บทที่ 10 หลักการที่แม้แต่เงินก็ซื้อไม่ได้

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

เจ้ารู่เก๋อเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เกล้าผมสีดำยาวขึ้นเป็นมวยเรียบร้อยด้วยปิ่นสีเขียว เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาว รองเท้าเกล็ดมังกร และเข็มขัดหยก ชายหนุ่มดูทั้งสูงศักดิ์และสง่างาม

“เจ้ารู่เก๋อรึ?!”

ซุนฉีเซี่ยงยันตัวลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางน่าเวทนา เอามือสองข้างกุมของลับของตนเองไว้ สีหน้าบูดบึ้งขณะมองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า

“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านายน้อยซุนจะมีงานอดิเรกเช่นนี้ ช่างเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ ” เจ้ารู่เก๋อหัวเราะคิก สายตากวาดมองร่างกายเกือบล่อนจ้อนของซุนฉีเซี่ยงด้วยสีหน้าประหลาด

ซุนฉีเซี่ยงหน้าแดงก่ำ เขาเบือนสายตาไปมองลูกน้องตนเองที่ยืนอยู่ข้างหลังเจ้ารู่เก๋อ คนที่เขาส่งให้วิ่งไปตามอีกฝ่ายมาก่อนหน้านี้

หลังกระชากเสื้อผ้าลูกกระจ๊อกมาใส่เองเป็นที่เรียบร้อย ซุนฉีเซี่ยงก็มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เขาไม่สนใจเจ้ารู่เก๋อแต่หันกลับไปที่ร้านแล้วตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “หากพรุ่งนี้ข้าไม่ได้พังร้านเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง ข้าก็ไม่ขอใช้แซ่ซุนอีกต่อไป! ข้าจะกลับมาคิดบัญชีเจ้าแน่!”

พอตะโกนอาฆาตมาดร้ายเสร็จ เขาก็หันไปหาเจ้ารู่เก๋อ “นายน้อยเจ้า นางในฝันของท่านอยู่ในร้านรูหนูนั่น แล้วข้าก็อยากจะเตือนอะไรไว้เล็กน้อย ไอ้ร้านนี่มันไม่ชอบมาพากล ดูเหมือนว่าเซียวเยียนอวี่คนงามจะต้องมนต์อะไรเข้าสักอย่างแล้ว”

จากนั้นซุนฉีเซี่ยงก็เดินอาดๆ หนีไปด้วยความขมขื่น โดยไม่แม้แต่จะมองปฏิกิริยาของเจ้ารู่เก๋อ

“ต้องมนต์อะไรสักอย่างรึ” มุมปากของเจ้ารู่เก๋อยกขึ้น รอยยิ้มสื่อความหมายปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา เขามองไปทางร้านอาหารเล็กๆ แสนเรียบง่ายในตรอก

การที่ร้านอาหารเล็กๆ ในตรอกห่างไกลนี้จะมีลูกค้ามาเยือน แถมยังเป็นถึงบุตรของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงด้วยแล้ว แปลว่าร้านนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เจ้ารู่เก๋อที่มีสีหน้าระมัดระวังเริ่มเดินไปที่ร้าน เขาอยากรู้นักว่าร้านนี้จะมีมนต์กลลวงอะไร

แต่ก่อนที่จะไปถึงทางเข้า เขาก็เห็นสองพี่น้องตระกูลเซียวเดินออกมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

เซียวเยียนอวี่ดูตื่นเต้น ทว่าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ที่ปู้ฟางโยนซุนฉีเซี่ยงออกจากร้าน แต่เป็นเพราะข้าวผัดไข่ต่างหาก หลังจากที่นางกินข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงเข้าไป นางก็รู้สึกได้ว่าพลังปราณเที่ยงแท้ในกายกำลังหมุนวนไหลเวียนด้วยปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้จะยังไปไม่ถึงจุดที่จะทำให้นางบรรลุได้ แต่ก็จัดว่าเพิ่มขึ้นมากเลยทีเดียว

