ซือหม่าโยวเย่ว์มาที่ห้องหนังสือสะสมอีกครั้ง คราวนี้ก็ไม่ได้ควานหาหนังสือแบบตามืดบอดไปทั่วเหมือนคราวก่อนอีกต่อไปแล้ว คราวก่อนตอนที่เธอมาหาตำราแพทย์ก็ได้จดจำตำแหน่งที่วางตำราการบำเพ็ญเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคราวนี้เธอจึงตรงไปยังตำแหน่งที่วางหนังสือ ค้นเจอหนังสือ ‘อรรถาธิบายผู้เชี่ยวชาญในดินแดน’ จึงนั่งลงอ่านบนพื้น
เจ้าของร่างเดิมมีความประทับใจต่อหนังสือเล่มนี้ เพราะว่าวันแรกที่นางไปที่วิทยาลัย ทางวิทยาลัยได้หนังสือเล่มนี้ให้แก่นาง น่าเสียดายที่นางในตอนนั้นไม่ได้มีความสนใจในการบำเพ็ญเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงโยนทิ้งเอาไว้บนโต๊ะ ตลอดมาก็ไม่เคยอ่านเลย จนกระทั่งนางไปจากวิทยาลัย หนังสือเล่มนั้นก็ยังคงอยู่ในลิ้นชักโต๊ะเช่นเดิม
ซือหม่าโยวเย่ว์พิงชั้นหนังสือแล้วพลิกอ่านหนังสือในมือหน้าแล้วหน้าเล่า ยิ่งอ่านก็ยิ่งประหลาดใจ โลกใบนี้ช่างน่าพิศวงโดย!
อ้างอิงจากสิ่งที่บอกในหนังสือ ที่มนุษย์ทั้งหลายบำเพ็ญได้ก็เพราะว่าในอากาศมีปราณวิญญาณอยู่ เมื่อดูดซับปราณวิญญาณเข้าไปในร่างกายได้ก็จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังวิญญาณ ยิ่งมีพลังวิญญาณมาก พลังยุทธ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
ปรมาจารย์วิญญาณก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับขั้นโดยอ้างอิงจากความแตกต่างของพลังยุทธ์ ตามลำดับดังนี้ ผู้ฝึกวิญญาณ ปรมาจารย์วิญญาณ มหาปรมาจารย์วิญญาณ ราชาวิญญาณ บรรพวิญญาณ ราชันวิญญาณ และจ้าววิญญาณ สีของพลังวิญญาณตามลำดับขั้นก็คือ แดง แสด เหลือง เขียว น้ำเงิน ฟ้า และม่วง และทุกระดับขั้นก็ยังแบ่งออกเป็นระดับขั้นย่อยที่หนึ่งถึงเก้าอีกด้วย สัญลักษณ์ระดับขั้นของแต่ละระดับขั้นย่อยก็คือดาวดวงเล็กดวงหนึ่ง ส่วนระดับขั้นใหญ่ขั้นหนึ่งก็คือดวงจันทร์ดวงหนึ่ง อย่างเช่นผู้ฝึกวิญญาณขั้นหก ตอนที่ปลดปล่อยพลังวิญญาณ บริเวณเท้าก็จะมีดาวดวงเล็กๆ ปรากฏขึ้นหกดวง ส่วนปรมาจารย์วิญญาณขั้นหกก็จะมีดวงจันทร์หนึ่งดวง กับดาวดวงเล็กๆ อีกหกดวงปรากฏขึ้นมา มหาปรมาจารย์วิญญาณก็จะมีดวงจันทร์สองดวง เช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าปรมาจารย์วิญญาณจะครอบครองดินแดนนี้ แต่ก็มิได้มีปรมาจารย์วิญญาณให้เห็นมากนัก เพราะว่าไม่ใช่ใครต่อใครก็สัมผัสถึงปราณวิญญาณในอากาศกันได้หมดทุกคน แต่เพราะปรมาจารย์วิญญาณมีพลังยุทธ์แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงได้เสพสุขกับสถานะอันสูงส่งในโลกแห่งนี้
นอกจากปรมาจารย์วิญญาณแล้วก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ อยู่อีก ที่เป็นไปในทางเดียวกันก็คือปรมาจารย์กระบี่ ปรมาจารย์กระบี่หมายถึงผู้ที่ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณในอากาศเหล่านั้น แล้วอาศัยการบำเพ็ญปราณกระบี่เป็นหลัก นอกจากการฝึกกระบี่แล้วปรมาจารย์กระบี่ก็ยังต้องบริหารร่างกายด้วย เพราะว่าร่างกายที่แข็งแกร่งจึงจะทานทนต่อปราณกระบี่ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ได้
ระดับขั้นของปรมาจารย์กระบี่ได้แก่ ผู้ฝึกกระบี่ ปรมาจารย์กระบี่ มหาปรมาจารย์กระบี่ ราชากระบี่ บรรพกระบี่ ราชันกระบี่ และจ้าวกระบี่ ซึ่งปราณกระบี่ก็มีอยู่เจ็ดสีเช่นกัน ทุกระดับขั้นก็แบ่งออกเป็นระดับขั้นย่อยที่หนึ่งถึงเก้าเช่นเดียวกัน สิ่งที่แสดงถึงหนึ่งระดับขั้นย่อยก็คือกระบี่เล็กอันหนึ่ง ส่วนระดับขั้นใหญ่นั้นจะเป็นดาบเล่มหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะมีปรมาจารย์วิญญาณและปรมาจารย์กระบี่อยู่ที่โลกแห่งนี้เพียงน้อยนิด แต่ว่าเมื่อเทียบกันกับผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ แล้วก็นับว่ามีอยู่มาก เพราะว่าผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ทั้งหลายนั้นหาได้ยากยิ่งกว่า
ผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ทั้งหลายที่ว่านั้นก็ได้แก่นักหลอมยา นักหลอมวัตถุ นักฝึกสัตว์อสูร และปรมาจารย์ค่ายกล ผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนงต่างก็มีพื้นที่อันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองทั้งสิ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์อ่านหนังสือจนจบแล้วก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายอย่างคร่าวๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว
“ที่แท้แล้วหากคิดอยากจะเป็นนักหลอมยาก็ต้องเป็นปรมาจารย์วิญญาณให้ได้เสียก่อน ก่อนหน้านี้ยังอยากจะไปศึกษาการหลอมยาอยู่เลย แต่ดูท่าทางว่าคงจะต้องบำเพ็ญเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ซือหม่าโยวเย่ว์เอาหัวโขกชั้นวางหนังสือเบาๆ แล้วพูดพึมพำกับตนเองว่า “ผู้เชี่ยวชาญประเภทอื่นๆ ดูเหมือนว่าจะไม่เลวเลยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ที่โลกแห่งนี้ยังมีสัตว์ที่พูดได้อยู่อีกด้วย ช่างเป็นโลกที่น่าพิศวงจริงๆ เชียว!”
สัตว์ที่ซือหม่าโยวเย่ว์บอกว่าพูดได้คือสัตว์อสูรวิเศษ ซึ่งสัตว์อสูรวิเศษก็บำเพ็ญได้เช่นเดียวกัน คงเหมือนสัตว์ประหลาดที่พูดถึงกันในชาติก่อนนั่นเอง สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำก็มีระดับขั้นที่สอดคล้องกันอยู่ด้วย ระดับต่ำที่สุดกคือสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำ ถัดมาเป็นสัตว์อสูรทิพย์ สัตว์อสูรเทพ และสัตว์อสูรเหนือเทพ
สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำนั้นเพียงแค่เริ่มมีเชาวน์ปัญญา ฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องแล้วตอบสนองได้เท่านั้น ส่วนสัตว์อสูรทิพย์พูดภาษามนุษย์ได้ ในขณะที่สัตว์อสูรเหนือเทพสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่สัตว์อสูรเหนือเทพนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานมาโดยตลอด ที่โลกแห่งนี้แม้แต่สัตว์อสูรเทพก็ยังมิอาจพบเห็นได้บ่อยนัก
ปรมาจารย์วิญญาณทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้ หลังจากทำพันธสัญญาแล้วปรมาจารย์วิญญาณกับสัตว์อสูรวิเศษจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่เพราะสัตว์อสูรวิเศษมีสัญชาตญาณสัตว์ป่าอยู่ ดังนั้นการทำพันธสัญญาโดยตรงอาจจะทำให้ถูกสัตว์อสูรวิเศษทำร้ายเอาได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีนักฝึกสัตว์อสูรถือกำเนิดขึ้น
นักฝึกสัตว์อสูรใช้ทักษะในการฝึกสัตว์ให้เชื่อง ขจัดสัญชาตญาณสัตว์ป่าของสัตว์อสูรวิเศษทิ้งไป จนกลายเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ทำพันธสัญญากับปรมาจารย์วิญญาณได้ เพราะหลังจากที่สัตว์อสูรวิเศษทำพันธสัญญาแล้วจะเป็นความช่วยเหลืออันแข็งแกร่งของปรมาจารย์วิญญาณ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่านักฝึกสัตว์อสูรมีความสำคัญเป็นพิเศษ แต่หากคิดอยากจะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรก็มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นปรมาจารย์วิญญาณก่อนเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้แล้วนักหลอมวัตถุและปรมาจารย์ค่ายกลต่างก็เป็นปรมาจารย์วิญญาณเช่นเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์อับจนคำพูดอยู่บ้าง
“เฮ้อ… ดูท่าทางก็คงจะต้องบำเพ็ญก่อนเพียงอย่างเดียวแล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นจากพื้น
หลังจากที่เธอค้นหาบนชั้นหนังสืออยู่ครู่หนึ่งก็หาตำราเริ่มต้นการบำเพ็ญที่เป็นพื้นฐานที่สุดพบ
เมื่อมองดูแล้วเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปมากแล้ว เธอนำหนังสือกลับมาที่ห้องของตนเอง หลังจากที่กินอาหารค่ำเรียบร้อยแล้วเธอลงกลอนประตู นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงคนเดียว หลังจากนั้นทดลองรับสัมผัสปราณวิญญาณในอากาศโดยอาศัยวิธีการตั้งสมาธิที่บอกในตำรา
ในตอนแรกเธอไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งใดได้เลย แต่หลังจากนั้นก็ดูคล้ายจะรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนโอบล้อมรอบตัวเธออยู่ จนกระทั่งตอนที่ฟ้าสว่างเธอจึงรู้สึกถึงจุดแสงหลากสีเหล่านั้นได้โดยสมบูรณ์
ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตาขึ้นตัดตอนการตั้งสมาธิ เกิดความประหลาดใจขึ้นมา ในหนังสือไม่ได้บอกว่ามีเพียงแค่สีเดียวหรือไร เพราะเหตุใดตนจึงรับสัมผัสได้ถึงจุดแสงหลากหลายสีเช่นนี้กันเล่า
“ประหลาดนัก!”
เธอไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจุดแสงที่ตนสัมผัสได้นั้นจึงมีหลากหลายสี เห็นได้ชัดว่าหนังสือบอกเอาไว้ว่าตามปกติแล้วจะรับสัมผัสได้เพียงแค่สีเดียวเท่านั้น หรือว่าวิธีการของตนไม่ถูกต้องกันหนอ
เธอเริ่มอ่านหนังสือใหม่ตั้งแต่ต้นอีกรอบหนึ่งแล้วก็พบว่าตนอ้างอิงวิธีการในหนังสือโดยไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงไหนกันเล่า
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจไปถามซือหม่าเลี่ย ตอนนี้ซือหม่าเลี่ยเป็นถึงยอดฝีมือของระดับราชันวิญญาณแล้ว เขาจะต้องรู้ถึงปัญหานี้อย่างแน่นอน
ซือหม่าโยวเย่ว์หาตัวซือหม่าเลี่ยพบแล้วก็ถามสิ่งที่ตนสงสัยออกมา
“อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ง่ายมาก” ซือหม่าเลี่ยมองหลานสาวของตนที่แหงนดวงหน้าน้อยๆ ขึ้นมาถามตนแล้วอมยิ้มเอ่ยว่า “พลังวิญญาณที่บำเพ็ญนี้มีสีแตกต่างกันเพราะว่าธาตุไม่เหมือนกันน่ะสิ”
“ธาตุหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว ธาตุนี้ก็คือประเภทของพลังวิญญาณที่เจ้าบำเพ็ญได้ สีของธาตุไฟเป็นสีแดง เวลาบำเพ็ญก็จะดูดซับจุดแสงสีแดง ธาตุไม้เป็นสีเขียว เวลาบำเพ็ญก็จะดูดซับจุดแสงสีเขียว เฉกเช่นเดียวกัน ธาตุน้ำเป็นสีฟ้า ธาตุทองเป็นสีทอง ธาตุดินเป็นสีน้ำตาล ธาตุแสงสว่างเป็นสีขาว ส่วนธาตุความมืดเป็นสีดำ โดยทั่วไปแล้วหากเจ้ารับสัมผัสจุดแสงสีใดได้ก็บำเพ็ญพลังวิญญาณที่เป็นธาตุเดียวกันได้”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแสดงว่าตนเองเข้าใจแล้ว แต่เมื่อนึกถึงจุดแสงหลากสีที่ตนได้เห็นเมื่อเช้านี้แล้วก็เอ่ยถามอีกว่า “ถ้าหากรับสัมผัสจุดแสงได้มากมายหลายสีเลยเล่า”
ซือหม่าเลี่ยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับการบำเพ็ญขึ้นมา แต่ยังตอบอย่างอดทนว่า “ผู้ที่รับสัมผัสจุดแสงได้มากมายหลายสีก็คือปรมาจารย์วิญญาณหลากแขนงที่เล่าลือกันอย่างไรเล่า”
“ปรมาจารย์วิญญาณหลากแขนงหรือ”
“อืม อย่างเช่นผู้ที่รับสัมผัสได้ทั้งจุดแสงสีแดงและสีทอง นั่นคือปรมาจารย์วิญญาณสองแขนง ทั้งแขนงไฟและแขนงทอง ถ้าหากเป็นสามชนิด นั่นคือปรมาจารย์วิญญาณสามแขนง แต่ปรมาจารย์วิญญาณหลากแขนงนั้นมิอาจพบเห็นได้บ่อยนัก ถ้าหากมีขึ้นมาสักคนหนึ่งแล้วละก็ ตามปกติแล้วจะต้องได้รับความสำคัญอย่างยิ่งจากทุกผู้คนเลยทีเดียว”
“เช่นนั้นหากมีจุดแสงหมดทุกสีเลยเล่าขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ยพลางถามขึ้นอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง
……………………