ตอนที่ 12 เจรจาตกลงกัน

ปฏิญญาค่าแค้น

ที่เอ่ยไว้ว่าค่อยพูดคุยกันคืนนี้นั้น เป็นเพียงแค่การถ่วงเวลาเพื่อหาวิธีการแก้ไขสถานการณ์ของหลินหลันเท่านั้น นางยังหาตัวเลือกที่เหมาะสมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องวุ่นวายธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว 

 

 

กล่องขนาดเล็กถ้าจะวางไว้ที่บ้านก็มิอาจวางใจได้จริงๆ หลินหลันคิดไปคิดมาจึงนำกล่องนั่นไปฝากไว้ที่บ้านของเป่าจู้น่าจะดีกว่า 

 

 

“หลินหลัน เจ้าเตรียมจะทำอย่างไรต่อไป” เป่าจู้เอ่ยถามด้วยความกังวล 

 

 

หลินหลันส่ายหัวพลางถอนหายใจออกมา “ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ประเด็นปัญหาสำคัญในขณะนี้คือนางยังไม่รู้ว่าจะหาใครมารับบทบาทนั้นดีนี่สิ 

 

 

เป่าจู้แสดงหน้าสีเคร่งขรึมในแบบที่ไม่ค่อยเห็นได้บ่อยนัก และเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่ดวงตาของเขาจะฉายความแน่วแน่ออกมา “หลินหลัน หากไม่มีหนทางจริงๆ เจ้าก็หนีเถอะ!” 

 

 

หนี? นั่นก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น นางมีทักษะด้านการแพทย์ แม้จะไม่ถึงขั้นปรมาจารย์ แต่ก็นับได้ว่าไม่เลว จะไปแห่งหนใดก็ยังสามารถประทังชีวิตพอได้ค่าอาหาร แต่ทว่า หากนางหนีไปแล้ว พี่ชายของนางจะทำอย่างไร จางต้าฮู่จะยอมวางมือปล่อยไปง่ายดาย? หลินหลันยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียด เหยาจินฮวามั่นใจว่าพวกเขาไม่อาจต่อกรจางต้าฮู่ได้ จึงได้กล้าจัดแจงเรื่องราวให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยบอกในภายหลัง 

 

 

“เอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วกัน” หากมีซักวันที่นางจะต้องจากหมู่บ้านหุบเขาน้อยแห่งนี้ไป การเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้นคงไม่ได้ง่ายนัก ทว่านางเองก็ไม่ได้อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ตลอดไป อันนี้จริงแล้วนางเคยคิดอยากจะเป็นหมอเคลื่อนที่ ตระเวนไปทั่วทุกหนแห่ง จนกระทั้งถึงวันใดไม่อยากตระเวนไปทั่วอีกต่อไปแล้ว ก็เลือกที่ใดซักแห่งเพื่อตั้งหลักปักฐานเริ่มต้นชีวิตอย่างสงบ แล้วเปิดร้านขายยาเล็กๆ สักร้าน ไม่ได้ต้องการเงินทองมากมาย ขอเพียงแค่พอได้จัดการปัญหาปากท้องแล้วเหลือเก็บนิดๆ หน่อย และได้ทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ชีวิตที่แล้วของนาง สิ่งที่นางปรารถนามากที่สุดก็คืออิสระ ปรารถนาที่จะได้ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไปที่ได้ไปโรงเรียนและสร้างมิตรภาพกับเพื่อนฝูง ได้ไปท่องเที่ยวตามลำพัง น่าเสียดายที่รอบกายนางมักจะต้องถูกรายล้อมไปด้วยบอดี้การ์ดอยู่เสมอ ไม่สามารถทำอะไรได้ตามที่ใจต้องการ และไม่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ…ในเรื่องคนรัก นางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก ในยุคสมัยโบราณนั้นผู้ชายที่ค่อนข้างเพียบพร้อมสามารถมีภรรยาได้สามคนและนางบำเรอได้ถึงสี่คน ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่นางยอมรับไม่ได้ ส่วนที่ไม่เพียบพร้อม แน่นอนว่านางก็ไม่อาจรู้สึกถูกอกถูกใจได้ 

