บทที่ 9 หุ่นยนต์ผู้ช่วยแห่งร้านเล็กๆ ของฟางฟาง

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ถูกต้องแล้ว! ปู้ฟางเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยสุดๆ !

นอกจากนี้นิสัยของเขาก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษแต่แรก แม้เจ้าตัวจะใฝ่ฝันอยากเป็นพ่อครัวเทพ แต่ชายหนุ่มธรรมดาๆ จากโลกมนุษย์ก็ยังเป็นปุถุชนทั่วไปอยู่วันยังค่ำ

“กินให้อร่อย” ปู้ฟางพูดกับซุนฉีเซี่ยงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ชายหนุ่มในชุดคลุมหลากสีจ้องข้าวผัดไข่เขม็ง

“ไสหัวไป! อย่าสะเออะมายุ่งตอนข้ากำลังกิน!” ซุนฉีเซี่ยงโบกมือไล่ปู้ฟางไปไกลๆ ด้วยความรำคาญ

ปู้ฟางเม้มปาก “มาดูกันหน่อยว่ากินเข้าไปแล้วจะยังปากดีอยู่อีกหรือเปล่า”

ซุยฉีเซี่ยงไม่ได้สนใจปู้ฟางอีกต่อไปและกำลังจะเริ่มลงมือกิน ทันใดนั้นเขาก็เหมือนจะนึกอะไรได้แล้วหันไปหาเซียวเยียนอวี่ นางสวมผ้าคลุมหน้ากลับไปเรียบร้อยและกลับมาเป็นสตรีสูงศักดิ์คนเดิมอีกครั้ง “ข้าสั่งมาหลายจานอยู่ เจ้าอยากร่วมโต๊ะกับข้าหรือไม่”

เซียวเยียนอวี่มุ่นคิ้ว เกิดลังเลขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อนึกย้อนไปถึงรสชาติข้าวผัดไข่แสนอร่อย เซียวเยียนอวี่อยากสั่งมากินอีกชามหนึ่ง แต่นางมีเงินไม่พอ ทั้งยังมีกฎของร้านที่ว่าหนึ่งคนสั่งได้รายการละครั้งอีกด้วย

ดูเหมือนว่าตอนนี้การที่มีคนอื่นอยากเลี้ยงข้าวจะถือเป็นโอกาสดีไม่น้อย

แต่ก่อนที่เซียวเยียนอวี่จะมีโอกาสได้ตอบ ปู้ฟางที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ชิงเปิดปากขึ้นมาเสียก่อน “มีแค่ลูกค้าที่สั่งข้าวผัดไข่ด้วยตนเองเท่านั้นที่กินได้ หากคนอื่นมากินแทนจะถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎ ต้องถูกเอาชื่อไปใส่บัญชีหนังหมาห้ามเข้าร้านอีก”

“อะไร! เจ้าคิดว่าข้ากลัวรึ ถ้าข้าจะกินเสียอย่าง จะต้องไปสนอะไรกับกฎหน้าโง่ของเจ้า! ข้าจะไปเรียกเด็กมาซ้อมเจ้าให้ปางตายแล้วบังคับให้เจ้าทำอาหารให้ข้ากิน! คิดว่าไอ้ร้านรูหนูกระจอกงอกง่อยเช่นนี้จะทำอะไรข้าได้รึ!”

ซุนฉีเซี่ยงจ้องปู้ฟางด้วยความโมโห เขากำลังจะได้กินข้าวร่วมกับสาวงามเซียวเยียนอวี่อยู่แล้วเชียว หากไม่ใช่เพราะไอ้บ้านี่มาขัด!

