ส่วนที่ 1 วิวาห์สลับตัวองค์หญิง ตอนที่ 11 วิวาห์สลับตัวองค์หญิง (11)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

ขึ้นสามค่ำ เดือนสิบสอง แม่ทัพซูอวี้เฟิง จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งคอยปกป้องชายแดนก็เดินทางกลับมาเข้าเฝ้า โชคดีที่หิมะตกหนักไปแล้วเมื่อสองสามวันก่อน ทางหลวงบริเวณชานเมืองจึงปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน มองไปไกลๆ จะเห็นแถวยาวสีดำบนท้องทุ่งกว้างสีเงิน และผู้คนก็ยังทยอยเดินทางเข้ามาสู่เมืองหลวงเรื่อยๆ 

 

 

ในพลับพลาสือหลี่ ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งอยู่แถบชานเมือง มีเตาผิงสี่เตาที่เคยมีผ้าม่านหนาคลุมอยู่ บัดนี้จุดไฟลุกโชนทำให้หน้าของผู้คนที่ผิงไฟเพื่อความอบอุ่นอยู่รอบๆ นั้นดูเป็นสีออกแดงๆ 

 

 

ซูหว่านในชุดเสื้อคลุมไหล่สีแดงสดนั่งเงียบอยู่บนผ้าห่มที่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว นางมองลอดผ้าม่านออกไปเห็นกองทัพทยอยเดินเข้ามาแต่ไกล 

 

 

ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ซูอวี้เฟิงเป็นแม่ทัพและบิดาที่เข้มงวด เขาแทบไม่เคยหัวเราะและไม่รู้จักความอ่อนโยน สิ่งที่เขาทำมากที่สุดในจวนคือฝึกฝนวรยุทธ์และศึกษายุทธวิธีทางการทหารทุกวัน 

 

 

คนเช่นนี้มีชีวิตที่น่าเบื่อและยึดมั่นในหลักการ เขายึดหลักการที่ว่า จะรักษาน้ำใจของทหารใต้บังคับบัญชาแต่ก็จะไม่ยกโทษให้คนที่กระทำผิดเช่นกัน 

 

 

และคนเช่นนี้ก็ยากที่จะได้รับตำแหน่งเสนาบดีเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นผู้จงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ทว่าไม่ค่อยมีความสามารถด้านอื่น แม้แต่การจัดการเรื่องภายในครอบครัวของตนเองยังทำไม่ได้ดี 

 

 

ซูรุ่ยนั่งติดกับซูหว่าน ดวงตาเรียวเล็กของเขาจ้องมองไปยังกองทัพที่กำลังเดินทางกลับมา อาจเป็นเพราะเขาได้ฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ความสามารถในการมองเห็นและการฟังของเขาจึงเฉียบคมแม่นยำกว่าคนทั่วๆ ไป ซูรุ่ยมองเห็นบุรุษในชุดเกราะสีดำ สง่างามและทรงพลังนำทัพ 

 

 

บุรุษผู้นี้คือบิดาของเขา ซูอวี้เฟิง 

 

 

สองพ่อลูกประสานสายตากันกลางอากาศ ไม่ได้พบกันอีกเลยหลังจากกันเป็นเวลานาน ดวงตาดำสนิทของซูอวี้เฟิงเฉียบคม ซูรุ่ยไม่กลัวเมื่อจ้องตาเรียวเล็กแววตากร้าวของซูอวี้เฟิง 

 

 

ตั้งแต่ซูหว่านแต่งงานออกเรือนไปเมื่อสี่ปีก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้ตกต่ำถึงขีดสุด ตอนนี้ซูหว่านกลับมายังบ้านตระกูลซูแล้ว ความสัมพันธ์เงียบๆ ระหว่างพ่อลูกยิ่งยากจะดีขึ้นได้ 

 

 

