เห็นหน้าเด็กคนนั้น ข้าว่าอย่าให้พวกเขาถามอะไรอีกเลย พานางเข้ามาหาข้าก็แล้วกัน” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว

นายใหญ่เฉิงพยักหน้ารับอย่างเหนื่อยหน่าย

“เด็กคนนั้นกินข้าวหรือยัง” ฮูหยินใหญ่ให้สาวใช้ไปถาม

ไม่นานนักสาวใช้ก็กลับมารายงาน

“ยังหลับอยู่เจ้าค่ะ” นางกล่าว

ฮูหยินใหญ่เฉิงรู้สึกตกใจ มองดูท้องฟ้าข้างนอก แสงสว่างยามเช้าในฤดูร้อน ขณะนั้นดวงอาทิตย์สูงโด่งทั้งในและนอกเรือนล้วนแต่มีแสงสว่างแยงตา

“กับคนสมประกอบคนหนึ่ง เจ้ายังคาดหวังให้เขาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติหรือ ไม่กินก็นอน” นายใหญ่เฉิงกล่าวอย่างไม่สนใจใยดี “ไม่ต้องถามแล้ว ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ”

เฉิงเจียวเหนียงสองนายบ่าวนอนหลับสนิทในวันแรกที่กลับมาถึงบ้านตระกูลเฉิง

เมื่อปั้นฉินได้กลับมาปักหลักที่บ้าน จิตใจจึงได้ผ่อนคลาย ความกลัวที่สั่งสมมานานหลายเดือนมลายหายไปสิ้น นางนอนหลับสนิทกว่าที่ผ่าน

เฉิงเจียวเหนียงเองที่หลับไม่สนิทมาตลอดหลายเดือน มาถึงตอนนี้ นอนหลับพักผ่อนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคืนนี้ ที่หลับสนิทโดยไม่ฝันอะไรเลย อาจเป็นเพราะการกลับมาถึงที่บ้านจริงๆ เสียที เพราะจิตวิญญาณได้กลับสู่ถิ่นฐานเป็นแน่แท้

สรุปแล้ว นายบ่าวทั้งสองมีความสุขเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลังทำธุระเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะพบว่าอาหารบนโต๊ะเย็นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด

“ที่เรือนจะกินข้าวกันค่อนข้างเร็ว พวกเจ้ามาใหม่คงไม่รู้กฎ เตาไฟเมื่อปิดไปแล้วจะจุดใหม่ก็กะไรอยู่ คนทั้งบ้านอยู่กันตั้งมาก ไม่ได้สร้างครัวเล็กไว้ใช้เองด้วย” สาวใช้ที่อยู่ระเบียงทางเดินด้านนอกอธิบายด้วยใบหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะไม่ยิ้มก็ไม่เชิง

นางทำท่าดูแสงแดด แล้วพูดต่ออีกว่า “หรือจะรออีกสักพัก นี่ก็จวนจะกินข้าวเที่ยงกันแล้ว”

นี่เป็นการประชดที่พวกนางตื่นสาย แต่ปั้นฉินไม่ได้สนใจอะไร

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวข้าอุ่นอาหารเอง” นางกล่าวพลางส่งยิ้มให้กับสาวใช้

อุ่นเองงั้นหรือ สาวใช้ตกตะลึง เห็นหญิงสาวเข้าไปไม่นานก็จุดเตาไฟอันเล็กสองตัวไว้กลางบ้าน เปิดกล่องข้าวออก ข้างในมีอุปกรณ์ทั้งหมดครบสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่ครบสมบูรณ์ มิหนำซ้ำยังเรียบหรูอีกด้วย มีหลายสิ่งที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน

คนไม่สมประกอบมีรสนิยมดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ

สาวใช้เห็นแล้วรู้ยิ่งตื่นตาตื่นใจ ขณะเดียวกันข้างหลังก็มีสาวใช้อีกคนหนึ่งยื่นมือมาสะกิดนาง

“เป็นอย่างไรบ้าง” สาวใช้ที่มาทีหลังถามนางด้วยความสงสัย แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปแอบมองในห้องโถงอย่างเงียบๆ

สาวใช้ที่มาก่อนส่ายหน้า

“ยังไม่ออกมาเลย ข้าเองก็ไม่ได้เข้าไป ตอนนี้หน้าต่างยังเปิด เจ้าลองแอบดูสิ” นางกล่าวแล้วยิ้มเบาๆ

สาวใช้สองนางหัวเราะคิกคักด้วยกัน

ทางปั้นฉินที่อุ่นอาหารเสร็จแล้ว ก็นำอาหารบรรจุเข้าลงในกล่องอาหารแล้วมุ่งตรงไปที่ห้องนอน สาวใช้สองนางไม่มีใจจะตามเข้าไปดูเหตุการณ์

“ข้าจำได้เมื่อก่อนตอนนางยังเด็ก ข้าวก็กินไม่เป็น จะถ่ายหนักถ่ายเบาก็ไม่รู้เรื่อง พอถึงฤดูหนาว เสื้อผ้าก็ยังซักไม่ได้ กลิ่นตัวเหม็นตลอดทั้งวัน ฮูหยินคนก่อนต้องเอาธูปมาจุด จนเด็กสติไม่ดีนั่นฉุนจนจามที ฉี่เล็ดที”

