ตอนที่ 456 นักเพทุบายเฒ่าเจ้าเล่ห์

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ในคืนนั้น ยามดึกสงัด เหออีอีได้ยินเสียงเคาะที่หน้าต่าง และกลายเป็นว้าวุ่น นางรีบไปเปิดหน้าต่างออกและเห็นฉินมู่อยู่ข้างหลังบานหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “พี่สาวอีอี ข้าปีนมาที่นี่ตอนที่มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้”

เหออีอีหัวใจเต้นตึกตักเมื่อเห็นภาพของคนรักนางภายใต้แสงเทียน หัวใจของนางโลดเต้นไปมาราวกับลิงกัง และจิตก็โลดทะยานราวม้าวิ่ง

และจากนั้น พวกเขาก็สนทนากันเรื่องวิชาพยุหะกันตลอดทั้งคืน

ก่อนที่ดวงตะวันจะแย้มพ้นขอบฟ้าขึ้นมา ฉินมู่ก็ลอบมุดออกไปทางหน้าต่าง ในเมื่อเขารู้ว่านี่คือกติกาของแผ่นดินตะวันตก พวกที่ไปวิวาห์เยือนจะต้องไม่พบเข้ากับครอบครัวของฝ่ายหญิง

แต่ฉินมู่ยังไม่ทันลงบันไดไปชั้นล่าง ก็ไปเจอกับหญิงสาวสองสามคนที่ตื่นแต่เช้า พวกนางรีบหันหน้าไปทางอื่น และแสร้งเป็นว่าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น หลังจากเมื่อฉินมู่เดินไปไกลแล้ว พวกนางถึงหัวเราะคิกคัก

เมื่อดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นไปบนฟากฟ้า เหออีอีก็อิดออดที่จะแยกจากฉินมู่และส่งเขาออกไปจากหุบเขาแม่น้ำกระบี่ “เพียงแค่ตระกูลเหอของพวกเรานั้นไม่เพียงพอที่จะทำอะไรตำหนักสวรรค์แท้ได้ ดังนั้นจ้าวลัทธิควรจะไปหาอาจารย์พิษ ส่วนข้าไปพบปะกับผู้นำตระกูลใหญ่คนอื่นๆ แห่งแผ่นดินตะวันตก เพื่อปรึกษาหารือสถานการณ์สำคัญด้วยกัน”

ฉินมู่กล่าวลานางและจากไป

เหออีอีส่งเขาไปด้วยสายตาละห้อย

เด็กสาวข้างกายนางหัวเราะแผ่วเบา “พี่สาวได้ทำเรื่องนั้นกับพี่เขยฉินหรือไม่ มีหลายคนเลยนะที่เห็นเขาปีนเข้าทางหน้าต่าง และก็หลายคนเลยที่เห็นเขาปีนลงบันไดเมื่อเช้านี้”

เหออีอีตาปรือ และเรี่ยวแรงก็ดูไม่ค่อยจะมี นางกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ทำเรื่องอะไรเล่า พวกเราคุยกันแต่วิชาพยุหะตลอดทั้งคืน”

เด็กสาวอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยรอยยิ้ม “คุยกันเรื่องวิชาพยุหะ นั่นคือข้ออ้างของท่านหรือ เมื่อวานนี้ราตรียาวนาน และพวกท่านก็คงเหมือนกับนกเป็ดน้ำคู่หนึ่งที่เหินบินไปด้วยกัน!”

เหออีอีกัดฟันกรอดจนเสียงดังออกมา

พวกสาวๆ กระโดดโหยงด้วยความตกใจ “ท่านคุยแต่เรื่องวิชาพยุหะกับพี่เขยตลอดทั้งคืนจริงๆ น่ะหรือ”

เหออีอีมองไปที่พวกนางด้วยความจนปัญญา “ก็เขาน่ะตื่นเต้นสุดๆ ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ ขืนใจเขาหรือ ตระกูลพวกเรายังต้องการหน้าอีกไหม หากว่าข้าใช้กำลังขืนใจเขาจริงๆ พวกเราไม่ทำลายตึกรามบ้านช่อง และฉีกทึ้งเมืองต้นไผ่ไปหมดหรอกหรือ”