ในไม่ช้า กองทัพของซูอวี้เฟิงก็เดินทัพมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับพลับพลาสือหลี่ ซูหว่านรู้จักบุรุษที่นางต้องต้อนรับเป็นอย่างดีว่าเปรียบได้กับลมเหนืออันรุนแรง 

 

 

ซูหว่านจับเสื้อคลุมให้กระชับและค่อยๆ เดินออกมาจากพลับพลา พ่อและลูกสาวที่จากกันสี่ปีได้พบกันอีกครั้ง 

 

 

ซูอวี้เฟิงกลอกตาไปข้างๆ เล็กน้อย ดวงตาเขาเปรียบเหมือนบ่อน้ำโบราณที่น้ำนิ่ง ถึงแม้บุตรสาวของเขาผู้มีร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็กจนไม่อาจฝึกวรยุทธ์ได้ แต่เขาก็รักนางมาก เขามีความรักของบิดาที่ลึกซึ้งให้กับลูกสาว เพราะเขาเป็นคนพูดไม่เก่ง ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างซูอวี้เฟิงกับซูหว่านจึงดูเหมือนหมางเมินต่อกัน 

 

 

หากไม่ใช่เพื่อสิ่งที่ซูรุ่ยทำในปีนั้น ซูอวี้เฟิงจะไม่เคยไปหาซูหว่านเลยแม้แต่ครั้งเดียวในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา 

 

 

“ท่านพ่อ ตอนนี้ลูกแต่งงานเข้าจวนอ๋องเย่ว์แล้ว ถือว่าชีวิตเป็นของจวนอ๋องเย่ว์แล้ว ต่อจากนี้ข้าไม่อาจดูแลปรนนิบัติท่านพ่อตามหน้าที่ที่บุตรสาวพึงกระทำ โปรดยกโทษให้บุตรสาวคนนี้ด้วย!” 

 

 

ซูอวี้เฟิงยังจำได้ชัดเจนในวันที่นางแต่งงานเข้าจวนอ๋องเย่ว์เมื่อสี่ปีก่อน เป็นครั้งแรกที่นางแสดงออกอย่างเอาจริงเอาจังต่อหน้าเขา 

 

 

ในตอนนั้น ซูอวี้เฟิงรู้สึกสบายใจ ในที่สุดลูกสาวเขาก็เติบใหญ่จนสามารถหาคนที่ไว้วางใจดูแลนางไปตลอดชีวิตได้ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แม้ซูรุ่ยจะน่าเวทนา แต่การไม่มาเจอกันเป็นทางออกที่ดีที่สุด 

 

 

เวลาสี่ปีจะว่านานก็ไม่นาน สั้นก็ไม่สั้น แต่ทุกอย่างผ่านไปแล้วตามกาลเวลาที่ผ่านไป ฉากยังคงเป็นฉากเดิม แต่ตัวบุคคลเปลี่ยนไป 

 

 

“ท่านพ่อ……” 

 

 

ซูหว่านและซูอวี้เฟิงมองหน้ากันครู่ใหญ่ ในที่สุดนางก็ก้าวออกมาข้างหน้า ปากคอสั่น 

 

 

ซูอวี้เฟิ งเกือบจะตอบแต่พลันดวงตากลับเย็นชา ซูรุ่ยเดินช้าๆ ตามหลังซูหว่าน เขาแสดงออกถึงความรักต่อพี่สาวโดยกระชับเสื้อคลุมของซูหว่านและโอบซูหว่านเข้ามาในอ้อมกอดอย่างหลวมๆ “ท่านพี่ ตรงนี้ลมแรง ระวังจะเป็นหวัด” 

 

 

แม้คำพูดของเขาจะอ่อนโยน นุ่มนวล รื่นหู แต่ในมุมมองของซูอวี้เฟิงนี่มันยั่วโมโหกันชัดๆ! 

 

 

“เจ้าซูรุ่ย!” 

