บทที่ 9 อาสะใภ้อาละวาด

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

“ข้า ข้า…”

ใบหน้าของสาวน้อยแดงขึ้นทันที นางยิ่งเขินอายมากขึ้นเมื่อครอบครัวมองมา ดวงตากลมโตรูปอัลมอนด์คู่สวยปกคลุมไปด้วยละอองน้ำเปล่งประกายในแสงเทียน

แม้ว่าข้าจะค่อนข้างชอบพี่สาว แต่สาวน้อยที่ต่อยหมัดเดียวก็ร้องไห้ได้เป็นเวลานานนั้นน่ารังแกมากกว่า… สวี่ชีอันคิดในใจ

สวี่หลิงเยวี่ยพองแก้ม นางเงยหน้าขึ้นด้วยความพ่ายแพ้และสบตากับสวี่ชีอัน “ข้าแค่อยากรู้ว่าพี่ใหญ่คลี่คลายคดีจากสำนวนคดีได้อย่างไร”

สวี่ซินเหนียนที่แสร้งทำเป็นว่าเขาไม่มีตัวตนก็ไม่สามารถแสร้งทำได้อีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบๆ

เขาภูมิใจในความฉลาดของตัวเองและเขาก็ได้อ่านสำนวนคดีดังกล่าวแล้ว แต่ค้นคว้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่มีเบาะแสอะไร และในวันนั้นหลังจากที่สวี่ชีอันขอสำนวนคดีจากเขาก็สามารถคลี่คลายคดีได้ทันที

อาสะใภ้ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร แต่ตะเกียบที่คีบกับข้าวหยุดลงและไม่ได้เคี้ยวอาหารต่อ

“ไม่มีอาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบบนโลก เว้นแต่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ คดีที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ล้วนสามารถหาเบาะแสได้” สวี่ชีอันกล่าว

สวี่ซินเหนียนอดไม่ได้ที่จะยืดตัวตรงและฟังอย่างตั้งใจ

“ประการแรก ข้าสังเกตเห็นปัญหาจากเส้นทางที่คุ้มกันเงินภาษีกับน้ำหนักของเหรียญเงิน…”

สวี่ชีอันเล่ากระบวนการอนุมานของตัวเองอีกครั้ง

ยิ่งสวี่ซินเหนียนได้ฟังมากเท่าไร ดวงตาของเขาก็ยิ่งเปล่งประกายราวกับได้รับการไขข้อข้องใจจากอาจารย์ของเขาที่โรงเรียนเอกชน

มือของเขาที่วางอยู่ใต้โต๊ะกำแน่น

หลังจากที่สวี่ชีอันพูดจบ ใบหน้าของสวี่เอ้อร์หลาง[1]ก็แสดงออกอย่างสงบนิ่ง “ก็ไม่เลว”

ลูกชายคนรองของบ้านสกุลสวี่มักจะปากไม่ตรงกับใจ และคนในบ้านก็คุ้นเคยกับมันมานานแล้ว

น้องสาวคนสวยวัยสิบหกปีก้มหน้าลงซ่อนความเทิดทูนในดวงตาของนาง

สวี่ผิงจื้อตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น ใช้ภาษาสแลงสบถด่าออกมา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่ได้สังเกตเลย”

สวี่ซินเหนียนเหลือบมองพ่อของเขาแล้วพูดในใจ ‘ถ้าท่านสังเกตสิแปลก’

สวี่ชีอันเหลือบมองอารอง นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ‘พ่อมิไร้อารยธรรม โกหกคำเดียวไปทั่วโลก[2]’

อารองเป็นทหาร ระดับการศึกษาจึงจำกัดอยู่ที่การเขียนชื่อของตัวเองเท่านั้นและลายมือยังคดเคี้ยวเหมือนไก่เขี่ยอีก

“เจ้าคนหยาบช้า! ชั่งน้ำหนักท่านก็ทำไม่ได้เชียวเหรอ” อาสะใภ้ตำหนิสามีของตัวเอง

สวี่ชีอันถามว่า “พวกเขาสวมอุปกรณ์ป้องกันมือตอนที่นับเงินหรือไม่”

อารองสวี่นึกย้อนครู่หนึ่งและพูดอย่างประหลาดใจ “เหมือนว่าจะสวม เจ้ารู้ได้อย่างไร”

เป็นโลหะโซเดียมจริงๆ อย่างนั้นเหรอ สวี่ชีอันมองเขาเงียบๆ “ไม่บอกในคำให้การได้อย่างไร”

“เรื่องเล็กน้อย ไม่รู้จะกล่าวไปเพื่ออะไร” เมื่อพูดถึงตรงนี้ อารองสวี่ก็พูดไปด่าไป “ต้องโทษสกุลลวี่ที่ส่งน้ำผึ้งผสมดอกหอมหมื่นลี้มาให้ข้าในตอนนั้น เจ้าก็รู้ว่าข้าดื่มเก่งแค่ไหน ข้าก็เลยดื่มไปนิดหน่อยและไม่ได้สนใจเรื่องอื่นๆ มากนัก เจ้าไม่พูดข้าก็ลืมไปแล้ว”

