ดวงตาของกอร์ตั้นเบิกกว้างขึ้นทันที แล้วมองไปที่เด็กสาวที่ยิ้มอยู่ตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ เมื่อครู่เขาได้ยินสิ่งใดกันนะ? 

 

 

ธงกุหลาบป่าจะโบกสะบัดตลอดกาล! 

 

 

ตระกูลฮิลล์จะคงอยู่ตลอดไป! 

 

 

“พูดอีกครั้งสิ!” กอร์ตั้นพูดอย่างนิ่งๆ 

 

 

“ธงกุหลาบป่าจะโบกสะบัดตลอดกาล” แคลร์ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่สังเกตได้ยาก ชายแก่ผู้นี้คือหัวใจหลักและหัวหน้าของตระกูลนี้ เมื่อนางอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย แล้วจะทำอย่างไรเพื่อใช้อิทธิพลตรงหน้าอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด นางคุ้นเคยกับสิ่งนี้เป็นอย่างดี หากอยากใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่แปลกใหม่นี้อย่างดี หากอยากแข็งแกร่ง เช่นนั้นแล้วอันดับแรกก็คือบุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้เอง 

 

 

ประโยคนี้หากเป็นคนอื่นพูดออกมา กอร์ตั้นก็จะปล่อยมันไปเสีย เพราะว่าคือการประจบประแจง แต่ว่าเมื่อพูดออกมาจากปากของเด็กสาวตรงหน้า ความหมายมันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง! ลูกชายเพียงผู้เดียวของเขารวมถึงหลานชายและหลานสาวอีกสองคนไม่เคยพูดคำพูดแบบนี้เลย แต่คำพูดนี้กลับออกมาจากเด็กสาวที่ถูกมองว่าเป็นคนไร้ฝีมือผู้นี้ กอร์ตั้นจึงอึ้งไป 

 

 

“ท่านปู่ เมื่อก่อนข้าเคยเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องได้ราว เสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระมากมาย ต่อไปข้าจะตั้งใจเรียน จะไม่ทำให้ตระกูลฮิลล์ต้องเสียชื่อ” แคลร์มองชายแก่ตรงหน้าที่ดูอึ้งๆ แล้วพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดวงตาสีเขียวของนางนั้นมีแต่ความจริงจัง 

 

 

กอร์ตั้นเห็นเด็กสาวตรงหน้าจริงจังถึงเพียงนี้ ก็เงียบไปครู่ใหญ่ และแคลร์เองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองมาที่กอร์ตั้นอย่างแน่วแน่เท่านั้น 

 

 

“ดี!” ในที่สุดกอร์ตั้นก็เรียกสติกลับมาได้ บนใบหน้ามีแต่รอยยิ้มชื่นชม เขาเดินไปข้างหน้าและวางมือบนไหล่ของแคลร์ แล้วพูดชื่นชม “นี่สิถึงจะเป็นหลานสาวของกอร์ตั้น นี่สิลูกหลานของตระกูลฮิลล์!” 

 

 

“หลานจะไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวังเป็นอันขาด” แคลร์ยิ้มเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ 

 

 

ในวันนี้ คฤหาสน์ของดยุกมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว 

 

 

คุณหนูใหญ่ผู้ซึ่งบ้าผู้ชายคนนั้น คุณหนูใหญ่ที่ท่านดยุกไม่ชอบมาโดยตลอด วันนี้ท่านดยุกกลับจูงมือออกมาจากห้องหนังสือด้วยรอยยิ้ม! 

 

 

คุณหนูใหญ่ผู้บ้าผู้ชายแก่งตระกูลฮิลล์เป็นที่โปรดปรานแล้ว! ข่าวนี้แพร่ออกไปทั่วคฤหาสน์ในทันที 

 

 

ชีวิตของแคลร์นับต่อแต่นี้ไปมีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว 

 

 

กอร์ตั้นได้เชิญศิษย์ใหญ่ของนักการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุด ผู้ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนักการศึกษาหนุ่มที่เก่งกว่าผู้ใด… คามิลล์ ชายผู้มีเรือนผมสีทองสว่าง หนุ่มรูปงามที่มีดวงตาสีฟ้าอ่อนโยน 

 

 

“แคลร์ นี่คืออาจารย์ของเจ้าต่อจากนี้ไป ในช่วงเช้าจะสอนเจ้าเรื่องวรรณคดี ภูมิศาสตร์อะไรพวกนี้” กอร์ตั้นพาคามิลล์มาที่ห้องหนังสือด้วยตัวเอง แล้วแนะนำให้แคลร์ได้รู้จัก จากนั้นก็หันไปที่คามิลล์ “คามิลล์ ต่อจากวันนี้ไปก็คงต้องรบกวนเจ้าด้วยนะ” 