“ข้าได้แต่สนทนากับเขาเรื่องวิชาพยุหะตลอดทั้งคืน แต่โชคดีว่าความรู้และประสบการณ์ของเขาเลิศล้ำเหนือธรรมดาอย่างสุดๆ พวกเราจมจ่อมลงไปในการสำรวจวิชาพยุหะถึงขั้นที่ข้าลืมเผยความรักใคร่ของข้า และพบว่าราตรีนั้นสั้นเกินไป เมื่อคิดๆ ดูตอนนี้แล้ว ข้าว่าพวกเราน่าจะทำอะไรต่อมิอะไรก่อน แล้วค่อยดำดิ่งในมรรคาแห่งพยุหะและแลกเปลี่ยนความรู้กัน”

พวกสาวๆ หันไปมองซึ่งกันและกันด้วยความหนักใจ หนึ่งหญิงหนึ่งชายในเวลาค่ำคืนร่วมกันในห้องรโหฐาน แต่พวกเขากลับสนทนากันแต่เรื่องวิชาพยุหะตลอดทั้งคืนหรือ “เลวร้ายสุดๆ…เขาเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เถื่อน!”

“อย่างนั้นทำไมพี่สาวถึงปล่อยให้พี่เขยฉินออกไปตามหาอาจารย์พิษ แม่เท้ากีบน้อยนั่นล่ะ” เด็กสาวคนอื่นถามอย่างอาจหาญ “หากว่ามู่ยิ่งเสว่ไม่เก็บอาการแบบพี่สาว และแย่งชิงพี่เขยไป ท่านจะทำอย่างไร”

เหออีอียิ้มหยัน “เว้นแต่แม่สาวแซ่มู่นั่นจะใช้กำลัง ใครก็ลืมไปได้เลยที่จะได้ตัวเขา ตั้งแต่ที่แม่สาวแซ่มู่นั่นพ่ายแพ้ให้แก่เขา นางก็ลืมเขาไม่ได้เลยสักนิด และความรักใคร่ลุ่มหลงของนางก็หยั่งรากลึกเข้าไปทุกที นางชอบต่อสู้ชิงดีกับข้า หากว่านางพบว่าข้าพ่ายแพ้ นางจะต้องมาเย้ยหยันข้าแน่ๆ เช่นนั้นทำไมข้าไม่ปล่อยให้นางประสบความปราชัยแบบเดียวกัน เพื่อปิดปากของนางเสียล่ะ”

พวกสาวๆ ชื่นชมแผนการของนาง “พี่สาวช่างทรงปัญญา!”

ฉินมู่นำเสียงฉีเอ๋อไปยังหลังกิเลนมังกร และพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังเมืองขุนเขาสายฟ้า ที่ซึ่งอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่พำนักอยู่

“พี่ชาย พวกเราไม่ไปตำหนักสวรรค์แท้หรือ” เสียงฉีเอ๋อถามด้วยความสงสัย

“ข้าก็วางแผนจะไปที่นั่น แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวของราชครูและแม่ของเจ้า ข้าสงสัยว่า…” หางตาของฉินมู่กระตุกไปมาและเขาก็ยิ้มหยัน “ราชครู ไอ้นักเพทุบายเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น ไม่โผล่หัวออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ และตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่าเขาต้องการทำอะไร! เขาจะต้องรอให้ข้าก่อความวุ่นวายใหญ่ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของกองกำลังหลักตำหนักสวรรค์แท้แน่ๆ”

“จากนั้นเขาก็จะเข้าไปคว้าชัยชนะมาท่ามกลางความโกลาหล! นักเพทุบายเฒ่านั่น…ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลตอนที่เขาอุตส่าห์วิ่งมาถึงสถาบันนักบุญสวรรค์ด้วยตนเอง เพื่อเชื้อเชิญแม่ของเจ้าไปยังแผ่นดินตะวันตก แล้วทำทีเป็นชวนข้าไปร่วมด้วยเช่นกัน”

เขาเงยศีรษะขึ้น และมองสำรวจไปรอบๆ มีเมฆสองสามก้อนที่ตามพวกเขามาในท้องฟ้า และเขากล่าวแก่กิเลนมังกรโดยพลัน “มังกรอ้วน พวกเราถูกสะกดรอยอีกแล้ว”

กิเลนมังกรแตกตื่น และรีบวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม

ความเร็วของเมฆขาวเหล่านั้นก็เพิ่มพูนขึ้นมา แต่ไม่นานกิเลนมังกรก็ทิ้งให้พวกมันกินฝุ่น

ฉินมู่พบว่าไม่เพียงแต่เมฆขาวเท่านั้นที่ไล่ตามพวกเขา แม้แต่น้ำในแม่น้ำกระบี่ก็ไล่ทวนกระแส คลื่นน้ำเคลื่อนไปราวกับมังกร แต่พวกมันก็ไม่สามารถตามพวกฉินมู่ได้ทันอยู่ดี

