ท้องฟ้าไม่ทันสิ้นแสง ไกลออกไปเมฆาทมิฬบินลัดข้ามขอบฟ้ามา
“ฝนกรดมาแล้ว รีบกลับบ้านกันเถอะ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างไม่ยี่หระ หญิงผู้นั้นยังคงร้องห่มร้องไห้ แต่ก็ไม่มีใครสนใจไยดี
ชายผู้นี้ดูไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นบาดแผลจากรอยมีดก็เดาออกอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าชายผู้นี้ไม่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในโรงงาน แต่ถูกฆ่าตายจากการต่อสู้ต่างหาก
พอกลับมาถึงกระท่อมของพวกเขาแล้ว ห่าฝนก็เทลงมาอย่างรวดเร็ว
เหยียนลิ่วหยวนนั่งบนม้วนที่นอนแล้วพูดออกมาทันทีว่า “พี่อยากได้คำขอบคุณจากผู้อื่นไม่ใช่เหรอ เป็นหมอก็น่าจะได้รับคำขอบคุณง่ายมากเหมือนกันนะ เมื่อก่อนตอนหมอชรายังอยู่ ทุกคนต่างสำนึกซาบซึ้งใจเขาทั้งนั้น แต่ผมไม่แนะนำให้พี่ไปเป็นหมอหรอกนะ หนึ่งเลย บ่อยครั้งที่การเป็นหมอจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก สอง พี่ไม่มีทักษะทางการแพทย์แม้แต่กระผีกเดียว”
เริ่นเสี่ยวซู่หันมามองเหยียนลิ่วหยวนด้วยใบหน้าว่างเปล่า “แล้วจะมาพล่ามทำเพื่อ!”
เดี๋ยวก่อนนะ!
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกเหมือนว่าตนเองพลาดอะไรบางอย่างไป ถึงเขาไม่มีทักษะทางแพทย์ก็จริง แต่เขาเรียนได้นี่หน่า!
คัมภีร์เรียนรู้ทักษะขั้นพื้นฐานอีกสองม้วนที่ได้รับมาจากพระราชวังในห้วงจิตเขายังใช้ได้อยู่ เอาไปใช้สักม้วน เขาก็น่าจะสามารถเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์จากผู้อื่นได้สินะ?
พอถึงตอนนั้น เขาก็เริ่มรักษาคนไข้ หรืออย่างน้อยก็สามารถใช้รักษาอาการเจ็บป่วยของตนเองกับเหยียนลิ่วหยวน หรือแม้แต่เอาไว้ใช้เผื่อเกิดอุบัติเหตุก็ได้
ตอนที่หมอชรายังอยู่ เขามักจะออกไปเก็บสมุนไพร ตอนนั้นหมอชรายิ้มกล่าวกับผู้คนว่า “ต่อให้ยุคสมัยนี้พวกสัตว์จะร้ายกาจมากยิ่งขึ้น แต่พวกสมุนไพรนั้นก็มีฤทธิ์ดีขึ้นเช่นกัน”
ด้วยเหตุนี้หมอชราจึงใช้ทักษะในการคัดแยกสมุนไพรและทักษะการรักษาอันยอดเยี่ยมของตนไปรักษาผู้คน นอกจากนี้ยังขายสมุนไพรที่เก็บด้วยราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดินด้วย
แต่แน่นอนว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้เป็นคนดีแบบหมอชราคนนั้น เขาเพียงรู้สึกว่าถ้าตนเองมีทักษะการแพทย์ยอดเยี่ยมแล้ว ก็คงสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินในอนาคตได้ง่ายขึ้น แถมที่สำคัญสุดคือไว้หาเงิน!
ปกติแล้วเหยียนลิ่วหยวนจะมีอาการเป็นไข้ ปวดหัว ตัวร้อน เพราะผลจากการอธิษฐานขอพร ต่อให้เขาไม่อยากให้เหยียนลิ่วหยวนต้องใช้พลังแล้วเจอผลเสียพวกนี้ แต่ถ้าพวกเขาถูกบังคับให้ต้องทำขึ้นมาล่ะ?
