ตอนที่ 13 นี่คือความเป็นจริง

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

หลังจากคิดมาดีแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ยังคงรู้สึกว่าการเป็นอาจารย์คือวิธีที่ได้รับคำขอบคุณง่ายที่สุดนั่นแหละ

ทว่าเขายังมีปัญหาหนึ่งที่ตัดไม่ขาด ที่เขาขวนขวายอยากเรียนและปรารถนาหาความรู้ เป็นเพราะว่าเขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมบิดเบี้ยวอันขาดแคลนซึ่งองค์ความรู้ ทำให้เขาปรารถนาอยากเรียนรู้เป็นหนักหนา

ยิ่งขาดอะไรไป ยิ่งปรารถนาในสิ่งนั้น

ทว่าสิ่งที่เขาปรารถนานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นความปรารถนาเดียวกับพวกนักเรียน พวกนักเรียนที่เข้ามาเรียนในยุคสมัยนี้ล้วนมาจากครอบครัวที่ภูมิหลังค่อนข้างดี ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพ่อแม่

เด็กพวกนี้เข้าเรียนมาหลายปีแล้ว และคนที่น่ารำคาญที่สุดในสายตาพวกเขาก็คืออาจารย์นี่แหละ เขาสั่งให้พวกตนท่องหนังสือเรียน แถมยังสั่งการบ้านอีก เลยกลายเป็นว่าในช่วงวัยของพวกนักเรียน อาจารย์คือศัตรูตามธรรมชาติ

ถึงเริ่นเสี่ยวซู่กำลังสอนวิชาการเอาตัวรอดที่พวกเขาชื่นชอบ พวกนักเรียนก็ยังอยู่ห่างจากคำว่าสำนึกขอบคุณอีกไกลนัก

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าหลังจากผ่านไปสักหลายคาบ เดี๋ยวในที่สุดพวกนักเรียนคงรู้สึกขอบคุณเขาเองแหละมั้ง?

ปกติแล้วโรงเรียนในเมืองจะเลิกตอนสี่โมงเย็น และเริ่มเข้าเรียนตอนหกโมงเช้า นาฬิกาในป้อมปราการจะดังบอกเวลาทุกชั่วโมง ในสถานการณ์ปกติจางจิ่งหลินจะไม่สอนเลยเวลาปล่อย

ทว่าวันนี้เพื่อที่จะได้คำขอบคุณจากเหล่านักเรียน เริ่นเสี่ยวซู่จึงสอนประสบการณ์การเอาตัวรอดในแดนรกร้างของเขาเกือบหมดสิ้น พอเขาเริ่มพูด ก็พูดยาวจนมาถึงห้าโมงเย็นเลยทีเดียว

เพราะว่าเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พอห้าโมงเย็นฟ้าจึงเริ่มมืด นักเรียนมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสายตาว่างเปล่า คิดกับตัวเองกันว่า ไอ้เวรนี่พูดเก่งฉิบหาย…

จางจิ่งหลินทนไม่ไหวแล้ว จึงออกไปเก็บผักกาดขาวมาทำอาหารเย็น

แล้วนักเรียนคนหนึ่งที่ทนไม่ไหว ก็พูดขึ้น “ไอ้…อาจารย์ ขืนยังไม่เลิกชั้นตอนนี้ ข้างนอกจะมืดแล้ว กลับเมืองไม่ปลอดภัยด้วย”

พวกนักเรียนกลัวคนที่รู้จักกันดีในเมืองว่า ‘โหดร้าย’ ผู้นี้อยู่หน่อยๆ เพราะแบบนี้จึงไม่กล้าท้าทายเขาตรงๆ

เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ คิดกับตัวเอง ความขอบคุณมีไม่พอ ยังจะขอให้อาจารย์เลิกชั้นอีก? แต่เขาก็เข้าใจดีว่าความปลอดภัยต้องมาก่อน พอเริ่นเสี่ยวซู่มองท้องฟ้าข้างนอกที่เริ่มมืด ก็ได้แต่โบกมืออย่างช่วยไม่ได้ “เลิกชั้นได้”

“ขอบคุณอาจารย์!”

