บทที่ 3
จู่ ๆ มีเสียงหัวเราะด้วยความเย่อหยิ่งดังขึ้น พร้อมกับถ้อยคำที่เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
คำพูดประโยคนี้ดังมาจากปากของชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อแพร และในขณะเดียวกัน ก็มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งของสำนักยุทธ์ที่กำลังฝึกยุทธ์อยู่ในที่ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ต่างหันมองมาทางนี้เช่นกัน
ชายหนุ่มที่สวมใส่ชุดแพรคนนี้ก็คือจางเจี๋ย ซึ่งเป็นคนทำร้ายเขาเมื่อคืน เมื่อคืนเขาได้ลั่นวาจาเอาไว้ว่า หากเขาเห็นหน้าหลัวซิวเมื่อไหร่ เขาก็จะทำร้ายหลัวซิวอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นหลัวซิวอยู่ในลานฝึกยุทธ์ เข้าจึงพุ่งเข้าใส่ด้วยท่าทีดุดัน
“คิดที่จะเรียกร้องความสนใจจากหญิงสาวที่ข้าหมายปอง ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย น้ำหน้าอย่างเจ้าจะรับมือข้ได้สักกี่ครั้ง ? ถ้าหากยอกคุกเข่าลงแล้วคลานไปมาเหมือนสุนัขสักสามรอบ จากนั้นก็กลับมาเลียรองเท้าของข้าให้สะอาด ไม่แน่ว่าวันนี้ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปก็ได้” จางเจี๋ยชี้นิ้วไปที่จมูกของหลัวซิว และหัวเราะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
หลัวซิวจ้องมองจางเจี๋ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร
ถึงแม้เขาจะชินชากับความอัปยศอดสู ชินชากับคำดูถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบรรดาคุณชายผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ แต่ความไม่พอใจและโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นภายในก้นบึ้งของหัวใจก็ยากที่จะสามารถควบคุมเอาไว้ได้ ทำให้ร่างกายของเขาเกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาด้วยความโมโห
“บ้าเอ๊ย เจ้าเป็นใบ้ไปแล้วหรืออย่างไร คุณชายจางกำลังพูดกับเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินหรือ ?” ลูกสมุนที่ยืนอยู่ด้านหลังจางเจี๋ยก้าวเข้ามา แล้วใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าด้านซ้ายของหลัวซิว
พวกอันธพาลเหล่านี้ มักมีท่าทีหยิ่งยโสเช่นนี้อยู่เสมอ
คนที่ลงมือกับหลัวซิวมีชื่อว่าหลี่ห่าย ครอบครัวมีฐานะธรรมดา แต่เขารู้จักประจบประแจง วันทั้งวันจะคอยติดสอยห้อยตามจางเจี๋ยอยู่ตลอดเวลา เมื่อคืนที่ทำร้ายหลัวซิว ชายหนุ่มคนนี้ก็ร่วมลงมือด้วยเช่นกัน
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าไม่เพียงแต่จะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยเท่านั้น แต่สมองยังโง่เง่าเหมือนหมูอีกด้วย คุณชายจางให้โอกาสเจ้าได้คุกเข่าร้องขอชีวิต แต่ในเมื่อเจ้าไม่เห็นค่าของโอกาสนั้น ข้าก็จะตีเจ้าจนกว่าเจ้าจะยอมลงไปคุกเข่าอ้อนวอน !” พูดจบ หลี่ห่ายก็ยกมือขึ้นแล้วฟาดลงไป
ขณะที่ฝ่ามือของเขากำลังจะตบลงไปบนหน้าของหลัวซิว ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ร่างกายของเขาก็รู้สึกเย็นไปทั้งตัว ราวกับว่าตนเองกำลังถูกสัตว์ร้ายจับจ้อง ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาพลันช้าลง
ฮะ ! เป็นหลัวซิวที่กำลังจับมือของเขาเอาไว้แน่นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
ทำไมข้าจะไม่มีสิทธิ์ตอบโต้บ้าง !
ทำไมข้าจะต้องเป็นฝ่ายอ้อนวอนขอร้อง !
ทำไมข้าโดนดูถูกแล้วยังจะต้องคุกเข่าลงอีก !
ข้า ! ไม่ใช่หลัวซิวคนเดิมอีกต่อไปแล้ว !