“อ้อ ข้าลืมบอกไปอีกอย่าง นอกจากเป็นเจ้าที่จะโดนบันทึกชื่อแล้ว หากนางกิน นางก็ต้องโดนเหมือนกัน เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าโดนบันทึกชื่อในบัญชีหนังหมาหมายความว่าอย่างไร แต่… จะลองดูก็ย่อมได้” ปู้ฟางพูดอย่างไม่รีบร้อน

หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ เซียวเยียนอวี่ก็ล้มเลิกความคิดที่จะกินข้าวผัดไข่ของซุนฉีเซี่ยงทันที

ซุนฉีเซี่ยงพ่นลมออกมา เขาไม่สนใจคำขู่ของปู้ฟางแม้แต่น้อย เหตุใดชายผู้ทรงอิทธิพลอย่างเขาจะต้องกลัวพ่อครัวเจ้าของร้านเล็กๆ ด้วยเล่า แล้วถ้าเขาถูกคาดโทษแล้วมันจะอย่างไร สำหรับซุนฉีเซี่ยง นี่เป็นเพียงเรื่องหลอกเด็กไร้สาระเท่านั้น

แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ชายหนุ่มมองชามอาหารตรงหน้า ความรู้สึกหิวพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ ทันที ข้าวผัดไข่นั้นทอประกายสีทองอร่ามเจิดจรัสจนเล่นเอาเขาแสบตา

ซุนฉีเซี่ยงใช้ช้อนกระเบื้องสีฟ้าขาวตักข้าวผัดไข่ขึ้นมา กลิ่นหอมเข้มข้นพุ่งขึ้นจากชามข้าว ไหลบ่าถาโถมเข้าใส่จมูกของเขาทันที พลันซุนฉีเซี่ยงก็ถูกกลิ่นหอมหวนของอาหารอันโอชะตรงหน้าเข้าครอบงำ

เขารีบยัดช้อนใส่ปาก เมล็ดข้าวไข่มุกกลิ้งกระเด็นกระดอนอยู่ระหว่างลิ้นและฟัน ราวกับกำลังนวดเฟ้นภายในปากของเขาอยู่

“อร่อยมาก!”

ดวงตาของซุนฉีเซี่ยงลุกวาวเป็นประกาย ขณะที่เขายัดข้าวผัดไข่ช้อนแล้วช้อนเล่าเข้าปาก

สีหน้าเรียบเฉยของปู้ฟางเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ขณะมองซุนฉีเซี่ยงซัดอาหารหายเอาหายเอา

เซียวเยียนอวี่จับได้ถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างของปู้ฟางขณะกำลังจ้องมองข้าวผัดไข่ของซุนฉีเซี่ยง เมื่อนางหันไปมองชายหนุ่มด้วยความสงสัยใคร่รู้ ก็ได้เห็นรอยยิ้มแข็งทื่อบนใบหน้าของอีกฝ่าย

“หา อะไรกัน หมอนี่… กำลังยิ้มรึ”

เซียวเยียนอวี่ประหลาดใจเล็กน้อย ตั้งแต่เข้ามาในร้าน พฤติกรรมของปู้ฟางทำให้นางเข้าใจว่าชายหนุ่มเป็นพ่อครัวเย็นชาแสนยโส จนยากเหลือเกินที่จะนึกภาพอีกฝ่ายยิ้มออก

“อ๊ากกก!!!”

ตอนที่เซียวเยียนอวี่เบนความสนใจมาหาปู้ฟางนั้น ซุนฉีเซี่ยงที่กำลังกินอย่างมีความสุขก็หยุดชะงัก ดวงตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึง

ภายในไม่กี่ลมหายใจ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง และจากสีแดงเป็นสีม่วง!

ชายหนุ่มกรีดร้องเสียงหลงก่อนจะเปิดปากถุยเมล็ดข้าวออกมา เขาเต้นเร่าๆ อยู่กับที่ สองมือจับไปที่หลังคอ ลิ้นห้อยออกมานอกปาก

“เผ็ด… เผ็ดโว้ย! ทนไม่ไหวแล้ว!”

