ส่วนที่ 1 วิวาห์สลับตัวองค์หญิง ตอนที่ 12 วิวาห์สลับตัวองค์หญิง (12)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

เมื่อซูหว่านยื่นจอกสุรา ห้องโถงงานเลี้ยงก็เปลี่ยนเป็นเงียบงัน แขกทุกคนจ้องมายังบุรุษที่นั่งอยู่ บ้างมองด้วยความไม่แน่ใจ บ้างมองด้วยความประหลาดใจ 

 

 

ตอนนี้ทุกคนเข้าใจกระจ่างชัดแล้ว งานเลี้ยงวันนี้ตระกูลซูจัดขึ้นเพื่อบอกกล่าวแก่ทุกคนว่าไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก พวกเขาได้เลือกบุตรเขยแล้ว 

 

 

เซวียนหยวนรุ่ยจับจอกสุราในมือแน่น แม้เขาจะพยายามควบคุมไม่ให้บีบจอกแรง แต่ยังมีรอยร้าวบนจอกเครื่องเคลือบชั้นดี ทำให้สุรากลิ่นหอมหยดลงเปื้อนฝ่ามือของเขา 

 

 

ทำไมต้องเป็นมัน 

 

 

เป็นมันได้ยังไง 

 

 

เซวียนหยวนรุ่ยรับไม่ได้ แต่แขกคนอื่นแสดงสีหน้าบ่งบอกว่า ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง 

 

 

“ท่านหมอหลวงซือ” 

 

 

ซูหว่านยืนขึ้นและมองท่านหมอซืออย่างอ่อนโยน “ข้าน้อยขอคารวะ!” 

 

 

นางพูดคำเดิมซ้ำๆ ทำให้ท่านหมอซือตื่นจากภวังค์ เขายืนขึ้นด้วยความประหม่า มองตรงไปยังซูหว่าน “ซู…จวิ้นจู่…” 

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของท่านหมอซือประหม่าจนพูดลิ้นพันกันเสียขนาดนั้น นางจึงห่อริมฝีปาก “หากไม่มีท่าน วันนี้คงไม่มีข้า” 

 

 

นี่เป็นคำสารภาพรักที่ตรงไปตรงมาที่สุด ทำให้ท่านหมอซือคอแดง ดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้นเหมือนจะลุกเป็นไฟด้วยความตื่นเต้น 

 

 

“เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว” 

 

 

ท่านหมอซือรับจอกสุราที่ซูหว่านยื่นให้ ในขณะนี้เขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่เขาทำให้ซูหว่านนั้นคุ้มค่าแล้ว 

 

 

ทั้งสองมองหน้ากันอย่างอ่อนโยน มีเพียงโต๊ะเตี้ยๆ ตัวหนึ่งคั่นกลาง ไม่มีใครกล้าส่งเสียงรบกวนพวกเขา บรรยากาศในงานเลี้ยงดูแปลกไปเล็กน้อย 

 

 

ซูหว่านรอจนท่านหมอซือดื่มสุราหมดจอกจึงขอตัวออกจากห้องโถงไปโดยบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ทุกคนค่อยๆ ดึงตัวเองกลับมาที่ความรู้สึกเดิม 

 

 

จวิ้นจู่น้อยจากไปแบบนี้ก็จบแล้วหรือ 

 

 

เชิญพวกเรามาแค่ให้เป็นพยานความสัมพันธ์รักใคร่กลมเกลียวระหว่างคนสองคนงั้นหรือ 

 

 

อันที่จริงหลายคนอาจรู้สึกสับสนในใจแต่ท่านแม่ทัพซูกลับได้ปลดปล่อยความกดดันอันหนักอึ้งและแม่ทัพหนุ่มตระกูลซูก็มีรอยยิ้มตลอดเวลา จึงทำให้ผู้คนมองพวกเขาอย่างหวาดกลัวและงงงัน 

 

 

คนเราเคยชินกับการหาคนที่ตกทุกข์ได้ยากกว่าตนเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก เซวียนหยวนรุ่ยผู้หน้าดำคร่ำเครียดตอบโจทย์นี้พอดี แขกคนอื่นๆ จึงรู้สึกใจชื้นขึ้นโดยพลัน 

 

 

เห็นท่านอ๋องเย่ว์หรือไม่ 

 

 

ดูพระพักตร์ท่านเสียก่อน หน้าดำคร่ำเครียดออกอย่างนั้น บีบจนจอกสุราแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว 

 

 

เซวียนหยวนรุ่ยไม่รู้ตัวเลยว่าตนถูกแขกในงานเลี้ยงคืนนั้นพูดถึงกันสนุกปาก พระองค์ออกจากบ้านตระกูลซูตรงไปยังลานหลังจวนทันทีเมื่อกลับถึงจวน ตอนนี้เปลวไฟเผาไหม้ในใจ พระองค์ไม่มีทางเลือก ได้แต่ระบายอารมณ์ออกไป 

 

 