ฉินมู่มองไปที่มันด้วยความฉงน ผู้ฝึกวิชาเทวะนี้น่าจะเป็นยอดยุทธฝีมือแกร่งแห่งตำหนักสวรรค์แท้ วิธีการสะกดรอยของเขานั้นนับว่าล้ำเลิศไร้ใดเปรียบ และหากว่าพวกเขาถูกพบเห็นเข้าแล้ว ก็คงยากที่จะสลัดหลุด

กระนั้นทำไมราชครูสันตินิรันดร์ นักเพทุบายเฒ่านั่น ถึงรู้ว่าเขาจะดึงดูดความสนใจมากมายหลังจากที่เข้ามาในแผ่นดินตะวันตกล่ะ หรือแม้แต่สามารถดึงดูดกองกำลังตำหนักสวรรค์แท้ได้

เขานั้นรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว และไม่ทำอะไรโฉ่งฉ่างชัดๆ ไอ้นักเพทุบายเฒ่านั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะกลายเป็นเป้าหมายใหญ่ของตำหนักสวรรค์แท้

“ราชครูคือจิ้งจอกเฒ่า…”

ฉินมู่มองไปยังเสียงฉีเอ๋อ และรู้โดยพลันว่าใครคือเป้าหมายที่แท้จริง

จากความเข้าใจของเขาที่ได้รับมาในช่วงวันเวลาเหล่านี้ แผ่นดินตะวันตกให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อองค์หญิงน้อย และตำหนักสวรรค์แท้ก็ต้องการองค์หญิงน้อยหนึ่งคน เพื่อที่จะดำรงตำแหน่งอย่างมั่นเหมาะ ในเมื่อฉินมู่พาองค์หญิงน้อยเสียงฉีเอ๋อเดินทางมาด้วยกับเขา นี่จะไม่ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดไปได้อย่างไร

เสียงซีอวี่ปลอดภัยไร้กังวล ขณะที่เสียงฉีเอ๋อนั้นเป็นเป้าโจมตีของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้!

ในครั้งกระโน้น เป้าหมายที่อวี้ป๋อชวนไล่ล่าไปมิใช่เสียงซีอวี่ แต่เป็นเสียงฉีเอ๋อ!

ฉินมู่ยังคงจดจำได้ว่าทำไมเขาถึงช่วยเหลือเสียงซีอวี่สองแม่ลูก นั่นก็เป็นเพราะว่าอวี้ป๋อชวนรังแกเด็กผู้หญิงอายุสี่ห้าขวบอย่างเสียงฉีเอ๋อ เขามิอาจทนดูได้ จึงเสี่ยงชีวิตไปช่วยพวกนาง

แต่เมื่อเขามาคิดดูแล้ว ที่อวี้ป๋อชวนต้องการสังหารเสียงฉีเอ๋อนั้นมิใช่ไร้สาเหตุ

ทำไมตำหนักสวรรค์แท้ถึงให้ความสำคัญกับองค์หญิงน้อยมากขนาดนั้นนะ

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพิศวงงงงวย และนั่งยองๆ ลงไป เขาจับไหล่ของเสียงฉีเอ๋อ และหมุนนางดูรอบๆ สองสามที แต่เขาก็ไม่พบว่านางมีอะไรพิเศษ นี่ทำให้เขายิ่งงุนงงมากกว่าเดิมเสียอีก

ไหน่ขุยเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ และชื่อเรียกหานั้นหมายความว่ามารดาขององค์หญิง ส่วนบิดานั้นเรียกว่าป้าโก่ว สองนามนี้มีที่มาจากองค์หญิงน้อย อันเผยให้เห็นว่าตำหนักสวรรค์แท้ให้คุณค่าแก่องค์หญิงน้อยมากเพียงใด มันจะต้องมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้สิ!

