บทที่ 7 น้องหญิงคนนี้สวยมาก

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

“หนิงเยี่ยนหรือ” สวี่ผิงจื้อตกตะลึง

น้ำตาของหลี่หรูยังคงไหลอาบบนใบหน้า สีหน้ามีความสุขแข็งค้าง

“สองวันก่อน สวี่ชีอันตะโกนว่าต้องการเจอท่านข้าหลวงอยู่ในห้องขังและกล่าวว่ามีเบาะแสสำคัญจะรายงาน จากนั้นท่านข้าหลวงก็คลี่คลายคดีได้ ตามกฎหมายของต้าฟ่งเมื่อรับบาปและสร้างผลงาน พวกเจ้าก็จะได้รับการปลดปล่อย” เจ้าหน้าที่กล่าว

“เป็น เป็นเช่นนี้เองเหรอ…” สวี่ผิงจื้อพูดตะกุกตะกัก ตอนที่สวี่ชีอันยังตัวเท่าลูกแมวเขาก็อุ้มกลับมาเลี้ยงที่บ้านแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าหลานชายเป็นคนแบบไหน

สวี่ผิงจื้อสงสัยว่าเจ้าหน้าที่กำลังโกหก แต่เขาไม่มีหลักฐาน

‘เป็นเจ้าหลานชายเหลือขอคนนั้น…’ หลี่หรูหน้าถอดสี

‘มิใช่ว่าบุตรชายอาศัยเส้นสายช่วยเหลือครอบครัวเหรอ จะเป็นหลานชายผู้โชคร้ายคนนั้นได้อย่างไร เขาอยู่ในเรือนจำไม่ใช่เหรอ’

ด้วยความสับสนอย่างหนัก สวี่ผิงจื้อนำภรรยากับลูกสาวออกจากประตูหลังของที่ว่าการ เขาเห็นสวี่ชีอันที่กำลังสางผมทรงเล้าไก่รออยู่ที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อ

ทันทีที่เห็นหลานชาย ความสงสัยที่อยู่ในใจก็ไร้ความหมาย ใจของชายชาติทหารเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น ขอบตาเขาแดงก่ำขณะที่ก้าวไปข้างหน้า เขาอยากจะกอดหลานชาย แต่รู้สึกเขินอายที่ตนเองหน้าซื่อใจคดจึงตบไหล่ของเขาอย่างแรงแทน “หนิงเยี่ยน ทำได้ดีมาก”

เขาเกือบตายก่อนจะได้พบสวี่ชีอัน

“อารอง ท่านอยู่จุดสูงสุดของระดับหลอมปราณ ข้าด้อยกว่าระดับหนึ่ง” สวี่ชีอันกล่าวคำเหล่านี้ออกมาตามธรรมชาติ และตัวเขากลับไม่รู้สึกว่าคุ้นเคยเลย

เขาประหลาดใจกับความกลมกลืนนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็ชำเลืองผ่านไหล่ของอารองสวี่ไปมองหญิงสาวสามคนที่อยู่ข้างหลังเขา

เหอะ อาสะใภ้ก็มีสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ทุกวัน…ความคิดนี้ผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้

ความรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่นอยู่ได้ไม่นานก็ถูกความงามของน้องหญิงดึงดูดไป

สาวน้อยสวมชุดนักโทษหลวมๆ ผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงห้อยตกลงมาบนใบหน้ารูปไข่ จมูกสูงโด่ง มองแวบแรกดูมีมิติความงามแบบลูกครึ่งเล็กน้อย

วัยนี้เป็นวัยที่สวยงามและบริสุทธิ์ที่สุด ความผสมผสานนี้ทำให้นางมีเสน่ห์อย่างที่ไม่อาจละสายตาได้

พระเจ้า คาดไม่ถึงว่าข้าจะมีน้องหญิงที่งดงามเช่นนี้ สวี่ชีอันตกใจ

ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม รูปลักษณ์ของน้องหญิงเลือนรางมาก อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ใส่ใจมากนักและเพราะอาสะใภ้ เขาจึงรู้สึกเกลียดบ้านนิดหน่อย จึงไม่สนิทสนมกับญาติผู้น้องมากนัก