 

 

ซูอวี้เฟิงใช้หอกในมือหวดออกไปอย่างแรงและดึงกลับมาวางบนบ่า 

 

 

ดูเหมือนซูรุ่ยจะเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาอุ้มซูหว่านไว้ในขณะหลบคมหอก เขาใช้โอกาสนี้โน้มศีรษะของซูหว่านเข้ามาในอ้อมกอด ซูรุ่ยหรี่ตามองพ่อของเขา “ข้ารู้ว่าท่านมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ แต่หากท่านไม่ยั้งมือและพลาดทำให้ท่านพี่บาดเจ็บละก็ ข้าจะ…เจ็บใจมาก!” 

 

 

เจ้าลูกเนรคุณ! 

 

 

ซูอวี้เฟิงรู้สึกเหมือนมีเลือดเต็มปากจุกคออยู่ เขาไม่เข้าใจเลยว่าคนตระกูลซูสามรุ่นนั้นจงรักภักดีและซือสัตย์มาโดยตลอด เจ้าซูรุ่ยที่ดื้อรั้นและเนรคุณนี่เกิดมาในตระกูลเราได้ยังไง!  

 

 

ตอนที่ซูอวี้เฟิงเกือบจะเครียดจนสติแตก ซูหว่านผงกศีรษะขึ้นอย่างกะปลกกะเปลี้ยจากอ้อมกอดของซูรุ่ย นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้แต่สั่นศีรษะบอกซูอวี้เฟิงว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไร” 

 

 

เมื่อเห็นบุตรสาวผู้อ่อนแอแต่ยังแสดงความอดทน ซูอวี้เฟิงรู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจ เขารู้ตัวทันทีว่าเขาไม่ใช่พ่อที่ดี 

 

 

เขาถอนใจลึกอยู่ภายในใจ หลังจากเปลี่ยนท่าทีกลับสู่ปกติ ซูอวี้เฟิงยกมือบัญชาการกองทัพให้เดินหน้าต่อ “กลับเข้าเมืองหลวง ซูรุ่ย ดูแลพี่สาวเจ้าให้ดี! หากนางเป็นอะไรไป เจ้าต้องรับผิดชอบ!” 

 

 

“อา” 

 

 

ซูรุ่ยเบะปากแสดงความเหยียดหยาม แต่ชั่ววินาทีเขาก็เปลี่ยนอารมณ์ โน้มศีรษะและมองลงต่ำแสดงความอ่อนโยนนุ่มนวลต่อซูหว่าน “ท่านพี่ ข้าจะพาท่านกลับ” 

 

 

“อืม” 

 

 

ซูหว่านยอมรับชะตากรรมจึงไม่ดิ้นรน นางอยู่เงียบๆ ปล่อยให้ซูรุ่ยทำอะไรก็ทำ 

 

 

เมื่อพวกเขามาถึงเมืองหลวง กองทัพได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประชาชนตลอดทาง ตอนนี้ทางเข้าจวนแม่ทัพซูคลาคล่ำไปด้วยผู้คนราวกับอยู่ในตลาดที่พลุกพล่านจอแจ 

 

 

คำสั่งแรกเมื่อซูอวี้เฟิงมาถึงเมืองหลวงคือต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทันที ไม่มีใครรู้ว่าท่านจอมทัพซูกับฮ่องเต้สนทนาอะไรกัน แต่จวนแม่ทัพซูได้เชิญทุกคนในคืนนั้นซึ่งได้รับเทียบเชิญมาก่อนหน้านี้แล้ว เทียบเชิญระบุเวลาชัดเจนให้ผู้คนมาร่วมงานเลี้ยงบ้านตระกูลซูที่จัดขึ้นในคืนที่สอง 

 

 

ถึงแม้ในเทียบเชิญจะไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์ของงานเลี้ยง แต่ทุกคนก็รู้ว่าจอมทัพซูกับฮ่องเต้คงมีข้อตกลงอะไรกันบางอย่างซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เรื่องพิธีแต่งงานของซูหว่านนั่นเอง 