สองแก้มของซุนฉีเซี่ยงอาบไปด้วยน้ำตา เขารู้สึกราวกับร่างทั้งร่างกำลังบิดเบี้ยวไปหมด โลกทั้งใบกลายเป็นภาพหลอน

มีความเผ็ดที่น่าขนพองสยองเกล้าเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ

“น้ำ! ข้าต้องดื่มน้ำ!” ซุนฉีเซี่ยงวิ่งวุ่นไปทั่วร้านเล็กๆ แห่งนี้เพื่อหาน้ำดื่ม ความรู้สึกร้อนไหม้ภายในปากเขารุนแรงจนทำให้ปากเริ่มชา ใบหน้าเปียกไปด้วยน้ำตา

ปู้ฟางนั่งมองซุนฉีเซี่ยงวิ่งไปวิ่งมาด้วยสายตาเฉยเมย

ทันใดนั้นซุนฉีเซี่ยงก็วิ่งไปทางห้องครัว ในตัวร้านไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว เขาจึงคิดเข้าห้องครัวไปเพื่อหาน้ำดื่ม

ตอนที่ซุนฉีเซี่ยงกำลังจะเข้าห้องครัวไปนั้น แขนกลของหุ่นยนต์ก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าแล้วจับตัวเขาโยนออกไป

“ห้องครัวถือเป็นบริเวณต้องห้าม ผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ห้ามเข้า”

หุ่นยนต์ผู้ช่วยของปู้ฟางยืนจังก้าอยู่ที่ทางเข้าห้องครัว แล้วประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อของเครื่องจักร

เซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

หญิงสาวหันไปมองปู้ฟาง “ฝีมือหมอนี่รึ นี่เป็นวิธีแก้แค้นของเขาหรืออย่างไร น่ากลัวเป็นบ้า… หมอนี่กล้าใส่พริกที่เผ็ดจนขนหัวลุกเช่นนี้ลงไปในอาหารชั้นเลิศได้อย่างไรกัน โหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาเกินไปแล้ว!”

“นายน้อย… น้ำขอรับ!”

ลูกกระจ๊อกของซุนฉีเซี่ยงเอาใจใส่เจ้านายเป็นอันมาก เมื่อเขาเห็นซุนฉีเซี่ยงเต้นผางๆ หาน้ำ เขาก็รีบวิ่งออกจากร้านไปหาซื้อเพื่อนำถุงใส่น้ำกลับมาให้เจ้านาย

อึกๆ !

ซุนฉีเซี่ยงดื่มน้ำเสียหมดถุงในคราวเดียวกว่าความรู้สึกเผ็ดร้อนในปากจะหายไป ยังดีที่เขาไม่ได้กินเข้าไปมากมายนัก มิเช่นนั้นคงต้องทรมานนานกว่านี้แน่

“เจ้ารนหาที่ตายรึ! กล้าดีอย่างไรมาใส่อะไรเข้าไปในอาหารข้า!” ซุนฉีเซี่ยงโยนถุงใส่น้ำลงพื้นอย่างโกรธเกรี้ยว

ปู้ฟางนั่งหน้าตายอยู่บนเก้าอี้ พร้อมทั้งชี้มือไปที่ชามอาหาร “หากเจ้ากินไม่หมด ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นพวกกินทิ้งกินขว้างเสียของ ต้องโดนบันทึกลงบัญชีหนังหมา”

“บันทึกลงบัญชีหนังหมารึ! หยุดพูดถึงบัญชีหนังหมางี่เง่าของเจ้าได้แล้ว! วันนี้ข้าจะทำลายร้านของเจ้าให้เหี้ยน!” ซุนฉีเซี่ยงกัดฟันกรอดด้วยโทสะ พร้อมเอาพัดกระดาษชี้หน้าปู้ฟาง

“พังร้านบ้าๆ นี่ให้เละ!!”

ซุนฉีเซี่ยงหันกลับไปสั่งลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างหลัง

ลูกกระจ๊อกของซุนฉีเซี่ยงกระเด้งตัวขึ้นทันที เขาชื่นชอบการพังร้านเป็นที่สุด รีบหยิบเก้าอี้ขึ้นมาด้วยท่าทางช่ำชองแล้วกำลังจะฟาดเก้าอี้ใส่โต๊ะ แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น แขนของเขาก็ถูกหักไปเสียก่อน

ลูกน้องของซุนฉีเซี่ยงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หุ่นยนต์ปรากฏกายขึ้นเบื้องหลังเขา พร้อมเอื้อมมือมาหักแขนที่กำลังถือเก้าอี้อยู่