 

 

“เป่าจู้เกอ กล่องนี่พี่ช่วยดูแลแทนข้าก่อนนะ ข้าอยากไปเดินเล่นคนเดียวซักพัก สงบจิตสงบใจเสียหน่อย” หลินหลันนำกล่องขนาดเล็กยื่นส่งให้เป่าจู้ แล้วออกเดินไปตามทางเดินภูเขาอย่างไร้ซึ่งจุดหมายปลายทาง 

 

 

เป่าจู้มองดูแผ่นหลังผอมบางของหลินหลัน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง หากเขาสามารถช่วยแบ่งเบาหลินหลันได้บ้างแม้เพียงน้อยนิดก็คงจะดี 

 

 

ไม่ทันได้รู้ตัว หลินหลันก็เดินมาถึงด้านหน้ากระท่อมซึ่งเป็นที่พักอาศัยของหลี่ซิ่วฉาย 

 

 

พระอาทิตย์เคลื่อนตัวลงค่อยๆ หายไปจากด้านหลังของหุบเขา ก้อนเมฆบนท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับไป เนินเขาสีเขียวชอุ่มกำลังถูกเคลือบด้วยแสงอันแสนอบอุ่น สายลมพัดเอื่อยบางเบา ทำให้ใบไม้สีเขียวสัมผัสกันไปมาดังกรอบแกรบ ต้นหญ้าน้อยๆ ท่ามกลางพื้นที่ภูเขาโอนเอนไปมาตามแรงลม พลิ้วไสวดูงดงามยิ่ง….. ทั้งหมดดูสวยงามเสียขนาดนี้ ทว่าในใจของนางกลับมิอาจสงบนิ่งได้เลย ทำได้เพียงแค่หนีไปเช่นนั้นจริงๆ หรือ 

 

 

“แม่นางหลินหลัน เจ้า…มาหาข้า?” หลี่ซิวฉายส่งเฉินจื่ออวี้ลงเขา กลับมาก็เห็นหลินหลันซึ่งกำลังยืนเหม่อลอยอยู่ด้านหน้ากระท่อมของเขา จึงคิดว่าหลินหลันมีธุระถึงได้มาหาเขา 

 

 

หลินหลันหันหลังไป และมองไปยังหลี่ซิ่วฉายซึ่งกำลังเดินเข้ามาท่านกลางแสงสายันต์ที่กำลังสาดส่อง เสื้อสีขาวตัวเก่าครึ่งตัวบน ใบหน้าอันแสนหล่อเหลา ดวงตาล้ำลึกน่าหลงใหล ท่าทางการเดินอันแสนสง่างาม ชายหนุ่มลักษณะเช่นนี้ ทำให้รู้สึกสบายใจและมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้มอง ทันใดนั้นความคิดอันแสนกล้าหาญก็ปรากฏขึ้นในใจของหลินหลัน 

 

 

ทำไมถึงไม่พึ่งพาหลี่ซิวฉายล่ะ เขาไม่ใช่คนในพื้นที่ สามปีที่ผ่านมาการอยู่ที่นี่ก็เพียงเพื่อไว้อาลัยเท่านั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่รู้จักการไว้อาลัยแด่ผู้ล่วงลับเช่นนี้ก็น่าจะพอเชื่อถือได้อยู่มั้ง! อีกทั้งไม่นานเขาก็ต้องออกไปจากที่นี่ เช่นนั้น ทำไมไม่ลองขอร้องให้เขาช่วยเหลือ เป็นข้ออ้างให้แก่นางเพื่อจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับจางตู้ฮู้ อีกทั้งยังเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลในการออกจากหมู่บ้านเจี้ยนซี 

 

 

ราวกับว่าในท่ามกลางหนทางที่แสนมืดมิด หลินหลันก็ได้มองเห็นความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ช่าง ลองดูหน่อยแล้วกัน!  