“ขอบคุณอาจารย์!”

พวกนักเรียนเริ่มเบียดเสียดกันออกจากห้อง ตอนเริ่นเสี่ยวซู่บอก ‘เลิกชั้นได้’ นั้น มีนักเรียนสองคนที่เอ่ยขอบคุณออกมาจากใจจริง! เพราะขืนยังไม่เลิกชั้นตอนนี้ พวกเขาคงทนไม่ไหวแล้ว!

เริ่นเสี่ยวซู่สังเกตเห็นเหรียญขอบคุณปรากฏขึ้นมาในพระราชวังอย่างไม่คาดคิดก็ดีใจสุดๆ

เขาก็รู้แหละว่าพวกนักเรียนขอบคุณเขาเพราะอะไร แต่ก็ยังคิดว่าตัวเองสอนได้ไม่เลวเลย!

เริ่นเสี่ยวซู่คิดกับตัวเอง ดูเหมือนว่าการทุ่มเทด้วยใจรักจะไม่เสียเปล่าซะแล้ว หลังจากสอนมาตั้งนาน ในที่สุดก็มีนักเรียนรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณเขาเสียที

……

เหยียนลิ่วหยวนพูดด้วยใบหน้าอึมครึม “พี่เลิกปล่อยคาบช้าได้ไหม”

ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะได้พูดอะไร จางจิ่งหลินก็เดินเข้ามาพร้อมกับชามข้าวที่ตนกำลังรับประทานอยู่ เขาพยายามควบคุมเสียงตัวเองแล้วพูด “เสี่ยวซู่ ฉันรู้นะว่าเธอชอบสอนมาก แต่ปล่อยช้าขนาดนี้ไม่ดีเลย แล้วก็นะ ถ้าเธอทำงานหนักเกินไปจะทำยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดอย่างนั้น เขาเลิกชั้นช้าเพราะอยากสอนเหรอ เขาเลิกชั้นช้าเพราะเงิน! เลิกชั้นช้าเพราะอยากได้คำขอบคุณจากพวกนักเรียนอย่างใจจริง!

“ไม่เป็นไรครับ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างชอบธรรมยิ่ง “ผมอยากจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อการสอน การจะสอนพวกเขาเผื่อสักเล็กน้อยไม่นับเป็นอะไรหรอกครับ!”

“แค่ก!” จางจิ่งหลินแทบจะสำลักกับคำของเริ่นเสี่ยวซู่ แต่พอเขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เป็นแบบนี้ จึงคร้านจะคุยต่อ “เอาเถอะ”

ส่วนนักเรียนที่ขอบคุณเขาว่า ‘ขอบคุณอาจารย์’ สองคนนั้นคงไม่รู้เลยว่า ตนเองได้นำพาหายนะมาสู่พวกตนเข้าแล้ว!

ดั่งคำสุภาษิตโบราณว่าไว้ ปากพาจน…

ระหว่างทางกลับ เหยียนลิ่วหยวนเดินไปกับเริ่นเสี่ยวซู่อย่างบูดบึ้ง เดิมทีเขากะจะเดินเล่นในเมืองกับเริ่นเสี่ยวซู่ แต่สุดท้ายดันไม่ทันเสียอย่างงั้น

ขณะเดินผ่านโรงจำนำตรงประตูเมือง เหยียนลิ่วหยวนพลันดึงชายเสื้อของเริ่นเสี่ยวซู่ ก่อนจะชี้ไปยังโรงจำนำ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็ต้องประหลาดใจที่เห็นเสี่ยวอวี้อยู่ที่นั่น ดูเหมือนกำลังคุยอะไรบางอย่างกับเจ้าของโรงจำนำอยู่

เริ่นเสี่ยวซู่พาเหยียนลิ่วหยวนเขยิบเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด พวกเขาได้ยินเสี่ยวอวี้พูดกับเจ้าของโรงจำนำว่า “ต่างหูคู่นี้ของฉันมีราคาไม่น้อยเลยนะ ให้ราคาเพิ่มหน่อยไม่ได้เหรอ”