เมื่อสังเกตเห็นสายตาร้อนแรงดั่งไฟของพี่ชาย สวี่หลิงเยวี่ยก็ตะโกนด้วยความเขินอายว่า “พี่ใหญ่” และก้มหน้าลงอย่างเหนียมอาย

“พี่ใหญ่” จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียง “โอ๊ย”

สวี่หลิงอินอายุห้าปี นางตัวเล็กนิดเดียววิ่งมาหยุดตรงหน้าสวี่ชีอันอย่างดีใจและเงยหน้ามองเขาอย่างกระตือรือร้น

สวี่ชีอันโบกมือ “ข้าไม่มีขนมให้เจ้า ข้าเองก็เพิ่งออกมาจากห้องขัง”

กล่าวได้ว่าเจ้าของร่างเดิมไม่ชอบญาติผู้น้อง แต่กับน้องหญิงคนสุดท้องคนนี้ไม่แย่นัก เพราะหน้าตาของน้องหญิงคนสุดท้องไม่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากแม่ของนางเลย

“ห้องขังคืออะไร”

“ก็คือสถานที่ที่เจ้านอนมาสองสามวันนี้”

“แล้วพี่ชายอีกคนล่ะ เขาเอาขนมมารึเปล่า”

“เขาไม่ได้มา”

“อ้อ” เจ้าตัวเล็กมีสีหน้าผิดหวัง พี่ชายอีกคนที่นางพูดถึงคือสวี่ซินเหนียนที่เกิดจากแม่คนเดียวกัน แต่นางยังไม่รู้ถึงความแตกต่างของญาติผู้พี่กับพี่ชายแท้ๆ

น้องหญิงคนสุดท้องคนนี้ไม่ค่อยฉลาดนัก เป็นเด็กเงอะงะ จุดนี้คงจะสืบทอดมาจากแม่ของนาง…เจ้าของร่างเดิมคิดเช่นนี้

ในท้ายที่สุด เขามองไปทางอาสะใภ้หลี่หรู หญิงสาวที่มักจะคุยโวโอ้อวดต่อหน้าสวี่ชีอันตลอด เกือบทั้งชีวิตนางไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องกล่าวขอบคุณหลานชายผู้โชคร้ายอย่างนอบน้อม

หญิงงามหน้าแข็งทื่อและพูดอย่างไม่เต็มใจ “มาก ขอบคุณมากหนิงเยี่ยน…”

ความทรงจำอันเลือนรางผุดขึ้นมาในหัวของสวี่ชีอันในเวลาเหมาะเจาะ

ตอนที่ถูกอาสะใภ้ตามมาถึงลานเล็กๆ ที่อยู่ติดกับบ้านสกุลสวี่ สวี่ชีอันโกรธจัดและสาบานว่า ‘ข้าสวี่ชีอันจะต้องโดดเด่นกว่าใครแน่นอนในอนาคต ท่านอย่าเสียใจล่ะ’

คิดแล้วอายแทน นี่ไม่ใช่อย่ารังแกเด็กยากจนเวอร์ชันอาสะใภ้หรอกเหรอ

ตอนนี้สวี่ชีอันกำลังมองดูความสัมพันธ์ของเจ้าของร่างเดิมกับอาสะใภ้จากมุมมองที่เป็นกลางของบุคคลที่สาม อันที่จริงก็ไม่ควรตำหนิหญิงงามผู้นี้ทั้งหมด

สวี่ชีอันฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ แต่ละปีใช้เงินมากกว่าร้อยตำลึงเงิน และนี่เทียบเท่ากับการออมเงินของคนทั่วไปยี่สิบถึงสามสิบปี ต้องเป็นครอบครัวที่ร่ำรวย

ใจของอาสะใภ้จะมีความขุ่นเคืองก็ไม่แปลก ดังนั้นสวี่ชีอันจึงพูดอย่างจริงใจ “อาสะใภ้อย่ารีบร้อนกล่าวขอบคุณ รอกลับบ้านกินข้าวก่อนค่อยพูดกันอีกครั้ง”

หลี่หรูเบิกตาของนางกว้างทันทีและจ้องหลานชายผู้โชคร้ายเขม็ง

สวี่ผิงจื้อรู้สึกชาไปทั้งศีรษะจึงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “กลับบ้านก่อน!”

