ตอนที่ 455 วิธีการของอาจารย์พยุหะ

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ครืน ครืน

เมืองต้นไผ่มหึมาเคลื่อนไปข้างหน้าขณะที่ฉินมู่และเหออีอียืนเคียงกันอยู่บนหอคอยปราการ แม้ว่าเขาจะเคยเห็นภาพอันแสนพิลึกพิลั่นของเมืองที่เคลื่อนที่ไปด้วยตนเองมาแล้ว ฉินมู่ก็ยังพบว่านี่มันเหลือเชื่ออยู่ดี

แม้ว่าทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตกจะไม่รุดหน้าไปเลยในช่วงหมื่นปี แนวคิดอุดมการณ์ว่าทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณก็ยังคงเหนือธรรมดา

เมื่อเขาหันหลังกลับไปมองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ในเมือง ก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง

หลังจากอาจารย์พยุหะเหออีอียอมแพ้ นางก็เพรียกขานผู้คนแห่งเมืองต้นไผ่ และผู้คนเรือนแสนก็กลับเข้ามาในเมือง ภาพของเมืองหนึ่งที่พาประชากรมากมายขนาดนี้ข้ามขุนเขาและเทือกภูไปนั้นช่างเกินจินตนาการ แต่มันปรากฏตรงหน้าเขาแล้วในบัดนี้

“การล้มล้างเจ้าตำหนักอวี้แห่งตำหนักสวรรค์แท้มิใช่เรื่องง่าย” เหออีอีกล่าว “นอกจากตระกูลเหอของข้าแล้ว พวกเรายังต้องการแรงสนับสนุนจากตระกูลใหญ่อื่นๆ อีก ในแผ่นดินตะวันตก ตระกูลเสียงและตระกูลอวี้เป็นสองตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด และกำลังความสามารถของพวกเขาก็สูงล้ำที่สุด แต่ตระกูลเสียงได้ล่มสลายไปแล้ว และตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ก็ถูกตระกูลอวี้แย่งชิงไป”

“แต่ทว่า ยังคงมีตระกูลมู่ของอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่ ตระกูลลัวของอาจารย์กระบี่ลัวอิ่นอวี้ ตระกูลฟาง ตระกูลหลิ่ว ตระกูลกง ตระกูลซี ตระกูลฝู รวมทั้งหมดสิบตระกูลใหญ่ นอกจากนั้นก็ยังมีตระกูลใหญ่รองลงมาอย่างที่เป็นของเกอเคอ เหม่าชือ เซียงข่า ซึ่งล้วนแต่มีกำลังความสามารถไม่ใช่น้อย”

ฉินมู่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ทำไมตระกูลเสียงถึงสืบทอดตำแหน่งจ้าวตำหนักสวรรค์แท้ ตระกูลใหญ่อื่นๆ มีสิทธินี้ด้วยหรือไม่”

“ที่ตระกูลเสียงสามารถสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้นั้นก็เพราะว่าเจ้าตำหนักสวรรค์แท้รุ่นที่หนึ่งเป็นแซ่เสียง” เหออีอีกล่าว “ทำให้เจ้าตำหนักคนถัดๆ มาก็มักจะเป็นพวกเสียง แม้ว่าจะมีบางสถานการณ์ที่คนแซ่อื่นมาเป็นเจ้าตำหนัก แต่ตระกูลเสียงก็จะกลับมายังตำแหน่งเจ้าตำหนักในเวลาไม่นาน ว่ากันว่า…”

เด็กสาวมองไปยังเสียงฉีเอ๋อที่อยู่ข้างๆ ฉินมู่ “ว่ากันว่าบรรพชนของตระกูลเสียงได้รับการหนุนหลังจากเทพเจ้าตนหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงยึดครองเก้าอี้เจ้าตำหนักไว้อยู่เสมอ แต่ทว่า คราวนี้มันต่างออกไป กล่าวกันว่าเทพตนนั้นไม่พอใจไหน่ขุย และไปติดต่อตระกูลอวี้แทน จึงเป็นเหตุให้ตระกูลเสียงถูกขุดรากถอนโคนได้อย่างง่ายดาย”