หญิงสาวประทับใจข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงเป็นอย่างมากที่ช่วยเพิ่มพลังปราณให้ผู้ฝึกตนได้ มันมีฤทธิ์เทียบเท่าโอสถทิพย์ระดับสี่เลยทีเดียว นอกจากนี้หากเทียบกับโอสถทิพย์แล้ว รสชาติของข้าวผัดไข่ยังอร่อยเลิศจนน่าอัศจรรย์ใจ

ทั้งยังไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดคนที่สั่งข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงได้ จะต้องมีปราณระดับสามขั้นคลั่งยุทธการเป็นอย่างต่ำ เนื่องจากปริมาณพลังปราณเที่ยงแท้ที่ได้รับจากการกินข้าวผัดไข่นั้น มากกว่าพลังปราณที่ผู้ฝึกตนระดับสองขั้นเจ้ายุทธการมีในกายเสียอีก หากผู้ฝึกตนระดับสองกินเข้าไปละก็ นอกจากไม่บรรลุแล้ว ยังจะทำให้ร่างกายระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากพลังปราณที่เพิ่มขึ้นโดยฉับพลันด้วย

“เยียนอวี่ เกิดอะไรขึ้นกัน” เมื่อเจ้ารู่เก๋อเห็นเซียวเยียนอวี่ แววตาของเขาก็พลันทอแสงอ่อนโยน ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยถามออกมา

เซียวเยียนอวี่มัวแต่ตื่นเต้นที่พลังปราณของตนพัฒนาขึ้น และเมินเจ้ารู่เก๋ออย่างสิ้นเชิง ส่วนเซียวเสี่ยวหลงก็ได้แต่จ้องชายหนุ่มด้วยสายตาระแวดระวัง เขาไม่รู้ว่าเจ้ารู่เก๋อมาโผล่ที่สถานที่นี้ได้อย่างไร… แต่ก็พลันคิดบางอย่างได้ “ต้องเป็นไอ้เลวซุนฉีเซี่ยงแน่ๆ ที่คาบข่าวไปบอกมัน”

สองพี่น้องตระกูลเซียวเดินตัวปลิวจากไปโดยไม่สนใจเจ้ารู่เก๋อ ทำให้ชายหนุ่มทวีความสงสัยขึ้นไปอีก “เหตุใดเยียนอวี่จึงมีสีหน้าเช่นนั้น เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่”

“ขอบคุณ ไว้มาอุดหนุนอีกนะ” หลังจากที่ส่งสองพี่น้องตระกูลเซียวซึ่งกำลังเนื้อเต้นกลับไปแล้ว ปู้ฟางก็หาวหวอด ก่อนเริ่มปิดร้าน

เจ้าขาวหุ่นยนต์ประจำร้านกลับเข้าครัวไปเรียบร้อย เพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวังต่อไป

ปู้ฟางหยิบไม้กระดานปิดประตูแผ่นสุดท้ายออกมา แต่ก่อนที่จะได้ปิดร้านสำหรับวันนี้ ชายหนุ่มรูปงามก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขาเสียก่อน

“เถ้าแก่ อย่าเพิ่งรีบปิดสิ ข้าอยากลองทานอาหารร้านเจ้า”

เจ้ารู่เก๋อรูปหล่อยืนอยู่หน้าร้านอย่างสง่าผ่าเผยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ดวงตาของเขาจ้องมองปู้ฟาง ลมพัดชุดคลุมสีขาวปลิวไสว

ปู้ฟางมองหน้าเจ้ารู่เก๋ออย่างไร้อารมณ์ ในขณะที่อีกฝ่ายจ้องเขาด้วยรอยยิ้ม

“อ้อ พอดีได้เวลาปิดร้านแล้ว กรุณากลับมาใหม่พรุ่งนี้”

ปู้ฟางพูดเรียบๆ ก่อนเดินหน้าปิดร้านต่อไป

สีหน้าของเจ้ารู่เก๋อเก้อไปทันที “นี่เถ้าแก่เจ้าของร้านปฏิเสธลูกค้ารึ ร้านเล็กแค่นี้ยังจะกล้าปฏิเสธลูกค้าได้อย่างไรกัน”

“เวลาเปิดปิดร้านนั้นขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าของร้าน… ย่อมเปลี่ยนได้เสมอ ข้ายินดีจ่ายเพิ่ม” เจ้ารู่เก๋อคิดอยู่สักพักก่อนพูดขึ้นอีกครั้ง

“ไม่ได้” ปู้ฟางตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เจ้ารู่เก๋อขมวดคิ้ว “ข้ายินดีจ่ายเพิ่มสองเท่า”

ปู้ฟางคิดอยู่สักพักแต่ยังคงปฏิเสธ “ไม่ได้”

เจ้ารู่เก๋ออึ้งทันที ชายหนุ่มไม่อยากเชื่อว่าร้านเล็กๆ ขนาดนี้จะกล้าปฏิเสธลูกค้า แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ !

“ข้ายินดีจ่ายเพิ่มสามเท่า!”

“ไม่”

“สี่เท่า!”

“ม… ไม่”

“ห้าเท่า!” เจ้ารู่เก๋ออดทนต่อความอยากยกเท้าขึ้นฟาดหน้านิ่งๆ ของปู้ฟาง แล้วพูดต่อรองด้วยเสียงเย็น

“ห้าเท่าเชียวรึ!” ปู้ฟางกำลังร้องไห้อยู่ในอก ห้าเท่าของราคาขายก็แปลว่าข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงชามหนึ่งก็ราคาห้าสิบผลึก ส่วนข้าวผัดไข่สูตรธรรมดาก็ราคาห้าผลึกไปแล้วมิใช่รึ… ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังเห็นเงินสะพัดอยู่ตรงหน้า

“ในฐานะชายที่ใฝ่ฝันอยากเป็นพ่อครัวเทพ นายท่านต้องมีหลักที่พึงยึดถือปฏิบัติ ท่านต้องยึดมั่นในหลักการตนเอง อย่าถูกสั่นคลอนด้วยอำนาจของเงิน! อย่ายอมตกเป็นทาสของเงินตราโดยเด็ดขาด!”

ขณะที่ปู้ฟางกำลังทะเลาะกับตัวเองในใจ และกำลังจะเอ่ยปากตอบรับข้อเสนอของเจ้ารู่เก๋อ เสียงของระบบก็ปลุกให้เขากลับมาได้สติอีกครั้งอย่างทันท่วงที

เจ้ารู่เก๋อพอใจเป็นอันมากเมื่อเห็นสีหน้าลังเลใจของชายหนุ่ม เขารู้ทันทีว่าปู้ฟางกำลังจะตอบรับข้อเสนอนี้

ชายหนุ่มรูปงามคิดในใจ “เป็นแค่เก้าแก่ร้านเล็กกระจิริด กล้าดีอย่างไรมาพูดเรื่องหลักธรรมประจำใจกับข้า ไม่มีหลักการใดหรอกที่เงินทำลายไม่ได้! หากข้อเสนอนี้ใช้ไม่ได้ ข้าก็แค่ต้องเอาเงินฟาดหัวเพิ่มเข้าไปก็เท่านั้น!”

ปู้ฟางสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าของเขาบูดเบี้ยวบึ้งตึงมากขึ้นไปอีก เขาเหลือบมองเจ้ารู่เก๋อที่กำลังแสดงสีหน้าของผู้ชนะ แล้วก็…

“ปัง!”

กระดานแผ่นสุดท้ายเลื่อนเข้ามาปิดทางเข้าร้านด้วยเสียงดังลั่นจนเจ้ารู่เก๋อสะดุ้ง

“เกิดอะไรขึ้นกัน เถ้าแก่ เจ้าจะไม่ให้ข้าเข้าไปหรอกหรือ เจ้ายังจะเปิดร้านให้ข้าอยู่หรือไม่” แล้วไอ้ที่เหมือนจะยอมโอนอ่อนผ่อนตามให้เมื่อครู่เล่า เหตุใดจึงไม่ประนีประนอมแล้ว เหตุใดจึงเปลี่ยนใจกลางอากาศเช่นนี้!

แม้เจ้ารู่เก๋อจะเป็นชายผู้มีสติอยู่เสมอ เขาก็ยังอดโมโหไม่ได้ แม้แต่ร้านอาหารระดับหนึ่งในเมืองอย่างร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ยังไม่มีกฎบ้าบอมากมายเหมือนร้านเล็กๆ ร้านนี้เลย ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อว่าร้านรูหนูในตรอกไกลความเจริญจะกล้าพูดเรื่องกฎเกณฑ์กับเขา!

