บทที่ 8 น้องหญิง เจ้าแอบมองพี่ด้วยเหตุใด

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงัด อาสะใภ้เป็นคนแรกที่ตอบสนอง นางกรีดร้องอย่างโศกเศร้า “เหนียนเอ้อร์…”

สองสามีภรรยาพร้อมใจกันช่วยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อลงมา อาสะใภ้กอดลูกชายร้องไห้จนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา อารองยืนอยู่ข้างๆ พลางถอนหายใจ

สวี่ชีอันมองญาติผู้น้องที่จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เข้าใจความรู้สึกเขาเป็นอย่างดี

สามสถานการณ์ที่น่าอับอายที่สุดของคนหนุ่มคือ ถูกพ่อแม่เห็นตอนที่กำลังเต้นแร้งเต้นกา ถูกได้ยินตอนที่กำลังวิจารณ์บั้นท้ายของคุณครูผู้หญิง หรือนวนิยาย YY ที่เขียนถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ แต่ละอย่างล้วนทำให้คนดิ้นพล่านด้วยความอับอาย

ความตายทางกายยังไม่บรรลุผล แต่ความตายทางสังคมได้บรรลุแล้ว

ข้าถูกฝึกมาให้ไม่อาจหัวเราะไม่ว่าสถานการณ์จะน่าขำเพียงใดก็ตาม…สวี่ชีอันหัวเราะ ‘คิกๆๆ’ อยู่ข้างๆ

สวี่หลิงเยวี่ยเหลือบไปมองพี่ชายคนโตอย่างติเตียน และกล่าวหาเขาว่ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างเงียบๆ สวี่หลิงอินอยากไปหาพี่ชายเพื่อขอขนม แต่เมื่อเห็นฉากนี้นางจึงไม่กล้าขอ

สวี่ซินเหนียนสมกับเป็นผู้คงแก่เรียน เขามีไหวพริบจึงคิดแผนรับมือได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขากลอกไปมาขาเหยียดตรงและสลบไป

ณ ลานเล็กๆ ของสวี่ชีอัน ภายในห้องเซียงฝาง[1] เขาถอดเสื้อผ้าออก แช่ตัวในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ น้ำเย็นซึมเข้าไปทางรูขุมขนทำให้รู้สึกสดชื่นไปทั้งตัว

ร่างกายของยอดฝีมือมีความทนทานต่อความหนาวเย็นได้ดีเยี่ยม

หลังจากผ่านพ้นวิกฤตความเป็นความตาย ในที่สุดเขาก็ได้จมอยู่กับตัวเอง ไตร่ตรองปัญหาเชิงปรัชญาที่เกี่ยวกับชีวิต

“ทำไมไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับการตายของเจ้าของร่างเดิมหรือก่อนที่จะหมดสติเลย”

สวี่ชีอันจำได้ชัดเจนว่าเขาเสียชีวิตได้อย่างไร มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง แต่เจ้าของร่างเดิมดูเหมือนจะไม่มีความทรงจำในส่วนเรื่องนี้เลย

สำหรับสวี่ชีอันสาเหตุการตายของเขาคือโรคพิษสุราเรื้อรัง และสาเหตุที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรังก็เพราะได้เลื่อนตำแหน่งกับเงินเดือนที่เพิ่งมากขึ้น เขาจึงดื่มหนัก

หลังลาออกจากกรมตำรวจเขาก็เลือกทำธุรกิจ ปีที่สองหลังจากที่โดนสังคมเอารัดเอาเปรียบ เขาจึงเรียนรู้จากความเจ็บปวด เริ่มต้นจากใหม่จากศูนย์กลายเป็นสัตว์สังคมที่ขยันขันแข็ง

สวี่ชีอันเงยหน้าหัวเราะ เขาออกจากบ้านไปชวนเพื่อนสองสามคนไปฉลองที่บาร์ ถึงอย่างไรชีวิตในอนาคตก็เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้อยู่แล้ว จำนองสินเชื่อบ้าน จ่ายค่าสินสอด แต่งงานและมีลูก…ตราบใดที่เพื่อนบ้านบ้านข้างๆ ไม่ได้แซ่หวัง นั่นคือปีที่สงบสุขแล้ว