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเพื่อนร่วมทีมที่โง่เขลาอย่างหมูของท่าน… หากบนสำนวนคดีมีเรื่องนี้ ข้าสามารถวิเคราะห์ความจริงของคดีได้เร็วยิ่งขึ้น คุ้มไหมกับเซลล์สมองมากมายที่ตายไป… สวี่ชีอันถอนหายใจ

ในมุมมองของอารองบางทีเรื่องนี้กับคนอื่นสวมชุดอะไรหรือหวีผมทรงอะไรอาจจะเหมือนกัน

เขาไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นจุดสังเกตที่น่าสงสัย

“หากเป็นเช่นนั้น เป็นไปได้มากว่าสกุลลวี่ที่ท่านพ่อพูดถึงจะเป็นคนที่ใส่ร้ายท่านพ่อ” สวี่ซินเหนียนพูดตรงประเด็น

“เป็นเพราะข้าสับสนจึงเกือบจะทำร้ายทั้งครอบครัว” สวี่ผิงจื้อเศร้าใจขึ้นมาทันที “หนิงเยี่ยน ปีนั้นข้าสู้หลังชนฝากับพ่อของเจ้าใน ‘สงครามซานไห่’ ลั่นวาจาว่าต้องรอดไปด้วยกัน ไต่เต้าจนประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ข้ารอดมาได้ แต่พ่อของเจ้าสู้จนตัวตายในสนามรบ หากพี่ใหญ่ไม่เข้ามาขวางดาบให้ข้า คนที่ตายก็คงเป็นข้า เวลานั้นข้าคิดเพียงว่าหากอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต”

ไม่อาจเป็นเป้าปืนใหญ่ได้อีก

“ดังนั้นข้าจึงให้ลูกชายไปเรียนและเลือกให้เจ้าฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ที่จริงก็ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่”

อาสะใภ้กลอกตาและพูดว่า “ใช่ ใจท่านล้วนอยู่กับหลานชายสุดที่รัก”

เงินมากกว่าร้อยตำลึงต่อปี

“ฟังจากที่อาสะใภ้พูด เอ้อร์หลางไม่ใช่ลูกชายสุดที่รักหรอกหรือ” สวี่ชีอันสาบานว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจะพูดอย่างแน่นอน แต่เป็นสัญชาตญาณที่อยู่เหนือสมอง

เจ้าของร่างเดิมเคียดแค้นอาสะใภ้มาก

“เจ้าเด็กแสบนี่ เจ้าพูดจาเช่นนี้มีเจตนาอะไร” อาสะใภ้ตบโต๊ะด้วยความโกรธ

สวี่เอ้อร์หลางและสวี่หลิงเยวี่ยก้มหน้าก้มตากินข้าวราวกับว่าพวกเขาเคยชินอยู่แล้ว

อารองสวี่รู้สึกชาไปทั้งศีรษะ “พอได้แล้ว ข้าเอาชีวิตรอดกลับมาอย่างยากลำบากยังต้องฟังพวกเจ้าทะเลาะกันอีก ตายไปเสียยังจะดีกว่า”

ทุกคนก้มหน้ากินข้าว

เมื่อพูดถึงสงครามซานไห่ สวี่ชีอันรู้สึกประทับใจเล็กน้อย

โลกกว้างใหญ่ไร้พรมแดน ราชวงศ์ต้าฟ่งครอบครองที่ราบตอนกลางเรียกว่าโลกดั้งเดิม

ต้าฟ่งก่อตั้งประเทศโดยทหารและปกครองประเทศโดยลัทธิขงจื๊อ ยามที่เฟื่องฟูที่สุดหลายๆ ดินแดนต่างพากันมาแสวงบุญ จนถึงตอนนี้ราชวงศ์มีอายุยาวนานถึงหกร้อยปีแล้ว

ยี่สิบปีก่อน ต้าฟ่งร่วมมือกับดินแดนต่างๆ ในภูมิภาคตะวันตกต่อสู้กับพวกคนเถื่อนทางเหนือและพวกคนเถื่อนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่ด่านซานไห่

มีทหารของทุกฝ่ายที่เข้าร่วมการต่อสู้สูงถึงล้านคน

ตั้งแต่เริ่มสงครามจนถึงสิ้นสุดใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งปี และในครึ่งปีนั้นชีวิตนับล้านถูกช่วงชิงไป

เป็นสงครามที่น่าสลดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ชื่อทางประวัติศาสตร์คือ ‘สงครามซานไห่’