“ฉันจะเป็นหมอ!” เรี่นเสี่ยวซู่พูด ดวงตาสว่างโรจน์ด้วยความเด็ดเดี่ยว
“พี่เอาจริงใช่ไหมเนี่ย” เหยียนลิ่วหยวนตะลึงไปเลย “ใช่ว่าพี่จะมีทักษะทางการแพทย์เสียหน่อย อย่าหาเรื่องไปทำคนตายเลยน่า ถึงพวกเราจะช่วยคนอื่นไม่เป็น ก็ไม่ควรไปทำร้ายพวกเขานะ…”
เริ่นเสี่ยวซู่โบกหัวเหยียนลิ่วหยวนไปทีหนึ่ง “พูดมากตลอด ฉันเคยคิดจะไปทำร้ายคนอื่นด้วยเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่วางแผนไว้แล้ว ถ้าเขากลายเป็นหมอ กิจการทำกำไร รายรับมั่นคง!
คนในเมืองมักบาดเจ็บกันอยู่ตลอด จำเป็นต้องไปหาหมอรักษา
เขาคิดแล้วทำเลย วันต่อมาเริ่นเสี่ยวซู่ตื่นแล้วแต่ไม่ได้ไปโรงเรียนทันที หลังจากกัดขนมปังได้สองคำ ก็ไปนั่งยองๆ รออยู่หน้าคลินิก
ทว่าคลินิกกลับเปิดทำการสาย เริ่นเสี่ยวซู่รอมาถึงตอนบ่าย ประตูคลินิกก็ยังคงปิดสนิทอยู่
หลังช่วงบ่าย ยามนาฬิกาในป้อมปราการร้องดังบอกเวลาบ่ายสอง หมอหนุ่มค่อยเปิดประตูคลินิกออกอย่างไม่รีบร้อน บิดขี้เกียจเอาร่างอาบแสงอาทิตย์ แต่ก่อนที่เขาจะยืดบิดขี้เกียจจนสุดตัวก็ต้องสะดุ้งเฮือกหลังจากเห็นเริ่นเสี่ยวซู่นั่งยองๆ อยู่ที่หน้าทางเข้า
“มาหาหมอเหรอ เอาเงินมาหรือเปล่า” หมอหนุ่มถาม
หมอหนุ่มไม่คิดจะถามเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่ป่วยเป็นอะไรมา เขาถามแต่เรื่องเงิน
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มพูด “ไม่ได้มาหาหมอ นายอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ”
หมอหนุ่มนิ่งงัน เอ็งไม่ได้มาหาหมอ แล้วมานั่งยองๆ หน้าประตูฉันทำไมวะ
เริ่นเสี่ยวซู่ลอบใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานที่อยู่ในพระราชวัง
เขาเห็นตัวคัมภีร์หนังถูกเผาไหม้และสลายหายไปในฉับพลัน
[สุ่มเรียนรู้หนึ่งในทักษะของเป้าหมาย]
[ท่านสุ่มเรียนรู้ทักษะขี้โม้โอ้อวดจากเป้าหมาย ต้องการเรียนรู้เลยหรือไม่]
เริ่นเสี่ยวซู่ยืนตะลึงอยู่กับที่ ฉันจะเรียนทักษะขี้โม้โอ้อวดไปทำไม!
เขาเกือบลืมไปแล้วว่าคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานจะสุ่มทักษะมาให้เขาเรียน ซึ่งเขาควบคุมอะไรไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือ…ทำไมเอ็งมีทักษะขี้โม้โอ้อวดด้วยวะ ของแบบนี้เรียกว่าเป็นทักษะด้วยเหรอ! ไอ้คนบัดซบ!
เริ่นเสี่ยวซู่มองเจ้าหมอหนุ่มด้วยสายตาเหยียดหยาม คนผู้นี้น่ารังเกียจเสียจริง ในเมื่อตัวเองมาแย่งชามข้าวผู้อื่น แต่แย่งเสร็จแล้วตีซ้ำ ก็คงดูไม่ดีเท่าไร
หมอหนุ่มโดนจ้องจนรู้สึกไม่สบายใจอยู่หน่อยๆ ขณะกำลังจะพูดอะไร ก็นึกได้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นใคร!