‘เพียะ!’ ฝ่ามือของเขาตบลงบนผิวน้ำจนน้ำสาดกระเซ็นและพูดอย่างโกรธจัด “ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ตั๋วของชนชั้นกลางมา แต่ดันข้ามมิติมาอยู่ในสังคมศักดินาซะงั้น…โชคร้ายเกินไปจริงๆ ในบัตรธนาคารยังมีเงินดาวน์บ้านอยู่อีกหกแสน เรื่องที่น่าสังเวชที่สุดในโลกคือคนยังอยู่แต่ไม่มีเงิน ไม่ ไม่ใช่ คนไม่อยู่แต่เงินยังอยู่…ช่างเถอะ ถือเสียว่าเป็นมรดกให้พ่อแม่ ไม่รู้ว่าภาษีมรดกสูงเกินไปรึเปล่า…ขอเวลาให้ข้าอีกสักฤดูกาล ข้าจะได้เป็นราชาอย่างแน่นอน ยังไม่ได้ดูผ่าพิภพไททันซีซั่นสุดท้ายเลย…ฟุตบอลทีมชาติก็ไม่ได้แชมป์ ตายตาไม่หลับแน่…อืม ลืมๆ มันไปเถอะ แย่ล่ะ ไม่ได้ลบเมีย 120G ในฮาร์ดไดรฟ์ของคอมพิวเตอร์…”

ถ้าพ่อแม่มาพบเข้า ข้าคงตายจากสังคมเช่นกัน!!

เขาผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดแล้ว

ทั้งร่างเปียกโชกจนซีดขาว ผิวบริเวณนิ้วและหน้าท้องยับย่น สวี่ชีอันเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อผ้าสะอาด รวบมัดผมอยู่หน้ากระจกเงา

ในกระจกเงาสะท้อนใบหน้าของชายหนุ่ม คิ้วสีดำขลับ ดวงตาเฉียบคม โครงหน้าแข็งกระด้างเพราะฝึกศิลปะการต่อสู้มาหลายปี

“แม้ว่าจะเทียบกับเหลียงเฉาเหว่ย[2]ในชาติก่อนไม่ได้ แถมยังด้อยกว่ากู่เทียนเล่อ[3] แต่ก็ถือว่าใช้ได้ ระดับหน้าตาจัดว่าหล่อเหลาเอาการ…” สวี่ชีอันพยักหน้าเงียบๆ

และร่างกายก็แข็งแกร่งกว่าชาติก่อนหลายเท่า

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นทหาร

“แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดี ข้ายอมข้ามไปสมัยโบราณจริงๆ ดีกว่า เช่นนั้นทุกคนก็จะมีประสิทธิภาพในการต่อสู้ต่ำ ต่างจากที่นี่ที่มียอดฝีมือมากเกินไป บางทียังไม่ทันได้ตอบโต้หัวของเจ้าก็หลุดจากบ่าไปแล้ว”

โลกนี้ไม่เพียงแต่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้น แต่ยังมีระบบการฝึกมากมายอีกด้วย นอกจากทหารที่ถูกขนานนามว่าเป็นระบบที่โชคร้ายที่สุดแล้ว ยังมีพวกโหร ลัทธิขงจื๊อ พุทธศาสนา ลัทธิเต๋า พ่อมดและหมอผี

เมื่อหกร้อยปีก่อน หลังจากต้าฟ่งก่อตั้งประเทศ ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งแห่งสำนักโหราจารย์ได้แบ่งระดับของระบบหลักต่างๆ

สวี่ชีอันอยู่ระดับหลอมจิตระดับเก้าของระบบที่โชคร้ายที่สุด อารองอยู่ระดับหลอมปราณขั้นสูงสุดระดับแปด ระดับเจ็ดคือระดับหลอมวิญญาณ

ต่อจากนั้นสวี่ชีอันก็ไม่รู้แล้ว

ในทางตรงกันข้ามระบบโหรของสำนักโหราจารย์ สวี่ชีอันรู้ไม่น้อย

เพราะสำนักโหราจารย์เป็นระบบการฝึกฝนของราชวงศ์ต้าฟ่งเท่านั้นและมีชื่อเสียงเป็นพิเศษ บรรดาสิ่งประดิษฐ์กับงานรังสรรค์ของนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกก็ปะปนอยู่ในทุกครัวเรือน