“พวกอันธพาล! เจ้าโดนบันทึกลงบัญชีหนังหมาเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ห้ามเหยียบเข้ามาในร้านเล็กๆ ของฟางฟางอีก” เสียงนิ่งขึงของหุ่นยนต์ประกาศก้อง

หุ่นยนต์อุ้มลูกกระจ๊อกคนนั้นขึ้นแล้วโยนออกจากร้านอย่างละมุนละไม เขาหัวทิ่มหน้าปักโคลน ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

“เจ้ากล้าโต้กลับรึ! คนอย่างข้าจะเรียกคนมาร้อยคนภายในไม่กี่อึดใจเพื่อพังร้านเจ้าให้เละยังได้!”

ซุนฉีเซี่ยงตัวสั่นด้วยโทสะ ชายหนุ่มไม่อยากเชื่อเลยว่าชาวบ้านธรรมดาจะกล้าหือกล้าอือกับเขาในนครหลวงแห่งนี้

“เจ้าขาว จับหมอนี่แก้ผ้าแล้วโยนออกจากร้านไปเสีย เพื่อเป็นการลงโทษที่กินทิ้งกินขว้าง” ปู้ฟางลุกขึ้นยืน หาวหวอดหนึ่ง แล้วออกคำสั่งหุ่นยนต์ชื่อเจ้าขาว จากนั้นเขาก็พึมพำกับตนเอง “เกือบหมดเวลาทำงานแล้ว ถึงเวลาปิดร้าน”

“น้ำหน้าอย่างเจ้ากล้าเมินข้ารึ ข้าเป็นผู้ฝึกตนระดับสามขั้นคลั่งยุทธการ ข้าฆ่าเจ้าให้ตายโหงตายห่าได้เหมือนบี้มดปลวกนั่นละ!” ซุนฉีเซี่ยงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ชุดคลุมหลากสีของเขาเริ่มโบกสะบัด แสงเรืองรองหมุนวนรอบร่างกาย

“ป้าบ!”

หุ่นยนต์ชื่อเจ้าขาวตบหัวซุนฉีเซี่ยงดังป้าบ หน้าคะมำลงพื้นจนเจ้าตัวชะงัก พลังปราณเที่ยงแท้ที่เขารวมเอาไว้ภายในร่างเพื่อเตรียมโจมตีพลันสลายหายไปทันที

จากนั้นเสียงเสื้อผ้าฉีกขาดก็ดังก้องไปทั่วร้านเล็กๆ แห่งนี้!

“ไอ้บัดซบเอ๊ย! เจ้าจะจับข้าแก้ผ้าจริงรึ! เจ้าไม่รู้รึว่าข้าเป็นใคร! ข้าน่ะ…”

“ป้าบ!” ดวงตาของเจ้าขาววาวโรจน์ ก่อนที่มันจะโบกมือตบหัวซุนฉีเซี่ยงอีกครั้ง จนทำให้ชายหนุ่มมึนงงตาลอย

ซุนฉีเซี่ยงถูกจับแก้ผ้าจนเหลือแต่ผ้าเตี่ยว ของมีค่าทุกอย่างของเขาถูกริบไปจนหมด จากนั้นเจ้าขาวก็จัดการโยนชายหนุ่มออกไปอย่างนุ่มนวลเป็นวิถีโค้ง จนหน้าคว่ำลงบนพื้นหน้าร้าน

ชายหนุ่มที่บัดนี้เหลือแต่ผ้าเตี่ยวหน้าตาเหม่อลอย นั่งหนาวตัวสั่นอยู่บนพื้น

เขาได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากระยะไกล ภาพของรองเท้าเกล็ดมังกรสีทองคู่หนึ่งปรากฏขึ้นที่หางตา …

เจ้ารู่เก๋อมองซุนฉีเซี่ยงในสภาพเหลือแต่ผ้าเตี่ยวชนิดใกล้เปลือย พร้อมส่งเสียงจึ๊ๆ

“ท่านซุนฉีเซี่ยงผู้ยิ่งใหญ่ตกอยู่ในสภาพล่อนจ้อนเช่นนี้แค่เพราะมากินข้าวหนึ่งมื้อได้อย่างไรกัน”

………………………………