 

 

“ใช่แล้ว! ข้ามาหาเจ้า” หลินหลันยิ้มออกมาเล็กน้อย “มีบางเรื่องที่อยากถามเจ้าเสียหน่อย” 

 

 

หลี่ซิวฉายเลิกคิ้ว นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความสงสัย “ว่ามาสิ” 

 

 

“หากคนคนหนึ่งได้รับความกรุณาจากผู้อื่น ควรจะต้องทำอย่างไร” หลินหลันเอ่ยถาม 

 

 

หลี่ซิวฉายครุ่นคิดไปชั่วครู่ “คนที่ได้รับความกรุณา ต้องระลึกไว้ในใจเสมอ และเมื่อผู้มีพระคุณตกยากลำบาก แม้เพียงเล็กน้อยก็ควรตอบแทนเพิ่มเป็นเท่าตัว” 

 

 

หลินหลันรู้สึกดีอกดีใจ ที่นางต้องการก็คือประโยคนี้ อย่าหาว่านางทวงบุญคุณเลย นางเองก็หมดหนทางเช่นกันจึงต้องตัดสินใจใช้วิธีเช่นนี้ 

 

 

“เช่นนั้น…ข้าเคยช่วยชีวิตเจ้า เคยช่วยเหลือเจ้า นับว่ามีบุญคุณต่อเจ้าหรือไม่” หลินหลันกะพริบดวงตากลมโตของนาง เอ่ยถามออกไปด้วยใบหน้าจริงจัง 

 

 

หลี่ซิวฉายตกตะลึงไปชั่วขณะหลังจากนั้นก็กลับมามีท่าทีสงบนิ่งเช่นเดิม กัดฟันเอ่ยออกมาสองสามคำ “แน่นอน…ว่านับ” ท่ามกลางน้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย ถึงจะบอกว่ามีบุญคุณต่อเขา แต่ทว่านางก็สร้างความยุ่งวุ่นวายให้แก่เขาไม่น้อยทีเดียว เรื่องก่อนหน้าไม่ต้องเอ่ยถึง เอาแค่เรื่องวันนี้ จื่ออวี้มาหาเขาด้วยความยากลำบาก ผลกลับกลายเป็นว่าถูกหลินหลันเล่นงานจนอับอายขายหน้า เรื่องนี้หากแพร่ไปยังเมืองหลวง เกรงว่าผู้คนจะล้วนพากันหัวเราะเยาะจนฟันร่วงเอาได้ 

 

 

“เช่นนั้นข้าในตอนนี้เจอปัญหานิดหน่อย เจ้าก็ควรช่วยเหลือข้าใช่หรือไม่” ท่าทีของหลินหลันแสดงถึงความจริงจังและจริงใจมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเผยความรู้สึกเศร้าเสียใจอยู่เล็กน้อย 

 

 

หลี่ซิวฉายกระซิบกระซาบอยู่ในใจ ทว่าเขาเองก็ยอมรับความมีพระคุณของนางไปแล้ว เช่นนั้นเขาจะสามารถปฏิเสธได้อย่างไร 

 

 

“หากข้าช่วยได้ ก็พร้อมที่จะช่วยสุดกำลังความสามารถ” 

 

 

หลินหลันเปลี่ยนสีหน้ากลับมาสดใสอีกครั้ง “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพียงแค่อยากขอความร่วมมือจากเจ้า ช่วยข้าเล่าเรื่องโกหกเสียหน่อย” 

 

 

หลี่ซิวฉายตกตะลึงเป็นอย่างมาก ช่วยคนเล่าเรื่องโกหกเรื่องเช่นนี้เขาเองไม่เคยทำมาก่อน 

 

 