 

 

เรื่องนี้เชื้อพระวงศ์ทำผิดพลาดไปโดยเข้าใจว่าทางจวนท่านแม่ทัพซูจะเป็นผู้เลือกคู่ครองให้กับซูหว่าน 

 

 

เซวียนหยวนรุ่ยไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับเทียบเชิญด้วย เขายังคิดว่าซูอวี้เฟิงจะถลกหนังแล่เนื้อเขาเป็นชิ้นๆ เสียอีก! แต่เมื่อเซวียนหยวนรุ่ยคิดว่าซูหว่านทั้งรักทั้งหลงเขาเพียงใด เขาก็สงบใจลงได้ บางทีนี่อาจเป็นการตัดสินใจของซูหว่านเอง 

 

 

เมื่อเขาคิดถึงสตรีผู้นั้นที่ใครๆ ก็ตามจีบ เขาพอใจและภูมิใจในตัวเองมากว่าคนอย่างเซวียนหยวนรุ่ยใครๆ ก็เทียบไม่ติด เมื่อคิดถึงซูหว่านที่ฉลาดและท่วงท่าการเคลื่อนไหวของนาง เซวียนหยวนรุ่ยรู้สึกเหมือนนางกระชากหัวใจเขาไป… 

 

 

เมื่อวันงานมาถึง ยังไม่ทันมืด ทางเข้าบ้านตระกูลซูก็เต็มไปด้วยเกี้ยวและรถม้า ข้าราชการชั้นสูงที่มีเกียรติแต่งตัวเต็มยศเข้าร่วมงาน 

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกับความตื่นเต้นคึกคักในห้องโถงด้านหน้า เรือนด้านหลังที่ซูหว่านอยู่นั้นเงียบสงบ ลี่ว์จูรอนายหญิงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นางไม่แสดงความประหม่าตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ลี่ว์จูมองหน้าอันเย็นชาของซูหว่านในกระจกจึงอดไม่ได้ที่จะกระซิบถามนางว่า “จวิ้นจู่ คืนนี้ท่านต้องแสดงเต้นรำใช่ไหมเจ้าคะ” 

 

 

“อื้อ” 

 

 

ซูหว่านพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ นางเคยเป็นนางรำมาแล้วชาติหนึ่ง เรื่องเต้นรำจึงง่ายมากสำหรับนาง แต่แน่นอนว่าการแสดงเต้นรำครั้งนี้ไม่ได้ทำเพราะอยากทำและไม่ใช่เพื่อแสดงความสามารถพิเศษของนางเป็นแน่ 

 

 

ซูหว่านไม่เชื่อเรื่องความรู้สึก เรื่องประเภทที่ชื่นชมหลงใหลและตกหลุมรักเมื่อแรกเห็นนางรำเต้นรำ เป็นเรื่องเหลวไหลสำหรับนาง 

 

 

รักและเทิดทูนหลังชมการเต้นรำหรือ? ความชื่นชมหลงใหลใช้กับคนสำคัญมีชื่อเสียงต่างหาก 

 

 

ตกหลุมรักเมื่อแรกเห็นหรือ? ความรักประเภทนี้คือรักที่หน้าตาต่างหาก 

 

 

นางกำลังจะเต้นรำคืนนี้เพียงเพราะอยากจะส่งข้อความต่อหน้าทุกคน ส่งความคิด…… 

 

 

เมื่อแขกทุกคนมาถึง งานเลี้ยงตระกูลซูจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงคือซูอวี้เฟิงนั่งตรงกลาง ซูรุ่ยนั่งเงียบอยู่ตรงที่นั่งด้านล่างซูอวี้เฟิง แต่ที่นั่งข้างซูอวี้เฟิงนั้นไม่มีใครนั่ง  

 

 

แล้วจวิ้นจู่น้อยเล่า 

 

 

นางไม่สบายอีกแล้วหรือ 

 

 