ระบบโหรแบ่งเป็น หมอระดับเก้า นักพยากรณ์ระดับแปด ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยระดับเจ็ดและนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหก

ต่อจากนั้นสวี่ชีอันก็ไม่รู้ว่าคืออะไรเช่นกัน

ส่วนระบบอื่นๆ สวี่ชีอันที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงตั้งแต่เขายังเป็นเด็กจึงไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากนัก

เวลานี้มีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีเขียวเดินเข้ามาที่ประตู นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของอาสะใภ้นามว่าลวี่เอ๋อ

“ต้าหลาง[4] นายท่านเรียกท่านไปทานข้าวเจ้าค่ะ” ดวงตาของลวี่เอ๋อเต็มไปด้วยความปีติยินดี แต่แววตากลับดูเหนื่อยล้าและซีดเซียว

นางถูกขายเป็นสาวรับใช้ให้กับอาสะใภ้บ้านสกุลสวี่ตั้งแต่อายุสิบปี หลังจากที่บ้านสกุลสวี่ประสบปัญหา คนรับใช้ก็ถูกเลิกจ้าง นางจึงกังวลเรื่องทำมาหากินในอนาคต

คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ห้าวันบ้านสกุลสวี่จะเป็นอิสระ นางได้ยินจากคุณหนูว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะต้าหลาง

สาวใช้ตัวน้อยอายุสิบแปดปี เวลานี้ดูเขินอายเล็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าสวี่ชีอัน

“อย่าเรียกข้าว่าต้าหลาง” สวี่ชีอันรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก

“แต่ท่านคือต้าหลาง” ลวี่เอ๋องงงวย

…ช่างเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้แซ่อู่ก็แล้วกัน

ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันออกจากลานเล็กเข้าไปในจวนสกุลสวี่ ลวี่เอ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เมื่อสักครู่นี้นายท่านกับนายหญิงทะเลาะกันเจ้าค่ะ”

“เกิดอะไรขึ้น” สวี่ชีอันถาม

“ดูเหมือนนายหญิงต้องการรู้ว่าคดีเงินภาษีถูกแอบสับเปลี่ยนไปได้อย่างไร ผู้ใดเป็นคนทำ นายท่านตอบไม่ได้ ไปๆ มาๆ ก็เลยทะเลาะกันเจ้าค่ะ” ลวี่เอ๋อกระซิบ “ต้าหลางรู้สินะเจ้าคะ”

ระหว่างทางกลับสวี่ชีอันบอกอารองว่าเงินภาษีไม่ได้ถูกปล้น แต่ถูกคนแอบสับเปลี่ยน

ตอนนั้นอาสะใภ้ไม่ได้พูดอะไร แต่เก็บมันไว้ในใจมาตลอด

โถงด้านใน

ทันทีที่สวี่ชีอันก้าวเข้ามาในธรณีประตูก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังสนั่น สวี่หลิงอินที่ตัวโตเท่าเมล็ดถั่วยกแขนเล็กๆ สองข้างขึ้นทำให้ร่างกายเอนไปข้างหน้า นางเงยหน้าขึ้นส่งเสียงร้องแสบแก้วหูโจมตีแม่ของนาง

อารองดื่มเหล้าอย่างสงบนิ่ง สวี่หลิงเยวี่ยก้มหน้าก้มตากินข้าว สวี่ซินเหนียนยังไม่ฟื้นจากอาการช็อกที่บุคลิกที่สั่งสมมาพังทลายจึงกินข้าวเงียบๆ

อาสะใภ้กุมหน้าผาก ท่าทางเหมือนจะปวดหัว เมื่อเห็นลวี่เอ๋อเดินเข้ามานางจึงพูดทันที “เอาไปๆ”

สวี่ชีอันมองน้องสาวที่กำลังร้องไห้ เอ่ยถามด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เป็นอะไรหรือเจ้า”