ในช่วงนี้เยี่ยจือหวาเก็บตัวเงียบ อาจเป็นเพราะเซวียนหยวนรุ่ยก็เย็นชาและรู้สึกคลางแคลงใจเช่นกัน ช่วงนี้นางจึงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง บางทีก็วาดภาพบ้าง แต่อาการประสาทหลอนของนางลดน้อยลง 

 

 

คืนนี้ เยี่ยจือหวามีชิงหลิวเป็นคนปรนนิบัติรับใช้ นางนอนแต่หัวค่ำเช่นเคย ใครจะล่วงรู้ว่าในขณะที่นางกำลังหลับสนิท นางรู้สึกเหมือนมีวัตถุหนักอึ้งกดทับบนร่างจนหายใจไม่ออก 

 

 

ความรู้สึกที่หายใจไม่ออกนี้ทำให้มีภาพมากมายแวบเข้ามาในสมองของนาง 

 

 

คนตระกูลเยี่ยถูกประหารสามชั่วโคตร นางอยู่ในห้องขังนักโทษประหารกำลังร้องขอความเมตตา นางถูกตัดหัวบนลาน เลือดแดงฉานไหลออกมาไม่หยุด ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง 

 

 

นี่คือประสบการณ์ในอดีตของนางซึ่งจนบัดนี้ก็ยังหนีไม่พ้น 

 

 

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ นางต้องเจอเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งหรือ ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนที่ถูกฆ่าคือเยี่ยจือจิ่นและเซวียนหยวนชิง แล้วทำไมนางยังรู้สึกสิ้นหวังและกลัวอยู่เล่า 

 

 

หรือผีของพวกเขากลับมาแก้แค้น 

 

 

คนในสมัยราชวงศ์ซย่าอันยิ่งใหญ่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา เรื่องเยี่ยจือหวากลับมาเกิดใหม่ก็เป็นเรื่องที่น่าเชื่อ 

 

 

เมื่อคิดถึงตอนที่โดนผีอำกดทับร่างอีกครั้ง เยี่ยจือหวาผู้เคยต่อสู้กับ “ผีดุ” มาแล้ว ก็หยิบกรรไกรที่วางไว้ใต้หมอนจ้วงแทงผีสุดกำลัง 

 

 

“ข้าจะฆ่าเจ้า ฆ่าเจ้าให้หมด!” 

 

 

อย่าคิดทำร้ายข้าจะดีกว่า ตอนนี้ข้าเป็นถึงพระชายาของอ๋องเย่ว์ อย่าได้คิดมาเปลี่ยนแปลงชะตาของข้า!” 

 

 

ในห้องที่มีแสงสลัว เยี่ยจือหวาร้องเสียงดังครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาฉายแววความดุร้าย ตอนนี้ดวงตาของนางแดงก่ำเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และยังบ่งบอกเป็นนัยว่านางสูญเสียสติสัมปชัญญะ 

 

 

ใครบอกว่าคนที่เคยตายแล้วครั้งหนึ่งจะไม่กลัวความตาย 

 

 

คนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งต่างหากที่จะเห็นความสำคัญของการมีชีวิตอยู่! 

 

 

ช่วงวันเวลาแห่งความทรมาน เยี่ยจือหวาร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ในใจของนางมีเสียงร้องบอกว่านางต้องมีชีวิตอยู่ นางต้องรอด! 

 

 

ดังนั้น ในช่วงที่นางสูญเสียสติสัมปชัญญะนี้ นางก็เผยเขี้ยวเล็บออกมา ไม่ใช่นางคนที่อ่อนโยนและใจดีในความทรงจำของเซวียนหยวนรุ่ย หากแต่เป็นคนชั่วร้าย ใครก็ตามที่ถูกบังคับให้มาถึงจุดนี้ก็จะมีจุดจบเช่นนี้ 

 

 

เซวียนหยวนรุ่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง ตัวแข็งทื่อขยับไม่ได้ เยี่ยจือหวาใช้กรรไกรตัดแขนเสื้อของเซวียนหยวนรุ่ยทำให้เขาเลือดออกที่แขน ความเจ็บปวดทำให้เซวียนหยวนรุ่ยกลับมามีสติอีกครั้ง เขายกแขนขึ้นและฉวยกรรไกรมาจากมือของเยี่ยจือหวาและเหวี่ยงมือไป 

 

 

“สำส่อน!”  

 

 

เขาตบเยี่ยจือหวาโดยใช้แรงเพียงเจ็ดในสิบส่วน แต่ก็ทำให้ใบหน้าของเยี่ยจือหวามีรอยแดงเป็นนิ้วมือห้านิ้ว 

 

 

เยี่ยจือหวาถูกตบจึงได้สติ มองเซวียนหยวนรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าอย่างงุนงง “ท่านอ๋องหรือ” 

 

 

หลังจากไม่ได้เจอสามีมาหลายวันและได้เจอเขามาเยี่ยมนางกลางดึก เยี่ยจือหวาก็รู้สึกสุขใจและเตรียมตัวจู่โจมเซวียนหยวนรุ่ย ใครจะคิดล่ะว่าเซวียนหยวนรุ่ยก็เพิ่งตื่นจึงถลึงตามองเยี่ยจือหวาด้วยความชิงชัง “ไปซะ กลับไป อย่าแตะต้องตัวข้า!” 