เสียงฉีเอ๋อมองไปที่เขาด้วยดวงตากลมโต กะพริบปริบๆ อย่างใสซื่อ นางดูไม่เหมือนจะมีความสามารถพิเศษพิสดารอะไร

ทันใดนั้น ฉินมู่ก็เพ่งความสนในไปที่เป้หลังเล็กๆ ของนางและตะลึงไปครู่หนึ่ง เสียงฉีเอ๋อแบกมันติดตัวตลอดเวลา ตลอดทางจากสถาบันนักบุญสวรรค์จนถึงที่นี่ เขาคิดมาตลอดว่ามันคงบรรจุเสื้อผ้าของนางเอาไว้และไม่ได้ใส่ใจมาก่อน

บัดนี้เขาสงสัยขึ้นมาว่ามีอะไรอยู่ในเป้หลังเล็กๆ นั่น

“ฉีเอ๋อ ในเป้หลังของเจ้ามีอะไรอยู่หรือ” ฉินมู่ถาม

เสียงฉีเอ๋อปลดมันออก และเปิดมัน ทำให้แสงสีเขียวทาบทอใบหน้าฉินมู่

เขาถอนหายใจ “อย่างที่คิดไว้เลย ราชครู ไอ้นักเพทุบายเฒ่านั่น…”

ลูกแก้วมังกรเขียววางนิ่งอยู่ในเป้หลังของเด็กหญิง มันเขียวราวกับหยก ทั้งส่องประกายและโปร่งแสง ดวงวิญญาณมังกรแหวกว่ายในนั้นอย่างนุ่มนวล

เมื่อฉินมู่แตะลูกแก้วมังกร ดวงวิญญาณมังกรก็มองเขาอย่างเหยียดหยาม แต่เมื่อเสียงฉีเอ๋อแตะมัน ดวงวิญญาณมังกรเขียวก็มองไปที่นางอย่างเป็นมิตร มันแตะเข้ากับมือของนางจากข้างในลูกแก้วอย่างอ่อนโยน

“ความไร้เดียงสาของเด็กๆ คือวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการฝึกปรือวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ”

ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน สาเหตุที่ว่าทำไมตำหนักสวรรค์แท้ถึงต้องการองค์หญิงน้อยนั้นก็เพราะว่าความไร้เดียงสาของนาง โดยปราศจากความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ นางก็จะสามารถควบคุมสมบัติวิเศษอย่างลูกแก้วมังกรเขียว และปลดปล่อยพลานุภาพของมันจนถึงสุดขีดขั้ว

ในตำหนักสวรรค์แท้ ยังมีสมบัติวิเศษอีกสามชิ้นที่เป็นสัญลักษณ์แทนเต่าดำ หงส์แดง และพยัคฆ์ขาว บุคคลที่สามารถปลดปล่อยพลานุภาพของสมบัติพวกนี้ทั้งหมด ก็มีแต่องค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้!

ผู้ที่กำลังฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ มิใช่ไหน่ขุยหรือยอดฝีมือคนอื่นๆ แต่เป็นองค์หญิงน้อยที่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่สักตัว

ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่ล่วงหน้าไปแผ่นดินตะวันตก แต่กลับทิ้งลูกแก้วมังกรเขียวไว้ให้เสียงฉีเอ๋อ ย่อมไม่ใช่ความคิดของเสียงซีอวี่อย่างแน่นอน แต่จะต้องเป็นความคิดของราชครูสันตินิรันดร์

เสียงซีอวี่ไม่อาจไว้วางใจในตัวราชครู นางจึงร้องขอให้ฉินมู่พาเสียงฉีเอ๋อไปด้วยกับเขา แต่นางไม่มีทางคาดคิดว่าจะตกในแผนเล่ห์เพทุบายของราชครูสันตินิรันดร์ และปล่อยให้ฉินมู่กับเสียงฉีเอ๋อกลายเป็นเป้าหมายหลักของตำหนักสวรรค์แท้ และเวลาเดียวกันนั้น ราชครูและนางก็จะสามารถหยิบยืมการกำบังที่พวกเขาสร้างให้ และดำเนินแผนการในสถานที่ลับ

ราชครูนี่ต้องโดนฟาดตูดสักที เขานั้นเป็นเทวราชแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้าชัดๆ แต่เขากล้าวางแผนร้ายแม้แต่กับจ้าวลัทธิของเขาได้อย่างไร

ฉินมู่ถอนหายใจและปลุกปลอบใจขึ้นใหม่ ในตอนนั้นเอง กิเลนมังกรก็หยุดชะงัก เขากล่าว “จ้าวลัทธิ มีบางอย่าง”

ฉินมู่มองไปข้างหน้าและเห็นภูเขามากมายยาวเหยียดไปที่ไกลๆ โลงศพดำห้อยลงมาจากหน้าผา พวกมันแทบจะปกคลุมหน้าผาไปหมด ทำให้ทั้งภูเขากลายเป็นสีดำ

เขารีบนับโลงศพพวกนี้ และพบว่ามีจำนวนถึงสี่พันห้าพันโลงเลยทีเดียว

“นี่คือ…แดนเลี้ยงศพ!”