สวี่ซินเหนียนถือขวดเหล้าเดินโซซัดโซเซกลับมาที่จวนสกุลสวี่ บ้านที่เขาอาศัยอยู่มาสิบเก้าปีตอนนี้ประตูถูกปิดผนึก ว่างเปล่าไร้ผู้คนและรกร้างมาก

สวี่ซินเหนียนเตะประตูให้เปิดและก้าวข้ามธรณีประตูไป หลังจากเดินเซเข้าไปด้านในไม่กี่ก้าว เขาก็หันกลับมาปิดประตู

การแขวนคอฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องที่น่าสรรเสริญและไม่ใช่ศักดิ์ศรีที่นักปราชญ์อย่างเขาควรมี ดังนั้นจึงไม่อาจเรียกร้องความสนใจจากทางการได้

อยากได้หน้า

เขาเดินจากลานด้านนอกไปยังลานชั้นในราวกับว่าเขาเดินผ่านชีวิตที่แสนยาวนาน

เขารู้หนังสือตอนอายุสามปี ท่องบทกวีตอนอายุห้าปี อ่านพระคัมภีร์คล่องตอนอายุสิบปี เข้าเรียนที่สำนักอวิ๋นลู่ตอนอายุสิบสี่ปี สอบผ่านในระดับมณฑลตอนอายุสิบแปดปี

พูดว่ามีพรสวรรค์ก็ไม่เกินจริงนัก

ความเฉลียวฉลาดและความรู้ที่กว้างขวางหล่อหลอมบุคลิกที่น่าภาคภูมิใจของเขา

เขาเป็นคนที่น่าภาคภูมิใจเสมอต่อหน้าครอบครัว เป็นคนที่มีอนาคต เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ และเป็นเสาหลักของบ้านสกุลสวี่ในอนาคต

ในฐานะผู้ชายสูงเจ็ดฟุต เขาเต็มใจตายอย่างโหดเหี้ยมดีกว่ามีชีวิตอยู่ด้วยความอัปยศอดสู

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ซินเหนียนก็ยกขวดเหล้าในมือดื่มจนหมดและเขวี้ยงลงกับพื้นอย่างแรง

ด้วยความรู้สึกมึนเมา เขาวิ่งเข้าไปในห้อง ถูแท่งหมึก หยิบพู่กัน และเขียนบทกวีอำลาที่สุดยอดที่สุดในชีวิต

สวี่ซินเหนียนหัวเราะออกมา คว้ากระดาษเซวียนจื่อวิ่งออกไปทางประตู หยิบเชือกป่านที่เตรียมไว้ออกมาและแขวนไว้บนต้นแปะก๊วยที่ลานด้านใน

เขาประหลาดใจที่ตัวเองไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยที่ต้องเผชิญกับความตาย เพียงแค่รู้สึกไร้กังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่าปราชญ์เกเรเหล่านั้นเพียงแค่ปราศจากความกลัวจึงหันหลังให้โลกได้สำเร็จ

เมื่อความตายไม่น่ากลัวแล้ว บนโลกจะยังมีอะไรคู่ควรให้กลัวอีกเล่า

เมืองจิงจ้าวเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง และได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ดีที่สุดในใต้หล้า

สวี่ชีอันเดินผ่านเมืองโบราณที่มีชีวิตชีวาอย่างช้าๆ รถราวกับสายน้ำไหลม้าราวกับมังกร ร้านค้าทั้งสองข้างทางมีไม่ขาดสาย ธงร้านค้าปลิวไสวไปตามลม

อดนึกถึงบทกวีบทหนึ่งขึ้นมาเสียไม่ได้ ‘ต้นหลิวที่คล้ายกับควันไฟ สะพานที่ราวกับภาพวาด ม่านบังลมกับม่านมรกต บ้านสูงต่ำ ประมาณแสนครัวเรือน’