“ท่านแม่หลอกลวง ท่านแม่บอกว่าหากได้กลับบ้านจะพาข้าไปร้านกุ้ยเยว่” เสี่ยวโต้วติงร้องไห้ “เมื่อครู่ท่านพ่อก็พูดถึงร้านกุ้ยเยว่”

ร้านกุ้ยเยว่เป็นร้านอาหารชั้นนำของเมืองหลวง คนที่เข้าออกล้วนเป็นขุนนางข้าราชการระดับสูง ไม่ต้อนรับสามัญชนรวมถึงพ่อค้าที่ร่ำรวย

ในฐานะเด็กโง่ที่จำชื่อของพี่ชายพี่สาวไม่ได้ แต่จำร้านกุ้ยเยว่ได้ หลักๆ คือเคยไปกินครั้งหนึ่ง

เห็นชัดว่าเด็กคนนี้ไม่ได้โง่ แต่ใช้พรสวรรค์ผิดที่

อารองสวี่ทำกับเจ้าได้เพราะรู้ว่าจะให้ผู้อื่นรับกรรมแทน แม้แต่ลูกสาวก็ยังใช้เป็นเครื่องมือ สวี่ชีอันเหลือบมองอารองสวี่ที่กำลังดื่มและอาสะใภ้ที่ปวดหัวแต่จนปัญญา

เสี่ยวโต้วติงคือจุดตายของอาสะใภ้

“ตอนนั้นก็แค่ล้อเล่น ทั้งหมดมันก็แค่นั้น…” อาสะใภ้ถอนหายใจ

“ท่านหลอกเด็ก อาสะใภ้ผิดคำสัญญา” สวี่ชีอันโจมตีนางโดยสัญชาตญาณ ทำให้หน้าอกของหญิงงามกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่พาข้าไปนะ” เมื่อเห็นหน้าตาอ่อนโยนของสวี่ชีอัน นางก็พูดเพื่อตัวเอง เสี่ยวโต้วติงวิ่งมาตรงเท้าของสวี่ชีอันอย่างมีความสุข คว้ากางเกงของเขาแล้วปีนขึ้นไป

ร้านกุ้ยเยว่ หนึ่งตำลึงต่อคน…สวี่ชีอันกล่าวเสียงขรึม “ลวี่เอ๋อ เอาไป”

เสี่ยวโต้วติงถูกพาตัวไป

อาสะใภ้เตะขาของสามี ลอบใช้มุมปากบุ้ยไปทางสวี่ชีอัน

อารองสวี่รู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เขาเหลือบมองลูกชายที่มีความกระหายในความรู้อย่างแรงกล้ามาโดยตลอด น่าเสียดายที่สวี่ซินเหนียนตายจากสังคมไปแล้ว คนตายไม่อาจพูดได้ ทำได้เพียงกินข้าวเท่านั้น

อาหารรสชาติธรรมดา หลักๆ คือไม่มีน้ำซุป อย่างไรเสียทุกคนก็เพิ่งกลับบ้าน อาหารของสวี่ชีอันรสชาติเหมือนเคี้ยวขี้ผึ้ง[5] เขาจ้องมองน้องหญิงคนงามอย่างเคืองๆ “หลิงเยวี่ย เจ้าแอบมองพี่ด้วยเหตุใด”

………………………………………………

[1] ห้องเซียงฝาง เป็นห้องที่อยู่ด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออกซึ่งจัดไว้ให้ลูกหลานคนในสกุลอยู่อาศัย เป็นการจัดตามวัฒนธรรมการสร้างที่อยู่อาศัยแบบจีนโบราณ

[2] เหลียงเฉาเหว่ย หรือ Tony Leung นักแสดงนำชายชื่อดังชาวฮ่องกงในยุคทศวรรษที่ 80

[3] กู่เทียนเล่อ นักร้องและนักแสดงนำชายชื่อดังชาวฮ่องกง ผลงานที่สร้างชื่อเสียงคือเรื่อง ‘มังกรหยก ตอน กำเนิดเอี้ยก้วย’

[4] ต้าหลาง หมายถึงลูกชายคนโต

[5] เคี้ยวขี้ผึ้ง เป็นคำอุปมาของจีน หมายถึง จืดชืดไม่มีรสชาติ