 

 

ตอนแรกที่เยี่ยจือหวาแต่งงานกับเซวียนหยวนรุ่ย พระองค์หลงเสน่ห์ในความสวยและอ่อนโยนของนาง แน่ล่ะ นางก็ปรนนิบัติพระองค์เต็มที่เรื่องบนเตียง ไม่ว่าใครที่ได้เจอสตรีแบบนี้ย่อมต้องเกิดอารมณ์เป็นแน่ 

 

 

แต่เมื่อสตรีนางนี้เจ็บป่วยและเผยความชั่วร้ายและหน้าตาที่ดุดันออกมาหลังจากปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้ เซวียนหยวนรุ่ยก็หมดความสนใจในตัวนางทันที 

 

 

เพื่อคนไร้ค่าเช่นนี้ ทำให้เขาหัวปั่นและทิ้งจวิ้นจู่น้อยผู้ที่เขาถวิลหามาหลายปีเชียวหรือ 

 

 

เซวียนหยวนรุ่ยไม่ยอมรับว่าเป็นความผิดของพระองค์ ตรงกันข้ามยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ พระองค์ยิ่งรู้สึกว่าเป็นความผิดของเยี่ยจือหวาเพราะนางมีแรงจูงใจที่ซ่อนเร้นอยู่และเข้าหาพระองค์เพื่อสร้างความร้าวฉานระหว่างพระองค์กับซูหว่าน…. 

 

 

ทิ้งเซวียนหยวนรุ่ยให้กลัดกลุ้มอยู่ในจวนอ๋องเย่ว์ หลังงานเลี้ยงเลิก จวนแม่ทัพซูก็เงียบเหมือนเช่นเคย 

 

 

แขกเหรื่อแยกย้ายกันกลับหมดแล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่าหลังจากพวกเขากลับไป ซูอวี้เฟิงและซูรุ่ยจะประลองยุทธกัน! 

 

 

เมื่อก่อนซูอวี้เฟิงคิดจะสั่งสอนซูรุ่ยเจ้าลูกอกตัญญูคนนี้ เมื่อรับมือกับกระบี่ของบิดา ซูรุ่ยก็โต้ตอบโดยไร้ความปรานี การประลองยุทธระหว่างบิดากับบุตรชายใช้เวลานานมาก และไม่มีทีท่าว่าจะยุติ 

 

 

หลังเที่ยงคืน เมืองหลวงทั้งเมืองก็หลับสนิท 

 

 

ข้างเตียงของซูหว่านมีเงาปรากฏขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนคราวก่อน ซูหว่านรู้สึกตัวดี 

 

 

ในค่ำคืนอันมืดมิด นางจ้องเขม็งนิ่งและชัดเจน มองดูคนที่อยู่ข้างเตียงโดยไม่พูดมากความ “ดูเหมือนเจ้าจะชนะแล้วนะ” 

 

 

ทันใดนั้น มือใหญ่ที่เปื้อนเลือดก็ตบหน้านาง “ถ้าท่านกล้าแต่งงานกับเจ้าหมอซือ ข้าจะกำจัดมัน!” 

 

 

น้ำเสียงของซุรุ่ยดุดัน เข้ากันได้ดีกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดของเขา ในช่วงเช้าตรู่ที่เงียบงันเขาดูดุดันและน่าหวาดกลัว 

 

 

“อืม” 

 

 

ซูหว่านส่งเสียงตอบ “แล้วถ้าไม่ใช่ท่านหมอซือล่ะ” 

 

 

“ข้าก็จะสับมันเป็นชิ้นๆ เอาเนื้อให้สุนัขกิน!” 

 

 

ซูรุ่ยตอบตรงไปตรงมา ไม่ใช่เพราะเขายกให้ท่านหมอซือเป็นพิเศษหรอก แต่เพราะในใจของซูรุ่ยรู้สึกว่าชีวิตของซูหว่านนั้นมีค่ามากเหลือเกิน และคนที่จะปกป้องซูหว่านได้มีเพียงท่านหมอซือ ดังนั้น ท่านหมอซือจะตายไม่ได้ แต่การกำจัดเขาก็ไม่ได้ทำให้นายน้อยแห่งตระกูลซูมีความกดดันแต่อย่างใด 

 

 

“แล้วถ้า…เป็นเจ้าล่ะ”  

 

 

ซูหว่านจ้องซูรุ่ยที่อยู่ข้างเตียงนางโดยไม่ได้ตั้งใจ 

 

 

ซูรุ่ยนิ้วล็อกและยืนตัวแข็งอย่างกับท่อนไม้อยู่ตรงนั้น ราวกับหยุดหายใจไปแล้ว 

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของซูรุ่ย ซูหว่านก็ไม่อยากปล่อยเขาไป ดวงตาคู่นี้จ้องหน้าซูรุ่ยเขม็ง “ข้าถามว่า ถ้าคน คนนั้น ที่ข้าจะแต่งงานด้วย เป็น เจ้า ล่ะ” 

 

 

ช่วงหยุดเว้นระยะระหว่างคำ แต่ละคำช่างบีบหัวใจ