หลินหลันไม่สนท่าทีของเขาที่เผยให้เห็นสีหน้าตกตะลึงและประหลาดใจ นางเอ่ยต่อ “จะว่าไปแล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นมาสาเหตุก็เป็นเพราะเจ้า เช้าวันนี้หากไม่ใช่เพราะเกรงว่าเจ้าจะถูกคนไม่ดีทำร้ายเข้าให้ ข้าก็คงไม่ต้องมาช่วยเหลือเจ้า ข้าไม่มาช่วยเหลือเจ้า ก็คงสามารถทำให้แม่สื่อหวังมาถึงบ้านข้าไม่ได้ แม่สื่อหวังไม่มาบ้านข้า พี่สะใภ้ข้าก็จะไม่มีโอกาสขายข้าให้แก่จางต้าฮู่เพื่อไปเป็นนางบำเรอ จางต้าฮู่ผู้นั้นน่ะเจ้าคงรู้จักอยู่หรอกนะ! คนสารเลวเช่นนั้น ข้าจะยอมไปเป็นนางบำเรอให้แก่เขาได้เยี่ยงไร ดังนั้น เรื่องนี้จึงจำเป็นต้องขอให้เจ้าช่วยข้าด้วย” 

 

 

หลี่ซิวฉายพอจะฟังเข้าใจแล้ว สถานการณ์ของหลินหลันนั้นเลวร้ายมากจริงๆ ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ ตนเองผู้ซึ่งได้เปรียบเกินคุ้มเกรงว่าจะตอบตกลงไปด้วย 

 

 

หลี่ซิวฉายเห็นประกายเจ้าเล่ห์กะพริบอยู่ในดวงตากลมโตไร้เดียงสาของนาง ทันใดนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวสุดขีด แล้วเอ่ยถามออกไปอย่างกังวล “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลือเจ้าอย่างไร” 

 

 

หลินหลันเมื่อเห็นว่าเขายอมตกลง คนทั้งคนก็กลับมาสดใสอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกาย และเผยร้อยยิ้มแสนหวาน “หลี่ซิ่วฉาย พวกเรามาเจรจาตกลงกัน เจ้าและข้ากำหนดการหมั้นหมายจอมปลอมขึ้นมา ช่วยข้าให้หลุดพ้นปัญหาสำคัญนี้เสียก่อน แล้วค่อยช่วยข้าให้ออกไปจากหมู่บ้านเจี้ยนซี รอให้เรื่องราวผ่านไปซักระยะ ค่อยยกเลิกกำหนดการแต่งงาน แล้วเป็นอันว่าเจ้าชดใช้ข้าหมดแล้ว หลังจากนั้นเจ้าและข้าก็ไม่มีอะไรติดค้างต่อกันอีก เป็นอย่างไร? เรื่องนี้สำหรับเจ้าแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอกใช่ไหม แน่นอนว่า หากภายในสามปีนี้เจ้าสามารถสอบได้เป็นที่หนึ่งในจักรวรรดิ บางทีข้าอาจจะพิจารณาอีกทีว่าจะแต่งงานจริงๆ กับเจ้าหรือไม่” หลินหลันเอ่ยให้ดูดี ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันคงเป็นจริงไปไม่ได้ ก็การสอบให้ได้ที่หนึ่งในจักรวรรดิมันใช่เรื่องง่ายดายเสียที่ไหนกัน เป็นที่หนึ่งของทั้งประเทศเชียวนะ! อีกทั้งสามปีก็จะมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ความเป็นไปได้น้อยยิ่งกว่าหนึ่งในห้าล้านด้วยซ้ำ ประโยคนี้จึงเท่ากับความเป็นไปได้อยู่ที่ศูนย์ น่าเสียดายที่นางคงลืมไปแล้วว่า ในชีวิตครั้งนี้ของนางไม่ได้มีภูมิหลังครอบครัวที่เลิศเลอ ไม่ได้รายล้อมไปด้วยชีวิตที่สูงส่ง ในสายตาของหลี่ซิ่วฉาย นางเป็นเพียงแค่หญิงสาวในหมู่บ้านชนบทธรรมดาๆ ผู้หนึ่งเท่านั้นเอง 

 

 