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยมารักษากับเขาที่คลินิก แต่ทั้งสองต่างได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างของกันและกัน หนึ่งเป็นหมอคนเดียวในเมือง หนึ่งเป็นคนใจเหี้ยมชื่อดัง พวกเขาย่อมรู้จักกันเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น หมอหนุ่มจึงรู้สึกขวัญผวาขึ้นมา…
“นายคิดจะทำอะไร” เจ้าหมอถามเสียงหวาดๆ
“พอไม่มีอะไรทำก็พูดโม้โอ้อวดเล่นงั้นเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างไม่สบอารมณ์
หมอหนุ่มงุนงง “พูดถึงอะไรเนี่ย”
เริ่นเสี่ยวซู่คร้านจะคุยด้วยแล้ว เขาต้องไม่อยากได้ทักษะที่เรียนรู้ไปก็ไร้ค่าแบบนี้แน่นอน เลยได้แต่ต้องยอมเสียคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานไปเปล่าๆ ปลี้ๆ
จากนั้นเขาก็ใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานม้วนที่สอง
[สุ่มเรียนรู้หนึ่งในทักษะของเป้าหมาย]
[ท่านสุ่มเรียนรู้ทักษะหลอกลวงจากเป้าหมาย ต้องการเรียนรู้เลยหรือไม่]
เรียนรู้ไข่สุนัขสิ! นี่มันเชี่ยอะไรวะ!
เริ่นเสี่ยวซู่จ้องหมอหนุ่มน่าตายด้วยสายตาขมึงทึง “อายุแค่นี้ทักษะมั่วซั่วไปหมดเลยนะ”
เจ้าหมอหนุ่มแทบน้ำตาไหลพราก “พูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย”
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าฉันพูดอะไร แต่ดูเหมือนนายจะชอบหลอกคนอื่นเป็นว่าเล่นเลยนี่” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “นายไปหลอกใครมาบ้าง ไม่คิดจะเล่าให้ฉันฟังบ้างเหรอ”
“พูดอะไรไร้สาระ ฉันเคยไปหลอกคนเสียที่ไหน…”
เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนมีเหตุผล หลังจากเสียหายไปหนักขนาดนี้ เขาวิเคราะห์สถานการณ์ตนเอง เขาต้องการทักษะทางการแพทย์ เขามั่นใจมากว่าในอนาคตเดี๋ยวก็มีโอกาสที่พระราชวังนั่นจะให้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานอีกม้วน แต่เขาไม่รู้ว่าภารกิจจะมาตอนไหน
ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงอยากรู้ว่าทักษะการแพทย์ของฝ่ายตรงข้ามดีขนาดไหนก่อน และคุ้มค่ากับที่ตัวเองจะลงทุนลงแรงเรียนไหม
เขาเอ่ยถามในใจ ‘ทักษะทางการแพทย์ของเจ้าหมอนี่อยู่ระดับไหน’
[เรียนรู้ทักษะจากเป้าหมายแล้ว สามารถทราบข้อมูลได้]
[เป้าหมายไม่มีทักษะทางการแพทย์]
ไอ้@!$!@!@!
แม่เอ็งสิ!
เริ่นเสี่ยวซู่อยากเอาหม้อใหญ่ที่เขาพกไปไหนต่อไหนฟาดใส่สักที จะว่าไปตอนที่ออกจากบ้านเมื่อเช้า เขาพกมาด้วยพอดี
ถึงว่าทำไมแม่*หลอกคนเก่งฉิบ นี่เอ็งแม่*ไม่มีทักษะทางการแพทย์สักกระผีก ทำแต่หลอกคนไปทั่วมาตลอดสินะ?
ทำไมหมอชราถึงมีลูกชายไม่ได้เรื่องแบบนี้นะ!
คนผู้นี้ใช้เพียงชื่อเสียงจากหมอชราเพื่อเอาตัวรอด ตอนนี้ในเมืองไม่มีหมอคนอื่นอีก จึงสามารถหลอกลวงผู้อื่นได้อย่างไร้ข้อกังวล หากคนไข้รอด ก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าไม่รอด คนอื่นก็ว่าถึงคราวตายอยู่แล้ว เพราะอย่างไรเสียขนาดหมอชราก็ยังไม่อาจรักษาให้หายได้ทุกคนเลย
แถมที่สำคัญสุด ก่อนที่หมอชราจะจากไป เขาทิ้งยาสมุนไพรไม่น้อยไว้ให้ลูกชาย แถมยังแจกแจงไว้ด้วยว่าอาการยังไงรักษาอย่างไร ที่ต้องทำก็แค่เขียนใบจ่ายยาไปตามอาการก็เท่านั้น
วันนี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้รับบทเรียนแล้ว ถ้าเขาเจอคนที่ไม่สามารถคัดลอกทักษะได้แต่ครั้งแรก เช่นนั้นเขาก็ควรมั่นใจเสียก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามมีทักษะที่เขาต้องการแต่แรกจริงๆ…