เจ้าของโรงจำนำแสยะยิ้ม “จริงๆ แล้ว เธอไม่ต้องจำนำก็ได้นะ ทำไมไม่…”

ก่อนเขาจะพูดจบก็ต้องสะอึกเงียบไปเพราะเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เดินตรงมายังโรงจำนำ เรื่องราวของเมื่อคืนแพร่ไปทั่วเมืองแล้ว ทุกคนเลยรู้ดีว่าหลีเสี่ยวอวี้สนิทกับเริ่นเสี่ยวซู่มาก

มันไม่ใช่เพราะว่า ยุคสมัยนี้ผู้แข็งแกร่งที่สุดคือผู้อยู่รอด และทุกคนจะดุร้ายมากยิ่งขึ้นหรอก จริงๆ แล้วทุกยุคสมัยล้วนมีคนใจขลาดและคนใจเหี้ยม ซึ่งส่วนใหญ่ผู้เหี้ยมโหดจะเอาตัวรอดได้ดีกว่า

และเจ้าของโรงจำนำคือคนจำพวกขี้ขลาดนั่นเอง คนขี้ขลาดที่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง หาญกล้ารังแกผู้อ่อนแอกว่า ส่วนคนที่เริ่นเสี่ยวซู่สังหารเมื่อคืน ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนโหดร้ายมาก ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงกลายมาเป็นคนใจเหี้ยมในหมู่คนใจเหี้ยมไปโดยปริยาย

เจ้าของโรงจำนำทำเฉไฉ แสร้งเป็นดื่มน้ำ เขาไม่มั่นใจว่าเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเรื่องที่เขาเพิ่งพูดไปหรือเปล่า

เริ่นเสี่ยวซู่ควักเงินจากกระเป๋ากางเกงมานับทั้งหมดหกร้อยยี่สิบหยวน[1]แล้วยัดใส่มือเสี่ยวอวี้ “ไม่ต้องขายทรัพย์สินตัวเองหรอก นี่เป็นค่ายาแก้อักเสบสามเม็ดที่เธอให้ฉันเมื่อคืนก่อน”

เพราะตอนนี้หลีเสี่ยวอวี้ไม่มีช่องทางหารายได้แล้ว จึงไม่มีทางเลือกนอกจากผลาญเงินเก็บตนเอง ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่อาจทนเห็นเธอในสภาพน่าสังเวชเช่นนั้นได้

หลีเสี่ยวอวี้อยากจะคืนเงินให้เริ่นเสี่ยวซู่ แต่เขากลับพูดว่า “ฉันจะเอาเงินนี่ไปซื้อยาอยู่แล้ว เธอเก็บไปเถอะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่รับความเมตตาจากเธอ แต่เพราะว่าต่อไปพวกเราไม่ต้องเกรงใจอะไรกันอีก”

หลีเสี่ยวอวี้นิ่งไปพักใหญ่ “เธอหมายความว่ายังไง”

หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่โชคดีรอดจากหมาป่าเมื่อปีที่แล้วมาได้ เขาก็ไม่ได้บอกใครว่าตนรอดมาได้อย่างไร ซึ่งความจริงก็คือเขารอดชีวิตมาได้เพราะยาจากหลีเสี่ยวอวี้นั่นเอง ถ้าไม่มียาปฏิชีวนะกับยาแก้อักเสบเมื่อครั้งนั้น เขาคงตายไปนานแล้ว

ดังนั้น ที่เขาเป็นหนี้บุญคุณหลีเสี่ยวอวี้ไม่ใช่เพียงแค่ยาไม่กี่เม็ด หากแต่เป็นชีวิตหนึ่ง!

เริ่นเสี่ยวซู่พูดกับเสี่ยวอวี้อย่างจริงจังยิ่ง “วางใจได้ หลังจากนี้ถ้าฉันมีเนื้อให้กิน เธอจะมีน้ำแกงให้ดื่ม!”