เทพเจ้า? หรือว่าจะเป็นเจ้าของเทวรูปไม้ที่ข้าพบในทะเลทรายเพลิงโหม

ฉินมู่ยังค่อนข้างงุนงง ดังนั้นเขาจึงถาม

“ในเมื่อเทพตนนี้สนับสนุนตระกูลเสียงมาตลอด ไฉนเขาถึงเปลี่ยนไปยังตระกูลอวี้เล่า”

“นั่นก็เพราะป้าโก่ว” เหออีอีตอบ “ปูมหลังที่มาของป้าโก่วนี้ไม่ธรรมดา ลือกันว่าเขาเป็นยอดฝีมือที่มาจากดินแดนเบื้องบน เชื่อกันว่าเป็นเขานั่นแหละที่เชื่อมการติดต่อระหว่างตระกูลอวี้และเทพตนนั้น”

“ป้าโก่ว?”

ฉินมู่กะพริบตา ป้าโก่วนั้นเป็นคำเรียกหายกย่องเหมือนไหน่ขุย อันหลังนั้นหมายถึงมารดาขององค์หญิง ส่วนป้าโก่วหมายถึงบิดาขององค์หญิง แต่ทว่า จากความเข้าใจของฉินมู่ แม้ว่าองค์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้จะเป็นเสียงฉีเอ๋อ แต่บิดาของนางได้ตายในการสู้รบไปแล้ว ดังนั้นป้าโก่วที่เหออีอีกล่าวถึงย่อมมีแต่สามีของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้จากตระกูลอวี้

แต่ถึงอย่างไร เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ยังมิได้ให้กำเนิดธิดา เช่นนี้จะเหมาะสมได้อย่างไรที่จะเรียกเขาว่าป้าโก่ว

“ป้าโก่วผู้นี้ต้องการศักดิ์ฐานะอันเหนือธรรมดาเพื่อติดต่อกับเทพเจ้านั่น” เหออีอีกล่าว “เขาลึกลับเป็นปริศนาอย่างยิ่ง และก็ลือกันว่าเขามาจากดินแดนเบื้องบนและเป็นอาคันตุกะของเหนือฟ้า เขาได้ร่วมอภิรมย์กับเจ้าตำหนักสวรรค์แท้แล้ว และว่ากันว่านางกำลังตั้งครรภ์ ป้าโก่วแพร่ข่าวออกไปว่าเด็กในท้องของนางจะต้องเป็นหญิงอย่างแน่นอน ซึ่งก็จะเป็นองค์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้!”

การให้กำเนิดธิดาคือการทำให้ตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้มั่นคง อันเป็นกฎหนึ่งที่ฉินมู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ทว่าแผ่นดินตะวันตกยกย่องสตรี และธรรมเนียมสังคมของพวกเขาก็ค่อนข้างแตกต่างไปจากสันตินิรันดร์

ยิ่งไปกว่านั้น ตราบเท่าที่ฝึกปรือเนตรเทวะ ก็ไม่ยากเลยที่จะมองหยั่งเห็นว่าเด็กในครรภ์เป็นหญิงหรือชาย

ในเมื่อป้าโก่วยืนยันว่าเด็กในครรภ์ของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้เป็นเด็กผู้หญิง เขาย่อมไม่ผิดพลาดแน่ เจ้าตำหนักสวรรค์แท้จะต้องให้กำเนิดธิดาอย่างแน่นอน และนั่งอย่างมั่นคงบนเก้าอี้ของนาง

“ป้าโก่วผู้นี้มีแซ่อะไร”

“อวี้”

ฉินมู่ตะลึงไป “เขาก็แซ่อวี้เหมือนกันหรือ เขามีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลอวี้”