พ่อของสวี่ชีอันเสียชีวิตในสงครามครั้งนั้น

…ด้วยความรู้ของนักเลงคีย์บอร์ดอย่างข้าและกฎหมายที่สรุปโดยวรรณกรรมแผงลอยข้างถนนจึงสรุปได้ว่า ไม่มีราชวงศ์ใดสามารถหนีกฎสามร้อยปีไปได้

กฎสามร้อยปี คือสิ่งที่สวี่ชีอันคิดขึ้นมาเอง

ในฐานะคนรักประวัติศาสตร์จอมปลอม เขาได้สรุปกฎเกณฑ์ชุดหนึ่งจากประวัติศาสตร์ห้าพันปีในชาติก่อน นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าประชาชนละทิ้งกษัตริย์แล้วปกครองตนเอง ไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์โจวที่โง่เขลาและล้าหลัง ไม่มีราชวงศ์ใดคงอยู่ได้ถึงสามร้อยปี

ราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์ฮั่นก็ได้รับการจัดระเบียบใหม่เช่นกัน

คิดดูแล้ว ราชวงศ์ต้าฟ่งสืบทอดมากว่าหกร้อยปีแล้ว ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับระบบพลังของโลกนี้

เสี่ยวโต้วติงถูกลวี่เอ๋อพากลับมา นางท้องหิวจึงหยุดร้องไห้ นางตัวเล็กเกินไปเอื้อมไม่ถึงโต๊ะอาหารจึงนั่งระหว่างขาของลวี่เอ๋อและให้นางป้อนให้กิน

“ท่านแม่ เหตุใดพวกเราต้องอยู่ในบ้านมืดๆ ด้วย ทุกวันกินไม่อิ่มเลย” เสี่ยวโต้วติงนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อสองสามวันก่อน

นางเรียกเรือนจำว่าบ้านมืดๆ

บนโต๊ะไม่มีใครพูดอะไรสักคำ อาสะใภ้ทำท่าสงสาร

อารองสวี่ถอนหายใจ “เป็นเพราะพ่อทำความผิด”

เสี่ยวโต้วติงร้อง ‘อ้อ’ ออกมาแล้วพูดว่า “เมื่อวานข้าตื่นมาด้วยความหิวจึงจับแมลง มีสิ่งนี้อยู่บนหัวของมันด้วย” นางยกนิ้วเล็กๆ สองนิ้วตั้งบนศีรษะของนาง

นั่นคือแมลงสาบกับหนูที่ถูกเรียกว่าสองเจ้าถิ่นในห้องขัง

สีหน้าของคนบนโต๊ะเปลี่ยนไป ทั้งละอายใจและสงสารที่ปล่อยให้เด็กทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ เป็นความล้มเหลวของพวกเขา

“เจ้า เจ้ากินเข้าไป…” ริมฝีปากของหลี่หรูสั่น ขอบตาแดงก่ำ นางให้กำเนิดลูกสาวคนนี้ในวัยสามสิบต้นๆ เท่านั้น แม้ว่าเด็กหญิงจะโง่ไปหน่อย แต่นางก็รักสุดหัวใจ

เสี่ยวโต้วติงสวี่หลิงอินพูดเสียงดังชัดเจน “ต่อมาข้าก็ได้ยินเสียง ‘โครกคราก’ จากท้องของท่านแม่”

บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง ใจของทุกคนเริ่มดิ่งลง

อาสะใภ้หน้าซีด เอ่ยเสียงสั่นเครือ “หลังจากนั้นล่ะ”

“หลังจากนั้นข้าก็ยัดมันเข้าไปในปากของท่านแม่ ท่านแม่กินเร็วมาก” เสี่ยวโต้วติงทำหน้าเหมือนต้องการคำชม

อาสะใภ้ตัวสั่น

สวี่ซินเหนียนวางถ้วยกับตะเกียบลงอย่างช้าๆ “ข้าอิ่มแล้ว”

สวี่หลิงเยวี่ยพูดว่า “ข้าก็เช่นกัน”

สวี่ชีอันพูดต่อ “อิ่มแล้วๆ คิกๆๆ…”

อารองสวี่ “…”

อาสะใภ้ชะงักไปสองสามวินาทีและก้มไปใต้โต๊ะ “แหวะ…”

“โอ๊ยๆๆ…” หลังจากนั้นไม่นาน เสียงร้องไห้ราวกับหมูถูกเชือดของเด็กน้อยก็ดังสนั่นไปทั่วฟ้ายามค่ำคืน

……………………………………

[1] เอ้อร์หลาง หมายถึง ลูกชายคนรอง

[2] พ่อมิไร้อารยธรรม โกหกคำเดียวไปทั่วโลก เป็นคำศัพท์ทางอินเทอร์เน็ตของจีน ใช้เพื่ออธิบายสถานการณ์ที่พูดไม่ออกเวลาเจอสิ่งน่าประหลาดใจ