อันที่จริงเมืองจิงจ้าวเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าเฉียนถางในบทกวีมาก ‘บันทึกภูมิศาสตร์ของต้าฟ่ง’ บันทึกไว้ว่า ‘ในช่วงปีแรกๆ ของหยวนจิ่ง ประชากรในเมืองจิงจ้าวมีมากกว่าหนึ่งล้านเก้าแสนหกหมื่นคน’

ตอนนี้เป็นหยวนจิ่งในรอบสามสิบหกปี

ประชากรในเมืองจิงจ้าวน่าจะทะลุสองล้านคนไปแล้ว

ลานกว้างของบ้านสกุลสวี่มีทางเข้าสามทางและทางออกสามทาง เลี้ยงสาวใช้กับคนรับใช้ไว้เจ็ดถึงแปดคน แต่ตอนนี้คนรับใช้กับสาวใช้ถูกส่งกลับไปแล้ว ประตูบ้านจึงล็อกแน่นและว่างเปล่าไร้ผู้คน

อาสะใภ้มองแผ่นป้ายบนประตูด้วยความรู้สึกผสมปนเป “ไม่รู้ว่าเหนียนเอ้อร์จะเป็นอย่างไรบ้าง เขาต้องเป็นห่วงพวกเรามากแน่ๆ เด็กคนนี้ก่อนจะเข้าเรือนจำยังบอกว่าจะช่วยพวกเราออกไปให้ได้”

นางพูดพลางเดินเข้าไปในข้างใน

ราคาบ้านในเมืองจิงจ้าวแพงมาก ลานกว้างที่มีทางเข้าสามทางนี้อย่างน้อยก็ห้าพันตำลึงเงิน เงินดาวน์สามสิบเปอร์เซ็นต์ก็เป็นหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงเงิน…เฮ้ย ทำไมข้ามาถึงต่างโลกแล้วยังต้องคิดถึงเรื่องราคาบ้านอีกล่ะ

สวี่ชีอันเบ้ปาก

สวี่ผิงจื้อปลอบใจ “เหนียนเอ้อร์อ่านตำรานักปราชญ์อย่างคร่ำเคร่ง เขามั่นคงและเชื่อถือได้ เวลานี้คงจะยังวิ่งวุ่นช่วยเหลือพวกเรา รอเขากลับมาและทำให้เขาประหลาดใจเถิด”

แย่ล่ะ…สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไป เขาคือคนที่รู้ว่าสวี่ซินเหนียนวางแผนจะฆ่าตัวตาย

ในสายตาของอารองกับอาสะใภ้ สวี่เอ้อร์หลางมีความมุ่งมั่น เคร่งขรึม สงบนิ่งและน่าเชื่อถือ เป็นนักปราชญ์ที่มีความอุตสาหะ

“ฮ่าๆๆ ข้าสวี่ซินเหนียน เกิดเป็นคนที่อิสระ ตายไปเป็นผีที่ดื้อรั้น”

“สวี่ซินเหนียนผู้เต็มไปด้วยพรสวรรค์แต่สวรรค์ไม่ยุติธรรม”

“หากฟ้าไม่สร้างข้าสวี่ซินเหนียน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน…”

ข้างใต้ต้นแปะก๊วยนักปราชญ์ที่ยืนอยู่บนเก้าอี้จู่ๆ ก็ถอดหมวกของตัวเองออกและทิ้งไป เขาสะบัดหัวอย่างแรงเพื่อสยายผม

เขาบ้าระห่ำและหยิ่งผยอง เขายื่นหัวเข้าไปในห่วงเชือกมองเห็นครอบครัวที่มีสีหน้าแข็งทื่อกับแววตาที่ไร้ชีวิตชีวา

สวี่ซินเหนียนรักอิสระอันไร้ขอบเขต…สวี่ซินเหนียนผู้เต็มไปด้วยพรสวรรค์แต่สวรรค์ไม่ยุติธรรม…หากฟ้าไม่สร้างข้าสวี่ซินเหนียน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน…สวี่ซินเหนียนมองครอบครัวของเขาที่กลับมาอย่างไม่คาดคิด และรู้สึกว่าตัวเองยังตายช้าไปก้าวหนึ่ง

…………………………………………………