“หึ ! สุนัขข้างถนนอย่างเจ้าคิดที่จะตอบโต้อย่างนั้นหรือ ? ดูเหมือนครั้งก่อนกระดูกของเจ้ายังหักไม่มากพอสินะ ! ครั้งนี้ข้าจะตีให้แหลกทุกท่อนเลยทีเดียว !” หลี่ห่ายตะโกนออกมาด้วยความโกรธ แล้วยกเท้าเตะไปที่หน้าอกของหลัวซิว
หลัวซิวขยับร่างกายเพื่อหลบหลีกการเตะ จากนั้นจึงจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วบิดอย่างแรง จนแขนของหลี่ห่ายบิดจนแทบเป็นเกลียว
“โอ๊ย !……” หลี่ห่ายร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง เขารู้สึกเจ็บปวดจนน้ำตาไหล
“สุนัขรับใช้ที่เห็นใครก็พุ่งเข้าไปกัด ในปากก็เต็มไปด้วยอุจจาระเหม็นเน่าอย่างเจ้า ยังจะล้าพูดจาดูถูกสุนัขอีกหรือ !” หลัวซิวส่งเสียงเย้ยหยัน จากนั้นจึงใช้เท้าเตะหลี่ห่ายจนลอยกระเด็นออกไป
หลี่ห่ายกุมแขนที่ได้รับบาดเจ็บ พลางร้องโหยหวนออกมาเสียงดัง เขาเจ็บจนกระทั่งเหงื่อกาฬไหลอาบหน้าผาก
เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าบรรดาลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์ที่ยืนอยู่โดยรอบต่างก็ตกตะลึง แต่หลังจากนั้นพวกเขากลับมองหลัวซิวด้วยแววตาที่สงสาร
เพราะพวกเขารู้ถึงนิสัยของพวกอันธพาลอย่างจางเจี๋ยดี เวลาที่พวกเขารังแกผู้อื่น หากใครกล้าขัดขืน ก็จะยิ่งถูกพวกเขาทำร้ายหนักขึ้น
“เจ้าสวะ เจ้ากล้าลงมือทำร้ายคนของข้าอย่างนั้นหรือ !” จางเจี๋ยมีสีหน้าโกรธจัด เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะกล้าตอบโต้ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก
“ข้าไม่เพียงแต่จะตีคนของเจ้าเท่านั้น แต่ข้าจะตีเจ้าด้วย !” หลัวซิวพ่นไอออกมาทางจมูกด้วยความโมโห เขาต้องการระบายความแค้นทั้งหมดที่อัดอั้นเอาไว้มานานออกมา
ฝูงชนต่างตกตะลึงและจ้องมองหลัวซิวด้วยสายที่ดูราวกับกำลังจับจ้องคนโง่ พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่าชายหนุ่มผู้นี้ไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าพูดประโยคเหล่านี้ออกมา
เข้ามาในสำนักยุทธ์ตอนอายุสิบขวบเท่ากัน ผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลาสามปีเช่นเดียวกัน แต่ครอบครัวของจางเจี๋ยฐานะมั่งคั่ง ถึงไต่เต้าถึงการกลั่นร่างขั้น4เรียบร้อยแล้ว และกำลังก้าวเข้าสู่ระดับที่บรรลุถึง อีกทั้งการฝึกตนของเขายังเป็นรัดับทักษะวรยุทธ์ขั้น2และ3ที่ซื่อมาจากสำนักยุทธ์อีกด้วย ซึ่งใช้เงินไปกว่าหลายหมื่นตำลึง
แต่จางเจี๋ยในตอนนี้ ซึ่งกำลังถูกหลัวซิวจับจ้องอยู่ กลับรู้สึกประหม่า เขาถึงขั้นนึกจินตนาการไปเองว่า : “ดูเหมือนดวงตาคู่นั้นของหลัวซิว จะสามารถเจาะทะลุเข้าไปในแก่นแท้ของชีวิตได้อย่างน่าประหลาดใจ สิ่งนี้ทำให้จางเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น และรู้สึกว่าวันนี้เจ้าหมอนี่ช่างดูน่ากลัวจริง ๆ
โดยปกติแล้ว อาศัยเพียงแค่หลี่ห่ายคนเดียวก็สามารถเอาชนะเขาได้ แต่วันนี้กลับถูกเขาโจมตีจนสิ้นท่าในคราวเดียว
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ร่างกายของหลัวซิวก็ขยับ ครั้งนี้เขาชิงลงมือก่อน โดยใช้วิชาหมัดกระทิงบิ่น โจมตีเข้าใส่จางเจี๋ยทันที
“คำก็สวะ สองคำก็สวะ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสการถูกโจมตีโดยพวกสวะดูบ้าง !”
เมื่อเห็นหลัวซิวพุ่งเข้ามาตนเอง บรรดาลูกสมุนข้างกายจางเจี๋ยก็ถอยร่นไปโดยไม่รู้ตัวทันที ถึงแม้หลัวซิวจะไม่ใช่คนแข็งแกร่ง แต่ท่าทางเช่นนี้ก็สร้างความตื่นตกใจได้เช่นเดียวกัน
“เจ้าสวะไม่รู้จักกลัวตาย เจ้าคิดจะเอาข้าไปเทียบกับเจ้าโง่นั่นได้อย่างนั้นหรือ ?”
จางเจี๋ยรู้สึกว่าอำนาจของเขาที่มีต่อบรรดาลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์กำลังถูกท้าทาย จึงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ พร้อมทำสีหน้าบูดบึ้ง
ทักษะยุทธ์ที่เขาใช้ในการต่อสู้เรียกว่าท่าตะครุบอินทรีเหล็ก เป็นทักษะยุทธ์ที่อยู่ในระดับ3 เป็นกรงเล็บที่มีความรุนแรง เมื่อเทียบกับหลี่ห่ายนับว่าแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า หลังจากที่จางเจี๋ยแสดงความสามารถของเขาออกมา เขาก็รู้สึกว่าตนเองนั้นกลับมาสูงส่งอีกครั้ง
“ตุบ !”
หมัดของหลัวซิวปะทะเข้ากับท่าตะครุบอินทรีเหล็ก ในสายตาของทุกคน หมัดกระทิงบิ่นซึ่งอยู่ในทักษะยุทธ์ระดับ1 เมื่อต้องปะทะกับท่าตะครุบอินทร๊ย์ซึ่งอยู่ในทักษะยุทธ์ระดับ3 มือของหลัวซิวจะต้องแหลกละเอียดอย่างแน่นอน
เสียงแตกหักของกระดูกดังขึ้น ทำให้ทุกคนต่างมั่นใจในสิ่งที่คิดอย่างไม่ต้องสงสัย
“โอ๊ย !”
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกคาดไม่ถึงก็คือ คนที่ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดไม่ใช่หลัวซิว แต่กลับเป็นจางเจี๋ย !