 

 

“ไม่เลยครับ ท่านดยุกพูดเกินไปแล้ว” คามิลล์ยิ้มแล้วพยักหน้าให้แคลร์เบาๆ “คุณหนูแคลร์ สวัสดีครับ” 

 

 

แคลร์ลุกขึ้นยืนอยู่นานแล้วก็ยิ้มพร้อมก้มหัวเล็กน้อยอย่างสุภาพ “ท่านอาจารย์ โปรดสอนข้าด้วย” 

 

 

“มีอะไรก็สั่งกับพ่อบ้านได้เลยนะ ข้ามีเรื่องจะต้องไปจัดการเสียหน่อย” กอร์ตั้นยิ้ม 

 

 

“เชิญท่านดยุกเลยครับ” คามิลล์ยังคงมีรอยยิ้มที่สุภาพและอ่อนโยน 

 

 

แคลร์เองก็ยังคงส่งกอร์ตั้นด้วยท่าทีสุภาพ 

 

 

ในห้องหนังสือขนาดใหญ่เหลืออยู่เพียงแค่สองคน คามิลล์รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขามองหญิงที่อยู่ตรงหน้า การแต่งกายด้วยชุดสีขาวธรรมดา กระโปรงของนางมีเพียงลูกไม้เล็กน้อยเท่านั้น ผมสีทองสวยงามก็เพียงแค่หวีไปทางด้านหลังอย่างเรียบง่าย ไม่ได้มีเครื่องประดับตกแต่งอะไร แต่ดวงตาสีเขียวนั้นกลับดูล้ำลึกราวกับค่ำคืนที่อากาศหนาวเหน็บ หญิงสาวที่ดูบริสุทธิ์เช่นนี้น่ะหรือที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูบ้าผู้ชาย? 

 

 

“ท่านอาจารย์ เชิญนั่งค่ะ” แคลร์ยิ้มน้อยๆ 

 

 

คามิลล์ตะลึงกับรอยยิ้มบางๆ ของแคลร์ หญิงสาวตรงหน้านี้ดูไม่เหมือนกับที่ได้ยินมาเลย จากที่ได้ยินมาว่านางบ้าผู้ชายดูน่ากลัว ก่อนหน้าที่ตนเองจะมาก็ได้เตรียมพร้อมมาอย่างเต็มที่ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ท่านดยุก เขาเองก็คงจะไม่รับงานนี้หรอก แต่ว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้กลับทำให้รู้สึกว่า….. จะบอกอย่างไรดีล่ะ แม้ว่าจะยิ้มอยู่ แต่ว่าก็ทำให้คนมองรู้สึกหนาวเย็นได้ 

 

 

คามิลล์กดความสงสัยภายในใจเอาไว้ สีหน้าที่จริงจังก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ดูเป็นมืออาชีพ เขาหยิบหนังสือของตนเองออกมา “ถ้าเช่นนั้น คุณหนูแคลร์ วันนี้เรามาเริ่มเรียน……” 

 

 

“ท่านอาจารย์ ข้ามีเรื่องอยากจะถาม” แคลร์ไม่ได้มองที่หนังสือของคามิลล์เลย แล้วนางก็ยกหนังสือในมือของตนเองขึ้น คามิลล์มองไปแล้วก็อึ้ง เพราะหนังสือเล่มนั้นคือประวัติศาสตร์ของแผ่นดินลังกา 

 

 

ตลอดช่วงเช้านี้ ไม่ได้มีความวุ่นวายอย่างที่คามิลล์จินตนาการไว้ และแคลร์ก็ยิงคำถามมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คามิลล์รู้สึกอึ้งอย่างเป็นที่สุด หญิงสาวผู้นี้ดูราวกับฟองน้ำที่ดูดซับความรู้ คำถามที่นางได้ถามมานั้นล้วนเป็นคำถามที่เฉียบแหลมมาก ส่วนมากเป็นคำถามที่ท่านอาจารย์ของเขาที่เป็นใหญ่ในอันพาแกรนด์ยังคงสับสนอยู่เลย 

 

 

ช่วงเช้าเรียน ช่วงบ่ายพักผ่อน คามิลล์ออกจาคฤหาสน์ของท่านดยุกอย่างเหนื่อยล้า ในใจของเขายังคงมีความสงสัยระคนตกใจอยู่ 

 

 

จินเหยียนที่ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องหนังสือตลอดจึงได้ยินทุกสิ่งในห้องหนังสือ เขาสงสัยยิ่งกว่าคามิลล์เสียอีก เจ้านายที่บ้าผู้ชายของเขาไม่ได้สนใจในชายหนุ่มรูปงามผู้นี้เลยงั้นหรือ? แล้วไหนจะคำถามที่ลึกซึ้งหรือคำถามในเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหวเหล่านั้นอีก นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? 