อีกด้านหนึ่ง สาวใช้ของจิ๋วเส่าที่ชอบพูดคุยเล่นด้วยกัน พอนางพูดถึงตรงนี้ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา

“ก็ลำบากใจแทนฮูหยินคนก่อนเสียจริง ลูกสาวที่เป็นเช่นนี้ไม่ควรเก็บเอาไว้ตั้งแต่แรก”

“ไม่ใช่เพราะเมื่อก่อนนายใหญ่อยากปล่อยให้ตาย แต่ฮูหยินกลับไม่ยอม ร่ำไห้เสียงดัง ย้ายไปบ้านญาติ จนทำให้นายใหญ่โกรธนานเป็นถึงสามวัน สุดท้ายก็ทำใจ ไม่ยุ่งกับเรื่องของเรือนรองอีก”

“โบราณว่าไว้ คนแก่อาบน้ำร้อนมาก่อน ฮูหยินรองคนก่อนนางไม่ยอมฟังคำผู้ใหญ่ ก็ต้องยอมเหน็ดเหนื่อยเพราะเด็กคนนี้ นายรองเฉิงไม่ชอบใจ ก็เลยไม่มีบุตรด้วยกันอีก นางเหนื่อยจนร่างกายสู้ไม่ไหว เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทิ้งให้ลูกของนางต้องทนแบกรับความลำบากไปอีก ไม่สู้ตัดใจเสียแต่แรก ลูกของนางคนนี้ก็เกิดใหม่มีชีวิตที่ดีแล้ว”

“ดูเจ้าพูดเข้า ถ้าไม่ใช่เพราะฮูหยินก่อนเสียไว แล้วจะมีฮูหยินใหม่เหมือนวันนี้ได้เยี่ยงไร”

คำพูดนี้ทำให้เกิดเสียงหัวเราะ และหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของฮูหยินรองใหม่

“แล้วพวกเจ้าคิดว่าฮูหยินคนก่อนกับฮูหยินใหม่คนไหนดีกว่ากัน”

การเปรียบเทียบกับคนตาย เป็นกฎข้อห้ามของฮูหยินรอง แต่นี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับผู้เป็นภรรยาใหม่ นางทราบเรื่องนี้ดี ตั้งแต่ตอนที่แต่งเข้าบ้านตระกูลเฉิงแล้ว

หญิงคนใดไม่อยากจะแต่งงานแล้วเป็นรักเดียวของกันและกันบ้างเล่า แต่ว่าบางครั้งชีวิตก็เลือกไม่ได้ เป็นเพราะบิดาของนางได้รับโทษ ทั้งบ้านโดนหางเลขไปด้วย ไม่มีใครอยากเกี่ยวดองจนนางถูกทิ้งให้เป็นสาวแก่ สุดท้ายต้องยอมออกเรือนเป็นภรรยาใหม่ของผู้อื่น

ยังดีที่สามีเป็นหนุ่มหล่อ อาชีพการงานดี เป็นคู่ครองที่อ่อนโยน แม่สามีเป็นคนธรรมะธรรมโม นางแต่งเข้าบ้านนี้ เหมือนไม่ได้มาเป็นลูกสะใภ้ แต่เหมือนมาเป็นลูกสาวมากกว่า แล้วยังมีบุตรสาวให้ตระกูลอีก สิ่งต่างๆ ที่นางกังวลก่อนที่จะออกเรือนก็ค่อยๆ คลายไปจนสิ้น

นึกไม่ถึงว่าในขณะที่ชีวิตกำลังดีขึ้นในทุกวัน กลับมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ความกลัวเหล่านั้นที่ถูกกลบเกลื่อนอยู่ข้างใน

กลับโผล่ออกมาอีกครั้ง

ถ้านางจากไป นางและสามีก็ไม่อาจฝังร่างร่วมกันได้ ตรงกลางต้องถูกคั่นไว้ด้วยโลงศพอีกหนึ่ง และนางทำได้เพียงอยู่ในตำแหน่งล่างถัดไป ถึงแม้ว่านางจะเคียงข้างสามีเป็นหลายสิบปี หรือมีบุตรเพื่อสืบสกุลให้แล้วก็ตาม ก็มิอาจสู้กับหญิงอายุสั้น

ที่ไม่มีความสำคัญอะไรภายในบ้านเลย เพียงเพราะนางแต่งเข้าบ้านก่อน เพียงเพราะนางเป็นภรรยาคนแรกของสามี

ฮูหยินรองเฉิงสั่นไปทั้งตัว โดนลูกสาวร้องไห้ปลุกแต่เช้า และหวนคิดถึงคำพูดประโยคนั้นของลูกสาวที่ว่าข้าไม่ต้องการพี่สาวที่เป็นคนไม่สมประกอบ

เพราะนางคนเดียว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัญหาที่มากับเจ้าคนสติไม่ดีนั่น ทำไมนางไม่ตายไปที่ปิ้งโจวไปเสีย เหตุใดยังกลับมาที่นี่ได้อีก

 ………………………………………………………………..