เขาเปิดเนตรสวรรค์ชาดเพื่อมองดู และพลันเห็นลมชั่วร้ายพัดเป่าเป็นระลอก และมีเมฆดำคลี่คลุมอยู่เหนือเทือกเขา

สถานที่นี้นับว่าเหมาะแก่การเลี้ยงศพจริงๆ

จากแผนที่ภูมิประเทศแห่งแผ่นดินตะวันตก ตอนนี้พวกเขาอยู่ในชนบทต่ำใต้ที่อยู่ห่างจากเมืองขุนเขาสายฟ้าไปราวๆ แปดพันลี้ ชนบทต่ำใต้นั้นเป็นดินแดนอาณาเขตของตระกูลหลิ่วแห่งแผ่นดินตะวันตก

แดนเลี้ยงศพนี้อยู่ในอาณาเขตของตระกูลหลิ่ว? หรือว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าของที่นี่

ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมาว่าซากศพนั้นไม่มีทั้งดวงจิตและดวงวิญญาณ เช่นนั้นมันจะไม่เป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกให้ปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาหรอกหรือ ร่างกายของผู้ฝึกวิชาเทวะที่ต่างไปนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวของชีวิต และเหนือล้ำกว่าอาวุธวิญญาณไปลิบลับ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีแขนขาสี่ข้าง และอาจจะสามารถขับเคลื่อนทักษะเทวะในการต่อสู้ได้อีกด้วย ดังนั้นพวกเขายิ่งมีประโยชน์กว่าอาวุธวิญญาณไปหลายเท่า

“ลุกขึ้น และร่ำรวย!”

ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังมา และฉินมู่มองไปยังแหล่งที่มาเสียง เขาเห็นชายจำนวนหนึ่งโพกด้วยผ้าคาดหัวปักลายกำลังท่องสวดประโยคนั้นพลางขับเคลื่อนทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตก โลงศพดำโลงหนึ่งพลันงอกขาขึ้นมาและถีบทะยานออกไปจากหน้าผาราวเหินบิน จากนั้นลงมาจอดที่พื้นด้วยเสียงตึง

แกรก

โลงศพเปิดออกมา และมีหญิงนางหนึ่งโผล่ขึ้น คอของนางเหลียวไปรอบๆ อย่างแข็งทื่อ จากนั้นนางก็มองไปยังฉินมู่ “หรือว่าเจ้าจะเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้าจากแผ่นดินภาคกลาง”

ฉินมู่ตะลึงไป เขาบอกไม่ได้เลยจริงๆ ว่าหญิงสาวจากโลงศพนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว

“นั่นคือข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านคือใคร”

“หลิ่วหรูยินแห่งตระกูลหลิ่ว”

หญิงนั้นก้าวออกมายืนที่พื้น “ข้าได้ยินว่าจ้าวลัทธิได้นำองค์หญิงน้อยมายังแผ่นดินตะวันตก นางอยู่ที่ใด”

ฉินมู่ยกมือเสียงฉีเอ๋อขึ้นชูและแย้มยิ้ม “องค์หญิงน้อยอยู่ที่นี่”

หลิ่วหรูยินมองไปยังเสียงฉีเอ๋อ และแสงในดวงตาของนางลุกวาบ กลิ่นเน่าเหม็นพลันคละคลุ้งไปทั่วฟ้า และโลงศพมากมายก็งอกขาออกมาเพื่อวิ่งตะบึงลงมาจากหน้าผา มีกระทั่งโลงศพที่ลอยมาในอากาศ พลางเปิดออกส่งเสียงเอี๊ยดอ้าดเต็มไปหมด ‘ศพ’ มากมายในสภาวะเป็นตายที่ฉินมู่ระบุไม่ได้ก็ลุกขึ้น และพุ่งเข้ามายังเสียงฉีเอ๋อ

ฉินมู่ยื่นมือเข้าไปหยิบลูกแก้วมังกรเขียวจากเป้หลังของเด็กหญิง และวางเข้าไปในมือนาง พลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หลิ่วหรูยิน ตระกูลหลิ่วของเจ้าดูเหมือนไม่ได้มาดีสินะ”

เมื่อหลิ่วหรูยินเห็นลูกแก้วมังกรเขียว นางก็ปิดหน้าของตนเองไว้อย่างข่มไม่อยู่ หวีดร้องด้วยความสะพรึงกลัว “อย่าเพิ่งวู่วาม!”