 

 

ตอนบ่าย แคลร์นั่งพักอย่างสบายอยู่ในเรือนดอกไม้ ดื่มชาที่สาวใช้ยกมาให้ ขณะที่อ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ ข้างกายยังมีหนังสือหนาๆ อีกหลายเล่มวางอยู่ด้วย เหล่าสาวใช้ที่อยู่ไกลต่างพากันกระซิบกระซาบ สงสัยกันว่าคุณหนูของพวกนางสงบนิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่านี่จะเป็นการแสดงเพื่อเอาใจท่านดยุกกันแน่? 

 

 

จินเหยียนยังคงยืนอยู่ทางด้านหลังของแคลร์ไม่ไกลนักด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดเช่นเคย เพียงแต่สายตาที่มองแผ่นหลังของแคลร์นั้นพยายามจะสังเกตมากขึ้น 

 

 

แคลร์ปิดหนังสืออย่างเบามือ ในที่สุดนางก็พอจะเข้าใจเรื่องของโลกนี้คร่าวๆ แล้ว พลังเวทย์ พลังยุทธ์ แต่เดิมในความทรงจำของนางนั้นคลุมเครือมาก แค่พอจะรู้คร่าวๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้พอได้อ่านหนังสือก็ได้เข้าใจทั้งหมดแล้ว จินเหยียนอัศวินข้างกายที่อยู่ด้านหลังกับใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรคือผู้ใช้พลังยุทธ์ ราเซียคนเมื่อวานที่เกลียดตนเองและลงมือกับนางนั้นคือผู้ใช้พลังเวทย์ เป็นคาถาสายฟ้า อีกทั้งยังควบคุมได้อย่างดีและสามารถทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดใจได้ แต่ไม่สร้างรอยแผลที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก และร่างกายของแคลร์ผู้นี้ได้รับการทดสอบมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเป็นผู้ครอบครองธาตุไฟ แต่ว่าแคลร์คนก่อนนั้นไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย และก็ไม่ได้เรียนรู้อีกด้วย พลังที่มีการทดสอบออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ปานกลางมากๆ เมื่อมีการดำรงอยู่ของราเซียผู้เป็นอัจฉริยะ แสงสว่างทั้งหมดจึงไปอยู่ที่ตัวของราเซีย ชะตาของแคลร์จึงตกภายใต้เงามืดของราเซีย 

 

 

ไม่สิ ต้องพูดว่าแคลร์คนก่อนไม่สนใจสิ่งใดเลย ความสนใจเดียวของนางคือหนุ่มรูปงาม ที่มุมปากของแคลร์ปรากฎรอยยิ้มขมขื่นที่ยากจะสังเกตเห็น นี่นางได้มาอยู่ในร่างของคนแบบไหนกันนะ 

 

 

ในเวลานี้ สาวใช้เข้ามาพูดกับนางด้วยความเคารพ “คุณหนูคะ องค์ชายสองเสด็จมาเยี่ยมคุณหนู กำลังรออยู่ที่โถงใหญ่ค่ะ” 

 

 

แคลร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย องค์ชายสอง? อ๋อ นึกออกแล้ว คือคนที่แคลร์คนก่อนไล่ตามจนนางตกจากม้านั่นเอง แล้วจากนั้นตนเองจึงได้มาอยู่ในร่างนี้ 

 

 

“ไม่ไปล่ะ ไม่ว่าง” แคลร์พูดไปแบบนั้น แล้วก็วางถ้วยชาลง จากนั้นก็หยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมาเปิดอ่าน 

 

 

สาวใช้นิ่งอึ้งไป แล้วยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับตัว จินเหยียนเองก็อึ้งไปเช่นกัน กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับอย่างนั้นหรือ? คุณหนูผู้นี้ฉลาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? เข้าใจการใช้กลยุทธ์แบบนี้ด้วยหรือ? 

 

 

สาวใช้ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่อยู่ตรงนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูก จะกลับไปทูลองค์ชายสองอย่างไรล่ะ? วันนี้คุณหนูใหญ่เป็นอะไรไป? ปกติแล้วถ้าได้ยินว่าองค์ชายสองเสด็จมา ก็จะรีบวิ่งออกไปราวกับจะบิน แต่วันนี้แปลกกลับพูดว่าจะไม่ไปเจอ 

 

 

“บังแสงข้า” แคลร์มองที่เงาบนหนังสือแล้วพูดอย่างรำคาญ จากนั้นก็เงยหน้าขมวดคิ้วมองสาวใช้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนเอง 

 

 

“ค่ะๆ” สาวใช้ราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน แล้วก็ออกไปที่โถงใหญ่ทันที 

 

 

ในโถงใหญ่ องค์ชายสองนั่งอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าเฉยเมย ในใจก็รู้สึกรังเกียจมาก ผู้หญิงบ้าผู้ชายผู้นั้นไล่ตามเขาเองจนได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าเขากลับถูกพ่อ ผู้เป็นจักรพรรดิสั่งให้เขามาเยี่ยมนาง เรื่องพวกนี้เขาเข้าใจ ต่อให้นางจะทำให้ผู้คนรังเกียจ ไม่เป็นที่ชื่นชอบของดยุกฮิลล์ แต่ก็ยังเป็นหลานสาวของท่านดยุกฮิลล์อยู่ดี นางตกม้าเพราะเขา จะไม่มาเยี่ยมเลยก็คงไม่ได้ พอนึกถึงท่าทางบ้าผู้ชายของผู้หญิงผู้นั้น องค์ชายก็รู้สึกขนลุก ช่างเถอะ คิดเสียว่าถูกแมลงวันมาตอม เดี๋ยวพอทักทายเสร็จแล้วก็จะรีบกลับเลย 

 

 

องค์ชายถอนหายใจยาวเพื่อให้ใจสงบลง รอคอยหญิงสาวที่อีกไม่นานจะวิ่งมาจากประตูบานนั้น ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น องค์ชายเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู แล้วก็เห็นสาวใช้ที่สีหน้าดูแปลกๆ ไม่ได้เห็นหญิงบ้าผู้ชายคนนั้น 

 

 

องค์ชายมองไปที่สาวใช้ที่มีใบหน้าประหม่าเดินมาทางเขาอย่างสงสัย แล้วสาวใช้ก็กล่าว “องค์ชายสองเพคะ คุณหนู คุณหนูท่าน…” 

 

 

“ร้ายแรงมากหรือ?” องค์ชายไม่เข้าใจ เนื่องจากได้รู้เรื่องราวมาว่า แม้ว่านางจะตกม้า แต่นางไม่ได้เป็นอะไรนี่ 

 

 

“เปล่าเพคะ” สาวใช้อึกอักไม่กล้าพูด ไม่กล้าที่จะแต่งเรื่องว่าคุณหนูบาดเจ็บสาหัสจึงไม่ออกมาพบองค์ชาย เป็นสาวใช้พูดแบบนั้นออกไปไม่ได้หรอกนอกเสียว่าจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว 

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” องค์ชายเริ่มไม่พอใจแล้ว หญิงบ้าผู้ชายผู้นี้จะเล่นแง่อะไรกัน? 

 

 

“คุณหนู บอกว่า… บอกว่าไม่ว่างเพคะ” ในที่สุดสาวใช้ก็พูดออกมา “คุณหนูบอกว่าไม่มาพบ เชิญองค์ชายเสด็จกลับได้เลยเพคะ” สาวใช้พูดออกมาเสร็จก็ถอนหายใจยาว 

 

 

สีหน้าขององค์ชายเย็นชาขึ้นทันที 

 

 

ไม่มาเจอ? ไม่ว่างงั้นหรือ?? 

 

 

สมองขององค์ชายแทบจะหยุดทำงานในเวลานี้เลย องค์ชายมองไปที่สาวใช้ สาวใช้ก็มององค์ชายด้วยความกลัวๆ สาวใช้ไม่กล้าโกหก ที่พูดไปแบบนี้ หญิงบ้าผู้ชายนั่นพูดแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ? ทำไมล่ะ? เป็นไปได้ยังไง? 

 

 

ในหัวขององค์ชายเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ในใจที่เตรียมพร้อมว่าจะถูกหญิงน่ารังเกียจนั้นมาวุ่นวาย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ ไม่ว่างงั้นหรือ? 

 

 

“คุณหนูของเจ้าไม่ว่าง? ยุ่งมากงั้นหรือ?” องค์ชายถามอย่างสงสัย 

 

 

…………………………………………………………………………….