เหออีอียิ้ม แต่ไร้ความอบอุ่นในแววตาของนาง “พวกเราทุกคนก็อยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างป้าโก่วกับตระกูลอวี้เหมือนกัน มีข่าวลือมากมายในแผ่นดินตะวันตก บ้างก็กล่าวว่าป้าโก่วเป็นบรรพบุรุษของตระกูลอวี้ บ้างก็กล่าวว่าเขาเป็นบุตรชายของเทพครองแดนหยก และตระกูลอวี้ก็สืบเชื้อสายมาจากที่นั่นเช่นกัน มีข่าวลือหลากหลาย แต่ข้อเท็จจริงยังจับต้องไม่ได้”

ฉินมู่มองนางด้วยสีหน้าพิลึก

“บ้างก็กล่าวว่าเป็นเพราะเสียงซีอวี่ขาดความสามารถ นางไม่แข็งแกร่งพอ เป็นได้แค่เจ้าผู้ปกครองมีเมตตา ดังนั้นตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางจึงถึงตระกูลอวี้แย่งชิงไป กระนั้นในสายตาของข้า แม้ว่าเจ้าตำหนักเสียงจะขาดพรสวรรค์ความสามารถก็จริง แต่ผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นป้าโก่ว”

ฉินมู่ผงกหัว

เสียงฉีเอ๋ออยู่ข้างๆ เขา แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับว่าที่เหออีอีกล่าวนั้นถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือแผนการ มารดาของเด็กหญิงผู้นี้ก็ดูไม่เหมือนแบบที่ผู้นำแดนศักดิ์สิทธิ์พึงจะมี

นางไม่เคยประสบเล่ห์เพทุบายและการต่อสู้นองเลือดมาก่อนที่จะขึ้นครองตำแหน่งจ้าวตำหนักด้วยอายุน้อย ดังนั้นย่อมไม่แปลกที่นางจะไม่สามารถต่อสู้กับตระกูลอวี้และป้าโก่วได้

แม้ว่าฉินมู่ก็ได้ขึ้นครองตำแหน่งจ้าวลัทธิมารฟ้าด้วยอายุน้อย แต่ผู้คนที่สั่งสอนเขาคือเก้าผู้อาวุโสแห่งหมู่บ้านพิการชรา ตั้งเมื่อเขายังเล็ก เขาถูกสั่งสอนถึงเล่ห์กลและเพทุบายมากมาย ทำให้เขาทั้งชั่วร้ายและกลอกกลิ้ง แต่ถึงอย่างไร ผู้อาวุโสทั้งเก้าก็ยังพบว่าเขานั้นซื่อสัตย์จนเกินไปอยู่ดี

เพราะการอบรมสั่งสอนทั้งหมด ฉินมู่จึงสามารถนั่งอย่างมั่นคงบนตำแหน่งจ้าวลัทธิ ด้วยทุกคนในลัทธิยอมรับนับถือเขาอย่างหมดใจ

เมืองต้นไผ่วิ่งตะบึงไปท่ามกลางเทือกเขาและแดนร้าง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก มันไม่มุ่งตรงไปยังตำหนักสวรรค์แท้

พวกเขากำลังไปยังถิ่นบรรพชนของตระกูลเหอ หุบเขาแม่น้ำกระบี่ ที่ซึ่งศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกเขาตั้งอยู่

ในฐานะหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ ตระกูลเหอมีอิทธิพลเป็นของตนเอง แม้ว่าจะด้อยกว่าตระกูลอวี้และตระกูลเสียง แต่ก็ยังคงเป็นพลังอำนาจอันมิอาจดูแคลนได้

หลังจากที่เมืองต้นไผ่วิ่งไปครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็มาถึงหุบเขาแม่น้ำกระบี่ในที่สุด ฉินมู่มองไปไกลๆ และเห็นว่าแม่น้ำใหญ่ไหลตรงเฉียบไปข้างหน้าราวกับกระบี่ ที่ด้ามของมันมีเมืองหนึ่งปลูกสร้างเอาไว้ มีภูเขาขนาบสองข้าง ขณะที่กำแพงถูกสร้างไปตามแม่น้ำกระบี่เพื่อป้องกันสองฟากฝั่ง

เมืองนี้น่าตื่นตาตื่นใจและน่าตระหนกเป็นอย่างยิ่งสำหรับฉินมู่ เมื่อเมืองต้นไผ่มาถึงมัน ภูเขาใหญ่ก็ลุกขึ้นหลีกเผยเส้นทางหนึ่ง สะพานยาวเหยียดอันก่อขึ้นมาจากหินก็ผุดขึ้นมาจากก้นแม่น้ำเช่นกัน และมันก็คือยักษ์หินหลายตัวโค้งหลังต่อกันเพื่อให้เมืองต้นไผ่เหยียบไปบนหลังเพื่อข้ามแม่น้ำกระบี่

“มหัศจรรย์เหลือเกิน โลกแห่งแผ่นดินตะวันตกเต็มไปด้วยภาพฝันอันเกินจินตนาการอย่างแท้จริง” ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความชื่นชม

สายตาของเหออีอีราวกับน้ำใสฤดูใบไม้ร่วงเมื่อนางแย้มยิ้มอย่างนุ่มนวล “หากจ้าวลัทธิฉินชอบที่นี่ ท่านก็ไม่ต้องกลับไปหรอก ท่านอยู่ที่นี่ได้ตลอด และอีอีจะพาท่านไปเที่ยวชมทิวทัศน์มหัศจรรย์ต่างๆ ของโลกหล้า”

ฉินมู่ดีใจ “หากว่ามีสาวงามอย่างพี่สาวอีอีร่วมทางไปกับข้า นั่นจะสุขสันต์ขนาดไหนกันนะ แต่ทว่า ข้ามีธุระทางโลกมากมายที่รัดพันตัว หลังจากที่แก้ไขเรื่องราวในแผ่นดินตะวันตกแล้ว ข้าก็ยังต้องไปเยือนเหนือฟ้าเพื่อขจัดอันตรายในภายภาคหน้าอีก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเรื่องราวมากมายที่ต้องกระทำในสันตินิรันดร์…ทำไมไม่เอาอย่างนี้ล่ะ!”

เขากล่าวด้วยความตื่นเต้น “หลังจากที่เที่ยวเล่นในแผ่นดินตะวันตกสักพัก ทำไมท่านไม่มากับข้ายังสันตินิรันดร์ เพื่อให้ข้าพาท่านเที่ยวดูที่นั่น เพื่อไปพบกับความโดดเด่นเหนือธรรมดาของสันตินิรันดร์ บางทีท่านอาจจะตกหลุมรักมันก็ได้นะ!”

เหออีอีมีสีหน้าสนอกสนใจ แต่แล้วก็ส่ายศีรษะ “ข้าเกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก ตระกูลเหอยังต้องการข้าอยู่ ข้ามิอาจทอดทิ้งพวกเขา”

เมืองต้นไผ่เข้าไปในหุบเขาแม่น้ำกระบี่และหยุดยั้ง

ในตอนนั้นเอง แสงสว่างในเมืองใหญ่น้อยทั้งหมดแห่งหุบเขาแม่น้ำกระบี่ก็เปล่งแสงเจิดจ้า และดูวิจิตรตระการเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ภูเขาและแม่น้ำก็ส่องสว่างขึ้นมา

“ไปที่โถงราชวังหลักกันเถอะ” ก้อนหินใหญ่ลอยขึ้นยังระดับเท้าของเหออีอี และพานางกับพวกฉินมู่ทั้งสามเข้าไปยังโถงราชวังหลัก

“พวกชนชั้นผู้นำแห่งตระกูลเหอจะมาเยือนในเวลาไม่นานนี้ และข้าจำเป็นต้องเตรียมตัว”

ไม่นานนัก ชนชั้นผู้นำของตระกูลเหอก็มาถึง มีทั้งหญิงและชาย แต่หญิงจะมีจำนวนมากกว่ามาก และพวกเขาก็มาน้อมคารวะเหออีอี