หากไม่มีประโยคท่อนหลังนั้น หลี่ซิวฉายอาจไม่ต้องคิดพิจารณานานขนาดนี้ กำหนดการหมั้นหมายจอมปลอม พานางออกไปจากที่แห่งนี้ นั่นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ด้วยเดิมทีเขาเองก็วางแผนไปจากที่แห่งนี้อยู่แล้ว ระยะเวลาการไว้อาลัยครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ยังมีเรื่องราวอีกมากมายรอให้เขาไปจัดการ เมื่อวานนี้ผู้ทำหน้าที่จัดการเรื่องต่างๆ นำข่าวคราวมาส่งให้ได้รับรู้ ทำให้เขาว้าวุ่นใจตลอดทั้งคืน หลี่ซิวฉายมองไปยังหลินหลันอย่างครุ่นคิด หญิงนางนี้มักทำอะไรได้ในแบบที่เกินความคาดหมาย ปากช่างเจรจารู้จักใช้คำพูด ความคิดแปลกๆ ก็ไม่น้อยทีเดียว คนส่วนใหญ่ทั่วไปความคิดไม่ได้ครึ่งหนึ่งของนาง…บางที พาหลินหลันกลับไปด้วยอาจจะสามารถช่วยเขาจัดการปัญหาวุ่นวายเหล่านั้นได้บ้าง! แต่ทว่า หากนางเกิดเกาะติดเขาขึ้นมาจริงๆ … หลี่ซิวฉายรู้สึกลังเลใจเป็นอย่างมาก สับสนคิดไม่ตก 

 

 

เมื่อมองเห็นหลี่ซิ่วฉายเอาแต่ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จาอยู่นาน หลินหลันจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย “เอ้! ลูกผู้ชายพูดแล้วอย่าได้คืนคำ เจ้าไม่สามารถกลับลำได้แล้ว เจ้าก็รู้ดีว่าตอนนี้ข้าไม่มีหนทางอื่นแล้ว หากเจ้าไม่ช่วยเหลือข้า ข้าคงไม่อาจรับประกันได้ว่าจะพูดอะไรที่ไม่ดีออกมาบ้าง และทำเรื่องบ้าบออะไรขึ้นมาอีก” 

 

 

หลี่ซิวฉายขมวดคิ้วเข้าหากันมากยิ่งขึ้น “แม่นางหลิน นี่เจ้ากำลังหวังใช้ประโยชน์จากข้านะ!” 

 

 

มีที่ไหนกันร้องขอให้คนเขาช่วยเหลือแล้วยังใส่อารมณ์ข่มขู่แถมมาด้วย 

 

 

“เช่นนั้นเจ้ามัวกังวลอะไรอยู่อีก เกรงว่าข้าจะเกาะติดเจ้างั้นหรือ เจ้าวางใจได้เลย ข้ามีมือมีเท้าอีกทั้งยังมีทักษะด้านการแพทย์นิดๆ หน่อยๆ ข้าสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ เพียงแค่ได้ออกไปจากเขตเฟิงอาน เจ้ากับข้าก็ทางใครทางมัน” 

 

 

หลี่ซิวฉายยังคงคิดไม่ตก ขณะที่หลินหลันนั้นร้อนใจยิ่งนัก “สรุปแล้วเจ้ายินยอมหรือไม่ อย่างน้อยก็ให้คำตอบหน่อยสิ!” 

 

 

หลี่ซิวฉายถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เงยหน้าเล็กน้อยมองไปยังหลินหลัน “ข้าแค่เกรงว่าแม่นางจะเสียใจภายหลัง” 

 

 

หลินหลันยิ้มออกมาแม้ว่าลึกๆ แล้วจะรู้สึกหงุดหงิดแทบบ้า นางจะเสียใจภายหลัง? ตอนนี้นางยังเหลือโอกาสให้เสียใจภายหลังอีกงั้นหรือ ขอเพียงแค่สามารถขจัดปัญหาอันใกล้นี้ออกไปได้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเรือหัวขโมยที่ผุพังหรือเรือสำราญสุดหรู ล้วนต้องกระโจนขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน “หากเจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวข้า พวกเราเขียนกฎระเบียบขึ้นมาก็ได้ กระดาษขาวตัวอักษรหมึกดำ เขียนให้ชัดเจนไปเลย แล้วพวกเราก็ยึดปฏิบัติตามกฎนั้น จะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย”