ตอนที่ 13 ตกลงตามนี้

ปฏิญญาค่าแค้น

หลี่ซิ่วฉายหันไปมองเพียงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ตกลง!”  

 

 

คำว่าตกลงเพียงคำเดียวที่ฟังดูไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก ส่งผลให้หลินหลันดีอกดีใจเป็นอย่างมาก “หลี่ซิ่วฉาย”  

 

 

หลี่ซิ่วฉายยิ้มอย่างขมขื่น แล้วเอ่ยต่อไปด้วยท่าทีสุขุม “สำหรับเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อผลประโยชน์ เป็นการชดใช้บุญคุณหรือจะเป็นการทำค้าก็ตาม แม้ว่าการเซ็นสัญญาตกลงจะเป็นการหมั้นหมายจอมปลอม แต่ทว่าข้าก็จำเป็นต้องให้ที่บ้านของข้าได้รับรู้ด้วย มิใช่ว่าวันนี้เอ่ยจะสู่ขอก็สู่ขอ พรุ่งนี้เอ่ยจะเลิกราก็เลิกรา ดังนั้น ข้าจะให้ความร่วมมือก้าวผ่านสถานการณ์ร้ายนี้ไปด้วยกับเจ้า ทว่าเจ้าเองก็ต้องให้ความร่วมมือกับข้าด้วยเช่นกัน ต่อหน้าคนในครอบครัวต้องแสดงให้แยบยล อย่าได้ทำความแตก อย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจ และในส่วนของระยะเวลานั้น เบื้องต้นข้ากับเจ้ากำหนดระยะเวลาไว้สามปี หลังจากครบสามปี ข้าจะหาเหตุผลที่เหมาะสมเพื่อให้ข้าและเจ้าเป็นอิสระต่อกัน นับแต่นั้นจะไม่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันอีก และแน่นอนว่าข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าขาดทุน ข้าจะตอบแทนชดเชยให้แก่เจ้าแน่นอน หากแม่นางยินยอมตามข้อเสนอของข้า เรื่องครั้งนี้ข้าก็จะช่วยเหลือ”  

 

 

หลินหลันคิดเพียงแค่การจัดการปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้ สามปีก็สามปี แสดงก็แสดง ในส่วนของค่าตอบแทนชดเชยไรนั่น จะมีหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ นางก็ไม่ใช่ประเภทต้องการพึ่งพาผู้อื่นเพื่อดำรงชีวิตเสียหน่อย นางก็ไม่สนใจด้วยว่าเช่นนี้จะเป็นการเสียเวลาช่วงวัยที่ดีที่สุดไป หรือกระทั่งต้องกลายเป็นผู้หญิงมือสอง ใช้ระยะเวลาสามปีเพื่อแลกกับครอบครัวและชีวิตที่สงบสุขของตนเอง มันคุ้มค่าอยู่แล้ว 

 

 

“ตกลง ข้ายินยอม” หลินหลันด้วยเกรงว่าหลี่ซิ่วฉายจะเปลี่ยนใจขึ้นมา จึงรีบตอบรับทันที “สัญญาเป็นเจ้าเขียนหรือข้าเขียน?”  

 

 

หลี่ซิ่วฉายเลิกคิ้วและมองไปที่นาง “เจ้าจะไม่ไตร่ตรองอีกสักหน่อยหรือ”  

 

 

หลินหลันยิ้มออกมาอย่างรำคาญ “หากไม่ต้องเซ็นสัญญาหมั้นหมายจอมปลอม แต่เจ้าก็ยินยอมช่วยข้าจัดการปัญญานี้ล่ะก็ ข้าคงซาบซึ้งใจเหลือล้น”  

 

 

หากเขาอยากช่วยแน่นอนว่าย่อมได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า การหมั้นหมายจอมปลอมนี้สำหรับเขาแล้วก็ได้ประโยชน์เช่นกัน แม้มองดูแล้วจะเป็นหลินหลันที่ใช้ประโยชน์จากเขา ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าเขาก็ได้ใช้ประโยชน์จากหลินหลันด้วยเช่นกัน หลี่ซิ่วฉายรู้สึกว่าตนเองนั้นซื่อสัตย์ชัดเจนแล้ว แต่พอมาคิดดูอีกที นี่ก็เป็นเพียงแค่สถานการณ์หนึ่งที่ต่างฝ่ายก็ได้ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างเต็มใจ นั่นก็นับว่ายุติธรรมแล้ว 

 

 

“ข้าเขียนเองแล้วกัน!” หลี่ซิ่วฉายเดินตรงเข้าไปยังกระท่อมทันที 

 

 

ในขณะนี้พระอาทิตย์กำลังค่อยๆ ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ภายในห้องจึงมืดสลัว หลี่ซิ่วฉายคว้าเทียนออกมาหนึ่งเล่มแล้วจุดไฟ กางแผ่นกระดาษออก ถือปากกาจุ่ม ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก่อนจะสะบัดปลายปากกาลงไป 

 

 

“เจ้าลองมาดูก่อน เผื่อมีตรงไหนที่ต้องการแก้ไข หากไม่มี ก็วางนิ้วประทับลงไปได้เลย” หลี่ซิ่วฉายลุกขึ้นยืนแล้วหลีกออกให้หลินหลันได้มองตรวจสอบดู เขารู้ดีว่าหลินหลันสามารถจ่ายยาได้ เช่นนั้นแน่นอนว่านางต้องรู้จักตัวหนังสือเป็นอย่างดี 

 

 

หลินหลันหยิบเอาสัญญาขึ้นมาดูอย่างละเอียด ใจความที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้นไม่แตกต่างไปจากที่เขาเอ่ยออกมาเมื่อครู่นัก จะมีก็แต่อีกข้อที่เพิ่มเติมขึ้นมาเกี่ยวกับการรับผิดชอบต่อการผิดสัญญา…หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถให้ความร่วมมืออีกฝ่ายเป็นอย่างดีเพื่อขจัดปัญหา ก่อความลำบากวุ่นวายอันไม่จำเป็นให้แก่อีกฝ่าย อีกฝ่ายมีอำนาจที่จะยกเลิกสัญญาหรือยืดกำหนดระยะเวลาสัญญาออกไปได้ทุกเมื่อ 

 

 

ข้อนี้มัน… 

 

 

คราวนี้ถึงทีที่หลินหลันรู้สึกลังเลใจเสียแล้ว หลี่ซิ่วฉายเพียงแค่ต้องให้ความร่วมมือกับนางจนผ่านพ้นสถานการณ์ร้ายอันใกล้นี้ไปให้ได้ แต่ทว่านางกลับต้องให้ความร่วมมือหลี่ซิ่วฉายที่จะต้องแสดงละครตบตาเป็นระยะเวลาถึงสามปี ใครจะรู้ว่าครอบครัวของเขายากที่จะรับมือหรือไม่ คนในครอบครัวจะซับซ้อนหรือไม่เพียงใด นางแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย มันจะเป็นการเสี่ยงเกินไปหรือไม่ 

 

 

หลี่ซิ่วฉายเห็นนางมีท่าทีลังเล จึงคว้าเอาสัญญาออกมาจากมือนางอย่างกะทันหัน เอ่ยเสียงใสและชัดเจน “เรื่องนี้มันไร้สาระเกินไป ฉีกทิ้งไปเสียเถอะ” หลี่ซิ่วฉายแสดงท่าทีต้องการจะฉีกสัญญาทิ้ง อันที่จริงเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าการทำเช่นนี้มันถูกแล้วหรือไม่ ดีหรือไม่ดี เป็นเพียงอุบายหรือเป็นการหาเรื่องใส่ตนกันแน่ 

 

 

“เอ้…เจ้าจะทำอะไรน่ะ” หลินหลันแย่งสัญญากลับคืนมา แล้วกอดอกราวกับเด็กน้อย เผยสีหน้าไม่พึงพอใจมองไปยังหลี่ซิ่วฉาย “หรือว่าเจ้าอยากกลับคำแล้วงั้นหรือ”  

 

 

หลี่ซิ่วฉายอยากจะเอ่ยออกไปว่า ไม่ต้องเซ็นสัญญาแล้ว เรื่องนี้ยังไงเขาก็ยังยินดีที่จะช่วยเหลือ 

 

 

ทว่าหลินหลันดันบ่นขึ้นมาเสียก่อน “ข้าก็แค่ดูให้ละเอียดนิดหน่อยไม่ได้หรือ เจ้าให้ข้าให้ความร่วมมือแสดงละคร แต่ว่าข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย เกี่ยวกับคนในครอบครัวของเจ้าก็ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ แล้วข้าจะลังเลใจไปชั่วครู่ไม่ได้หรือไง”  

 

 

หลี่ซิ่วฉายเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุม “แม่นางจำเป็นต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่า ข้าต้องเสี่ยงภัยอันตรายมากเพียงใดเพื่อช่วยเหลือแม่นาง และต้องเผชิญปัญหาวุ่นวายมากเพียงใด คนในครอบครัวของข้าต่อให้วุ่นวายก็เทียบไม่ได้กับการต่อกรกับจางต้าฮู้ผู้นั้นหรอก”  

 

 

หลินหลันตระหนักได้ ที่หลี่ซิ่วฉายเอ่ยมานั้นก็มีเหตุผล ความวุ่นวายของเขาเป็นเพราะนางที่ก่อให้เกิดขึ้น 

 

 

“ข้าเพียงแค่อยากเพิ่มอีกสักข้อหนึ่งลงไปในสัญญา” หลินหลันสบตาเขา 

 

 

หลี่ซิ่วฉายขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แต่ก็ยินยอมรับฟังแต่โดยดี 

 

 

“ในอนาคตข้างหน้าไม่ว่าข้ากับคนในครอบครัวของเจ้าจะเกิดปัญหาขัดแย้งใดๆ ขึ้นก็ตาม เจ้าจำเป็นต้องไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้นที่จะยืนหยัดข้างข้า จำเป็นต้องคอยปกป้องศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของข้า ต่อหน้าผู้อื่นจะต้องให้เกียรติข้าด้วย ส่วนลับหลังจะอย่างไรก็เรื่องของเจ้าเพราะถึงอย่างไรข้าก็มองไม่เห็น” หลินหลันเอ่ยเสียงดังฟังชัด อย่างไรก็ตามการแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงแค่สัญญาฉบับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นนางจึงต้องต่อสู้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดสำหรับตนเองด้วยเช่นกัน 

 

 

หลี่ซิ่วฉายเผยรอยยิ้มที่เฉยเมยไม่แยแส ความเย็นชาแผ่ซ่านเข้ามายังนัยน์ตาของเขา ดวงตาคู่คมจ้องมองตรงไปเบื้องหน้า คนทั้งคนดูเหมือนจะละลายไปในความมืดที่มีเพียงแสงเทียนคอยทำหน้าที่ส่องสว่าง เนิ่นนานพอตัวกว่าที่เขาจะเอ่ยพูดขึ้น “เจ้าก็เช่นกัน ในอนาคตข้างหน้าไม่ว่าผู้ใครจะเอ่ยอย่างไร ทำอะไร พบเจอความยากลำบากอะไรก็ตาม เจ้าจำเป็นต้องไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้นที่จะยืนหยัดข้างข้า ไม่กลับคำโดยง่ายดาย ไม่ยอมแพ้อย่างง่ายดาย และจะต้องเชื่อมั่นในตัวข้า”  

 

 

พูดมาถึงประโยคสุดท้าย ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนจากจ้องมองความว่างเปล่าเบื้องหน้าแล้วมาจดจ้องใบหน้าของหลินหลันแทน เผยให้เห็นความจริงจังและจริงใจ อีกทั้งยังเป็นการบอกให้รู้นิดๆ ว่าหากจะปฏิเสธคงไม่ง่ายเสียแล้ว 

 

 

หลันหลันแอบสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที พอฟังดูแล้วครอบครัวของเขาช่างราวกับสมรภูมิอันตรายอย่างไงอย่างงั้น 

 

 

“เจ้า…ทำได้หรือไม่” หลี่ซิ่วฉายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง 

 

 

หลินหลันกัดฟันสู้ บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอก อยากได้รับเท่าไหร่ก็จำเป็นต้องลงทุนไปเท่านั้น เขาช่วยนางขับไล่หมาป่า เช่นนั้นการที่นางจะช่วยทุบตีเสือสักตัวแทนเขาจะเป็นอะไรไป ทว่าหลินหลันคิดอย่างง่ายดายเกินไปเสียแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้นางจะได้รู้ว่า ตระกูลของหลี่ซิ่วฉาย ไม่ใช่เพียงแค่เสือหนึ่งตัว ทว่าเป็นเสือหนึ่งฝูงต่างหากล่ะ 

 

 

“ได้สิ เจ้าเขียนสองข้อนี้ลงไป เป็นอันว่าพวกเราตกลงตามนี้” หลินหลันดึงความกล้าหาญของผู้กล้าออกมา เอ่ยออกไปอย่างเด็ดขาด เหยาจินฮวานางตัวร้าย ช่างเข้าใจสร้างปัญหาให้นางดีจริงนะ!  