นางเชิญให้ชนชั้นผู้นำแห่งตระกูลเหอมากมายเหล่านั้นนั่งลง พลางมีฉินมู่อยู่ข้างๆ นาง “ทุกท่าน นี่คือจ้าวลัทธิฉินแห่งลัทธิมารฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ในแผ่นดินภาคกลาง”

ทุกคนในโถงส่งเสียงอื้ออึงทันที และหญิงเฒ่าผู้หนึ่งก็กล่าวชมด้วยเสียงสั่นเทิ้ม “อาจารย์พยุหะไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงกับสามารถสยบจ้าวลัทธิมารผู้นี้ได้ ตอนนี้พวกเราก็ไปขอขึ้นรางวัลกับตำหนักสวรรค์แท้ได้แล้ว!”

“ขอขึ้นรางวัลงั้นหรือ” เหออีอีระเบิดหัวเราะ และส่ายหัว “เจ้าตำหนักอวี้เป็นเพียงแค่โสเภณีน้อยที่วางแผ่นต่ำช้าและแย่งชิงบัลลังก์ ดังนั้นควรค่าต้องสยบจ้าวลัทธิฉินเพื่อนางหรือ ขออภัยที่พูดตรงๆ หากมิใช่เพราะป้าโก่วสนับสนุนนาง นางจะมีวันได้ตำแหน่งเจ้าตำหนักหรือ ครรภ์ของนางล้มเหลวน่าผิดหวังและให้กำเนิดได้แต่บุตร นางจะให้กำเนิดธิดายังทำไม่ได้เลย เช่นนั้นนางจะเลิศเลอสักแค่ไหนเชียว”

ทุกคนในโถงหันไปมองกันไปมาด้วยความหนักอึ้ง

เหออีอีปรายตามองฉินมู่  เขาแย้มยิ้มกุมมือเสียงฉีเอ๋อ และกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ศิษย์พี่หญิงแห่งตระกูลเหอทั้งหลาย นี่คือองค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้!”

เหออีอียิ้มและกล่าวเสริม “องค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นเจ้าตำหนักเสียงย่อมอยู่ไม่ไกล หากว่าตระกูลเหอของข้าสามารถช่วยเจ้าตำหนักเสียงกำจัดโสเภณีน้อยนั้นไปได้ และช่วยนางยึดตำแหน่งเจ้าตำหนักกลับคืนมา นั่นจะเหนือล้ำกว่าเงินค่าหัวของจ้าวลัทธิไปร้อยเท่า มิใช่หรือ ทุกท่าน พวกท่านล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสของตระกูล มีความเห็นเช่นไร”

ทุกคนในโถงกลายเป็นเงียบกริบ บุรุษในตระกูลไม่กล้าปริปาก แต่พวกสตรีทั้งใจกล้าเป็นอย่างยิ่ง นางหนึ่งกล่าวประท้วง “อาจารย์พยุหะ ไตร่ตรองใหม่อีกสามครั้ง! บัดนี้ตระกูลอวี้รุ่งเรืองถึงขีดสุด ตระกูลเหอจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ป้าโก่วก็กำลังหนุนหลังนางอยู่!”

“กล่าวได้ดี” เหออีอีหัวเราะในคอ “นั่นจึงเป็นเหตุที่พวกเราจะเป็นพันธมิตรกับลัทธิมารฟ้า ด้วยการสนับสนุนของลัทธิ ไฉนเราต้องหวาดกลัวตระกูลอวี้ หากว่าพวกท่านยังคิดว่านี่ไม่เพียงพอ พวกเรายังจะร่วมมือกับตระกูลมู่และตระกูลลัว ข้าเชื่อว่าพวกเขาก็มีใจอันถูกต้องเหมาะสม เที่ยงธรรม และทรงศักดิ์ศรีเช่นกัน และจะไม่มีทางยอมรับตระกูลอวี้ไปได้นาน!”

หญิงวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งพลันลุกขึ้นมาและกล่าวด้วยความโกรธา “บัดนี้ตระกูลอวี้ควบคุมตำหนักสวรรค์แท้อยู่ พวกเขาจะทรงอำนาจมากสักแค่ไหน อาจารย์พยุหะ ต่อให้ท่านเป็นประมุขของตระกูลนี้ ข้าว่าท่านเสียสติไปแล้ว!”

“อาจารย์พยุหะ ไตร่ตรองอีกสามครั้งก่อนตัดสินใจ” หญิงเฒ่าอีกคนยืนขึ้นด้วยไม้เท้าของนาง “อย่าเอาชะตาของตระกูลเหอพวกเราไปเดิมพันในสนามพนัน”

หลังจากนาง อีกคนหนึ่งก็กล่าวมั่นใจในความชอบธรรมของตน “รากฐานกว่าหมื่นปีของตระกูลเหอพวกเรา ต้องไม่ถูกทำลายในพริบตา! หากว่าอาจารย์พยุหะยังยืนกรานเช่นนี้ ดังนั้นก็ส่งมอบตำแหน่งประมุขตระกูลคืนมาเถอะ!”

“ใช่แล้ว ส่งมอบตำแหน่งประมุขตระกูลคืนมา!”

เหออีอี มองไปรอบๆ และกล่าวด้วยสีหน้าแช่มชื่น “มีผู้อาวุโสท่านอื่นอีกไหมที่มีความเห็นเช่นนี้ เชิญท่านพูดออกมาได้ตามสบายด้วยว่านี่คือกิจการภายในของตระกูลเรา และพวกท่านก็ล้วนแต่เป็นท่านป้า ท่านยาย และท่านทวดของข้าทั้งนั้น ข้าเป็นชนรุ่นหลังจึงควรต้องล้างหูน้อมรับฟังเรื่องนี้”

ผู้อาวุโสอีกจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมาติเตียนนาง

เหออีอีรออีกสักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่นออกมาต่อต้านอีก จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ดูเหมือนว่าทุกๆ คนจะลืมไปแล้วว่า ข้าขึ้นมาเป็นอาจารย์พยุหะ และประมุขแห่งตระกูลนี้ด้วยวิธีอะไร”

สีหน้าของทุกคนที่ลุกขึ้นยืนแปรเปลี่ยน ไม่ทันที่พวกเขาจะวิ่งหนีออกไปจากโถงใหญ่ กรงเหล็กก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นของเมืองต้นไผ่ จับตัวเอาทุกคนที่พูดจาเป็นปฏิปักษ์ต่อเหออีอีเอาไว้ทั้งหมด จากนั้นกรงพวกนั้นก็จมเข้าไปในพื้นดิน

เหออีอีปัดมือไปมาพลางแย้มยิ้ม “หลังจากที่ข้ากำจัดตระกูลอวี้แล้ว ข้าค่อยปล่อยพวกท่านออกมา ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านอื่นมีความเห็นใดหรือไม่”

ทุกคนในโถงลุกขึ้นยืนและโค้งคารวะ พลางกล่าวเป็นเสียงเดียว “พวกเราจะน้อมตามการชี้นำทางของอาจารย์พยุหะ!”

เหออีอีมองไปที่ฉินมู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิธีการของข้าเป็นอย่างไรบ้าง จ้าวลัทธิฉิน?”

เขาส่งยิ้มกลับให้นาง “พี่สาวอีอีเป็นสตรีที่ไม่ธรรมดา”

สายตาของเหออีอีส่ายไปมา และมีความเอียงอายในน้ำเสียงของนางขณะที่นางกล่าวอย่างแผ่วเบา “คืนนี้ ข้าจะไม่ปิดหน้าต่าง หากว่าท่านปีนเข้ามา พวกเราสามารถสนทนากันเรื่องวิชาพยุหะกันได้ตลอดคืน และเรื่องที่ลึกล้ำยิ่งไปกว่านั้น…”