เหยียนลิ่วหยวนกระซิบ “พี่ พี่พูดผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องทานเนื้อด้วยกันหรอกเหรอ ทำไมถึงกลายเป็นว่าพี่ได้กินเนื้อ แต่พวกเราได้ดื่มแค่น้ำแกงล่ะ แล้วก็นะ ที่บ้านพวกเราไม่มีเนื้อสักหน่อย”

“อ้อ” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า จากนั้นค่อยพูดกับเสี่ยวอวี้อีกรอบ “หลังจากนี้ถ้าฉันมีน้ำแกงให้ดื่ม เธอจะมีถ้วยให้ล้าง!”

เหยียนลิ่วหยวน “???”

“พรวด!” เจ้าของโรงจำนำที่กำลังดื่มน้ำอยู่ไม่ไกลถึงกับพ่นน้ำออกมา

แต่หลีเสี่ยวอวี้คร้านจะสนใจ “ได้ ฉันจะไปล้างถ้วยชาม จะซักเสื้อผ้าให้พวกเธอสองคนเอง”

ตอนพูดไปเช่นนั้น เธอไม่ได้คิดเลยว่าจะมี ‘น้ำ’ ให้ใช้เพื่อการนั้นหรือเปล่า แต่อย่างไรเสียเธอก็ตกปากรับคำไปแล้ว

เจ้าของโรงจำนำเบ้ปาก มองพวกเขาทั้งสามเดินออกไป จากนั้นก็หันไปคุยกับพนักงานในร้าน “อย่าไปยั่วยุเขา เข้าใจไหม”

พอทั้งสามเดินออกจากร้านไป ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนลั่นว่า “หมอ ช่วยสามีฉันด้วย! ถ้าเขาตาย ครอบครัวไม่มีทางรอดแน่!”

พวกเขาเห็นหญิงวัยกลางคนตรงหน้าคลินิกกำลังคุกเข่าคำนับปลกๆ ไปยังหมอคนเดียวที่เมืองมี แต่หมอผู้นั้นกลับพูดเยาะ “เงินไม่มียังมีหน้ามาป่วยอีก”

“ถ้าคุณช่วยเขา ทั้งครอบครัวเราก็จะขอบคุณในความเมตตาของคุณมาก” ผู้เป็นภรรยาสะอื้นไห้ “หมอท่านก่อนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่มีเมตตามาก คุณเป็นลูกของท่าน ก็ต้องไม่ต่างกันแน่”

“พ่อฉันมีเมตตามากก็เรื่องของพ่อฉันสิ!”

จากนั้นหมอก็กลับหลังหัน ปิดประตูคลินิกดังลั่น ข้างๆ เธอ มีชายผู้หนึ่งนอนอยู่ เลือดไหลออกมาจากท้องเขาไม่หยุด

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้รุดเข้าไป หรือไปทำตัวเป็นคนมีจิตเมตตา ชายผู้นี้สิ้นลมไปแล้ว

เขาเพียงมองพลางพูดเสียงสงบนิ่งว่า “ลิ่วหยวน จำเรื่องตรงหน้าไว้ให้มั่น นี่แหละคือความเป็นจริง”


[1] คำแทนค่าเงิน ไม่ได้เป็นสกุลเงิน ทางต้นฉบับใช้คำว่า 块 (ไคว่) คำนี้ถ้าเราไปใช้ในต่างประเทศ สมมุติว่าในอเมริกา แล้วไปสั่งอาหารในร้าน แล้วทางพนักงานตอบราคามาว่า 2 块 ก็จะ = 2 ดอลลาร์สหรัฐ

แต่ถ้าอยู่ในประเทศไทย 2块 ก็จะ = 2 บาท

ถ้าอยู่ในประเทศจีน 2 块 ก็จะ = 2 หยวน เป็นต้น

แต่ในเรื่อง เนื่องจากน่าจะดำเนินเรื่องบนแผ่นดินจีน ทั้งยังง่ายต่อการจำของนักอ่านไทย จึงขอแทนเป็นคำว่า ‘หยวน’