แขกทุกคนยืนอยู่ด้วยกันไม่ได้กระซิบกระซาบ ได้แต่มองด้วยสายตาอยากหาคำตอบและไม่แน่ใจ 

 

 

ซูอวี้เฟิงปรบมือดัง กลุ่มนางรำในชุดกระโปรงสีขาวออกมาพร้อมกับดนตรีอันไพเราะ กลุ่มนางรำเต้นรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยสง่างาม ช่างน่าหลงใหลยิ่ง 

 

 

แขกที่มาในงานล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์หรือเป็นลูกหลานชนชั้นสูง ฉากนี้ดูไปก็ธรรมดาๆ แต่เพื่อจะให้ท่านแม่ทัพซูประทับใจ ทุกคนต้องแสดงสีหน้าชื่นชมการแสดงเต้นรำ มีแต่ท่านหมอซือคนเดียวที่นั่งอยู่กับที่และคิดถึงซูหว่านอยู่ในใจ 

 

 

เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีอะไรที่ทำให้นางไม่สบาย 

 

 

เป็นไปไม่ได้หรอก! เขาตรวจร่างกายให้นางเอง ร่างกายของนางไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนี่! 

 

 

ในขณะที่ท่านหมอซือปลดปล่อยจินตนาการอยู่นั้น ภายในห้องโถงก็พลันมีเสียงตะโกนขึ้น 

 

 

ท่านหมอซือเบิกตาด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและเห็นว่าทะเลสีขาวมีสีแดงมาแต่งแต้ม 

 

 

เช่นเดียวกับในอดีต ซูหว่านมักแต่งกายด้วยชุดสีแดงเพลิงเพื่อปิดบังสีผิวที่ซีดของนาง นางอยู่ตรงกลางแสดงฝีมือเต้นรำเต็มที่ นางผูกกระดิ่งสีเงินไว้ที่ข้อมือ เมื่อนางแกว่งแขนจึงมีเสียงอันไพเราะก้องไปทั่วทั้งห้องโถง อีกมือหนึ่งของนางถือจอกสุราเล็กๆ ที่มีสุราอยู่เต็มจอก ตลอดเวลาที่นางเต้นรำอยู่นั้น สุราในจอกไม่หกเลยแม้แต่หยดเดียว 

 

 

ฝีมือยอดเยี่ยมมาก! 

 

 

ทุกคนประหลาดใจเพราะคาดไม่ถึงว่าจวิ้นจู่น้อยที่มักเจ็บป่วยอยู่เสมอจะเป็นปรมาจารย์ด้านการเต้นรำ! 

 

 

เซวียนหยวนรุ่ยนั่งจ้องซูหว่าน รู้สึกว่าเขาไม่เคยเข้าใจซูหว่านเลย ความทรงจำเมื่อหลายปีที่ผ่านมาแวบเข้ามาในสมอง ตอนนี้เมื่อมองซูหว่านที่อยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง กลับเกิดความรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมาในหัวใจ 

 

 

เมื่อการแสดงเต้นรำจบลง ทุกคนอยากเข้าไปแสดงความชื่นชมซูหว่านแต่นางค่อยๆ เดินมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางหยุดตรงหน้าที่นั่งบางที่ในห้องโถง ในขณะนั้นดนตรีหยุดบรรเลงและนางรำถอยออกไปเป็นลำดับ ซูหว่านยิ้มและค่อยๆ ส่งจอกสุราโดยใช้มือทั้งสองข้างให้กับบุรุษผู้หนึ่ง 

 

 

“ข้าน้อยขอคารวะ!” 

 

 

ผลปรากฏว่า เหตุผลของนางที่ถือจอกสุราขณะเต้นรำนั้นไม่ได้แสดงความสามารถด้านการเต้นรำที่น่าเกรงขาม หากแต่นางเพียงอยากให้ทุกคนเห็นว่าคนที่นางส่งจอกสุราให้เป็นใคร…..