 

 

เมื่อเพิ่มข้อตกลงเรียบร้อย ก็ประทับลายนิ้วมือลงไป ทั้งสองฝ่ายเก็บเอาไว้คนละฉบับ เรื่องราวที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายเริ่มมีผลบังคับใช้ในทันที 

 

 

“คืนนี้ ท่านหัวหน้าหมู่บ้านจะมาที่บ้านข้า ถึงตอนนั้นข้าก็จะประกาศออกไปว่าข้ากำลังจะแต่งงานกับเจ้าแล้ว” หลินหลันเล่าสถานการณ์ให้เขารับรู้ก่อน เพื่อให้เขาได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม 

 

 

“ต้องการให้ข้าไปด้วยหรือไม่” หลี่ซิ่วฉายเก็บสัญญาใส่ไว้ในอ้อมแขน พลางเอ่ยถามออกไป 

 

 

หลินหลันครุ่นคิด “เจ้ายังไม่ต้องเผชิญหน้าจะดีกว่า เมื่อถึงเวลาข้าคิดว่าพี่ชายข้าจะมาหาเจ้า เจ้ารู้ใช่ไหมว่าต้องพูดอย่างไร”  

 

 

หลี่ซิ่วฉายพยักหน้าเพียงเล็กน้อย 

 

 

“จริงสิ แล้วเพื่อนของเจ้าท่านนั้นล่ะ”  

 

 

“ข้าให้พวกเขาไปที่เขตเมืองอานเฟิงก่อน เดิมทีพรุ่งนี้ข้าจะไปจากที่นี่ แต่ทว่า เพื่อเรื่องราวของเจ้า ก็จะอยู่ต่ออีกสองสามวัน”  

 

 

หลินหลันแอบรู้สึกโชคดี ที่วันนี้เดินไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย คงเป็นผีสร้างและเทพเจ้าส่งให้เดินมาถึงที่นี่ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามความประสงค์ของโชคชะตา 

 

 

“ต้องการเชิญเพื่อนคนนั้นของเจ้ามาช่วยด้วยหรือไม่ ข้าเห็นว่าคนข้างกายหน้าน้ำแข็งก้อนผู้นั้นของเขาฝีมือด้านการต่อสู้ไม่เลวเลย” หลินหลันเอ่ยเสนอแนะอย่างหวังดี หากจางต้าฮู่เกิดมาหาเรื่องเขา อย่างน้อยก็ยังมีคนคอยช่วยเหลืออีกแรง 

 

 

หน้าน้ำแข็งก้อน? หลี่ซิ่วฉายงุนงงไปชั่วขณะแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ว่าที่นางกำลังพูดถึงนั้นคือเฉินเต๋อ พอมาคิดดูแล้ว เฉินเต๋อก็มักจะทำหน้าตาบึ้งตึงอยู่ตลอดทั้งปี ราวกับว่าใครต่อใครต่างติดค้างเงินเขาอยู่ ฉายาหน้าน้ำแข็งก้อนนี้ก็ออกจะเหมาะสมกับเขาอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นก็เกิดคิดมาได้ว่า ตนเองโดยปกติแล้วก็ไม่ค่อยจะพูดจายิ้มแย้ม จะเป็นไปได้ไหมว่าหลินหลันจะตั้งฉายาในที่แห่งนี้ให้เขาแล้วเช่นกัน  

 

 

หลี่ซิ่วฉายเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว “ไม่ถึงขั้นต้องรบกวนพวกเขาหรอก เจ้า…เจ้ามีเพื่อนที่ไว้วางใจได้หรือไม่”  

 

 

เมื่อพูดถึงเพื่อน หลินหลันก็เอ่ยออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ทั้งหมู่บ้านเจี้ยนซี นอกเสียจากพี่สะใภ้ที่เชื่อถือไม่ได้ คนอื่นๆ ก็ล้วนพึงพาวางใจได้ทั้งนั้น”  

 

 

“เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้ข้าขอเขียนจดหมายสักฉบับ แล้วเจ้าให้คนที่วางใจได้นำไปส่งยังหมู่บ้านผ้าไหมตระกูลเยี่ยในมณฑลเฟิงอานในวันพรุ่งนี้เพื่อส่งให้แก่เจ้าของร้านนามสกุลเยี่ย” หลี่ซิ่วฉายนั่งลงขณะที่กำลังเอ่ยพูดไปด้วย หยิบปากกาขึ้นมาเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ และในท้ายที่สุดปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งลนไฟ และยื่นส่งให้แก่หลินหลัน 

 

 

หลินหลันถือจดหมายอันน่าสงสัยนี้เอาไว้ขณะเดียวกันก็จ้องมองไปยังหลี่ซิ่วฉาย เขากับตระกูลเยี่ยมีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน? ​​​​​​​