“วันนี้หมดเวลาทำการแล้ว หากเจ้าอยากกิน ก็กลับมาใหม่พรุ่งนี้”

เสียงของปู้ฟางดังลอดไม้กระดานที่ปิดสนิทออกมา ตามมาด้วยเสียงหาวหวอดใหญ่ จากนั้นก็เหลือเพียงความเงียบงัน

หลังจากนั้นไม่ว่าเจ้ารู่เก๋อจะเคาะเท่าไร ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ

สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนอืดอยู่หน้าร้านเหล่ตามองชายหนุ่ม จากนั้นก็หมอบลงไปนอนต่อดังเดิม นอกจากกินแล้วเจ้าสุนัขตัวนี้ก็ทำแค่นอนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นสุกรในคราบสุนัขที่แท้จริง

เจ้ารู่เก๋อรู้ตัวในที่สุดว่าตนเองโดนปฏิเสธแล้วจริงๆ ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อเลยว่าร้านกระจิริดในพื้นที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้จะกล้าปฏิเสธชายหนุ่มรูปงามอย่างเขา

ชายหนุ่มรู้สึกราวกับถูกศรปักอกอย่างไรอย่างนั้น

เขาเรียกเอาก้อนพลังปราณเที่ยงแท้ออกมาไว้ในมือด้วยพลังปราณระดับสามขั้นคลั่งยุทธการ หมายมั่นจะพังร้านให้กลายเป็นเศษซาก

แต่หลังจากที่คิดอยู่สักพักก็ล้มเลิกความพยายามลง

“ก็ได้! ข้าจะกลับมาใหม่พรุ่งนี้ จะได้รู้เสียทีว่าไอ้ร้านเส็งเคร็งเช่นใดกันที่กล้าปฏิเสธข้า!”

เจ้ารู้เก๋อเป็นบุตรชายของเสนาบดีฝ่ายซ้าย เป็นชายสูงศักดิ์ที่ทุกคนในนครหลวงต้องให้ความเคารพนับถือ แต่กลับถูกร้านอาหารรูหนูปฏิเสธซึ่งๆ หน้าให้อับอายเสียได้ เขารู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างไรอย่างนั้น

เจ้ารู้เก๋อที่กำลังหัวเสียสลายพลังปราณในฝ่ามือตน ก่อนหันหลังเดินจากไป

สุนัขสีดำตัวใหญ่นอนอืดอยู่หน้าร้านโดยไม่ขยับแม้กระผีกเดียว มันเหล่ตามองเจ้ารู่เก๋อที่เดินจากไป พร้อมกลอกตา…

ส่วนปู้ฟางนั้นกลับไปที่ห้องของตน และลืมเจ้ารูเก๋อไปเรียบร้อยแล้ว

เขาหาวออกมาหวอดใหญ่ รู้สึกง่วงงุนมาทั้งวัน

ชายหนุ่มเอนกายลงบนเตียงแล้วเรียกหน้าจอระบบออกมาดู

นายท่าน: ปู้ฟาง

เพศ: ชาย

อายุ: 20 ปี

ระดับพลังปราณเที่ยงแท้: ระดับหนึ่ง (ในฐานะพ่อครัวเทพแห่งโลกในจินตนาการ ท่านต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำอาหาร จงฝึกอย่างหนักต่อไปละ พ่อหนุ่ม)

พรสวรรค์การทำอาหาร: ยังไม่เปิดใช้งาน

ทักษะ: ยังไม่เปิดใช้งาน

อุปกรณ์: ยังไม่มี

คะแนนรวมการเป็นพ่อครัวเทพ: ขั้นเริ่มต้น (คะแนนรวมของท่านอยู่ในขั้นเริ่มต้น ท่านเริ่มรู้วิธีการใช้พลังปราณเที่ยงแท้แล้ว และรู้วิธีการทำข้าวผัดไข่)

ระดับของระบบ: หนึ่งดาว

สีหน้าของปู้ฟางพลันเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจ

“พลังปราณเที่ยงแท้ของข้าอยู่ที่ระดับหนึ่งหรือนี่ หือ… แถมยังมีระดับของระบบอีก”

……………………………..