ตอนที่ 14 เจียงโหย่วฉาย

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 14 เจียงโหย่วฉาย

เด็กอ้วนคนนี้คือเจียงโหย่วฉาย ผู้ชายเพียงคนเดียวในรุ่นที่สามของตระกูลเจียง ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อปฏิบัติต่อเขาประหนึ่งเขาคือแก้วตาดวงใจ

โจซื่อกับเจียงอีหนิวก็เช่นกัน คลอดลูกสาวสองคนออกมา เว้นห่างไปหลายปีถึงจะมีเจียงโหย่วฉายคนนี้ เขาจึงเป็นเหมือนไข่มุกและหยกเนื้องามในบ้าน ทุกคนกลัวว่าเขาจะละลายไปในปาก อีกทั้งยังกลัวว่าจะไปหกล้มที่ไหน จึงพากันประคบประหงมไว้ในมือ

แม้ว่าตอนนี้โจซื่อจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเจียงต้ายาเพียงใด ทว่าเมื่อเห็นเจียงโหย่วฉายลูกชายคนเล็กวัยสิบขวบ มุมปากของนางก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม

ยังไม่ทันที่โจซื่อจะได้ตอบอะไร เจียงต้ายากลับพูดขึ้นมาเสียก่อน “ในบ้านไม่มีเงินแล้ว จะเอาเงินจากไหนมาซื่อซี่โครงให้เจ้าล่ะ ?”

เจียงโหย่วฉายเจ้าเด็กอ้วนได้ยินเข้า มีหรือเขาจะยอมฟัง เจ้าอ้วนออกแรงดิ้นโวยวายอยู่ในอ้อมกอดของโจซื่อ

“ซี่โครง! ซี่โครง! ข้าจะกินซี่โครง!”

โจซื่อถลึงตาใส่เจียงต้ายาเล็กน้อย จากนั้นก็รีบโอ๋เจียงโหย่วฉายทันที “ไอ้หยา! เจ้าอย่าไปฟังพี่ใหญ่ของเจ้าพูดจาเหลวไหล ถึงจะไม่มีเงินเพียงใด แต่เราก็จะไม่ตัดซี่โครงของพี่ฉายเราออกหรอกนา”

ได้ฟังดังนั้น เจียงโหย่วฉายถึงจะสงบลง จากนั้นก็หันไปชำเลืองมองเจียงต้ายาเล็กน้อย เขาส่งเสียง ‘หึ!’ ออกมาและทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค “ถ้าตอนเย็นกลับมาแล้วไม่มีซี่โครง ข้าก็จะไม่กลับมา” พูดจบเจ้าอ้วนก็วิ่งออกไปทันที

เจียงต้ายาถูกสายตาของน้องชายทำให้โกรธจนพูดไม่ออก

เจียงเอ้อยาส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ จากนั้นก็จับมือเจียงต้ายาเพื่อเกลี้ยกล่อมนาง “พี่… พี่อายุเท่าไหร่แล้ว ยังมาโกรธน้องชายอยู่อีก”

เมื่อโจซื่อได้ยินคำพูดนี้ของเจียงเอ้อยา นางรู้สึกไม่พอใจเจียงต้ายาอยู่ลึก ๆ ในใจ  ในชนบทที่ลูกสาวไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นมนุษย์นี้ ถือว่าโจซื่อรักและทะนุถนอมลูกสาวมากแล้ว แต่ถ้าเทียบกับลูกชาย ต่อให้เอาลูกสาวสองคนมารวมกัน ก็เกรงว่าจะไม่ได้ครึ่งหนึ่งของลูกชายเสียด้วยซ้ำ

โจซื่อถลึงตาใส่เจียงต้ายาเล็กน้อย “ไม่ได้เรื่อง น้องชายเจ้าแค่กินของนิดเดียว แต่ดูเจ้าเสียดายสิ ข้าก็หวังว่าเมื่อใดที่เจ้าแต่งออกไปแล้วจะสามารถส่งเสียน้องชายเจ้าได้ แต่เจ้ากลับเป็นเช่นนี้ แต่งไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่ง”

เจียงต้ายาถูกคำพูดลำเอียงของแม่ทำร้าย นางกัดริมฝีปาก รู้สึกจุกจนพูดไม่ออก

โจซื่อก็ขี้เกียจที่จะโอ๋เจียงต้ายาแล้ว นางเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนที่ผูกไว้รอบเอว จากนั้นก็เปิดตู้เพื่อนำทองแดงสามสิบเหรียญออกมานับ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็นำทองแดงห้าเหรียญกลับเข้าไปวางในตู้อีกครั้ง

โจซื่อทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค “เอ้อยา เจ้าช่วยพูดเกลี้ยกล่อมพี่สาวของเจ้าหน่อย” จากนั้นนางก็รีบเดินออกไปทันที

ได้ยินคำพูดนี้ เจียงต้ายาก็ตกตะลึงทันที  มีอะไรต้องพูดเกลี้ยกล่อมด้วยหรือ ? แน่นอนว่าคงจะเกลี้ยกล่อมนางไม่ให้เก็บลูกในท้องไว้ ให้ตีให้ตาย แล้วค่อยหาคนมาพานางแต่งออกไปอยู่ที่ไกล ๆ

คิดได้ดังนั้น เจียงต้ายาก็หน้าซีดทันที  นางลุกขึ้นจากเตียงอิฐอย่างรวดเร็ว ทว่าถูกเจียงเอ้อยาที่อยู่ด้านข้างจับไว้เสียก่อน

“พี่…! พี่อย่าวู่วามนะ” เจียงเอ้อยาพูดขึ้น “ครอบครัวเราคงจะไม่มีวิธีอื่นแล้วจริง ๆ นะพี่”

เจียงต้ายาส่ายหน้าไปมาด้วยใบหน้าขาวซีด “มันจะต้องมีวิธีอื่น… มันต้องมีสิ…” เจียงต้ายากุมท้องอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย “เอ้อยา เจ้าฉลาดมาตั้งแต่เล็ก เจ้าช่วยข้าคิดหาวิธีหน่อยเถอะ”

สีหน้าของเจียงต้ายากลัดกลุ้มไม่แพ้กัน “โธ่พี่! สถานการณ์ในบ้านเราเป็นอย่างไรพี่ก็รู้ ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะเอาตัวเจียงป่าวชิงไปแลกกับเงินห้าตำลึง ไม่ว่าคนในบ้านจะพูดอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมรับข้อตกลงเด็ดขาด”

“เจียงป่าวชิง  เป็นเพราะนาง!” เจียงต้ายากัดฟันพูดออกมา ราวกับว่านางกำลังเคี้ยวเนื้อของเจียงป่าวชิงอยู่ก็มิปาน

ดวงตาของเจียงเอ้อยาเป็นประกาย ทว่าภายนอกกลับแสร้งทำเป็นถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าโศกเหลือทน “นั่นสิพี่ใหญ่ ถ้าหากเฉจื่อเจิ้งคนนั้นทำเรื่องสำเร็จตั้งแต่ทีแรก ข้าวดิบหุงเป็นข้าวสุกแล้ว ดูสิว่าเจียงป่าวชิงจะยังหนีไปที่ไหนได้อีก”

ดูเหมือนเจียงต้ายาจะคิดอะไรได้ ร่างของนางสั่นเล็กน้อย และดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

“เอ้อยา ข้าคิดออกแล้ว”

……

ตระกูลเจียงไม่ได้ปิดบังสองพี่น้องเรื่องที่พวกเขาคืนเงินห้าตำลึงให้กับเฉจื่อเจิ้ง เงินถูกคืนกลับไปแล้ว แต่เหตุใดถึงยังกลืนความขุ่นเคืองที่ติดอยู่ในใจไม่ลงก็ไม่อาจทราบได้ หลีโผจื่อยืนด่าเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเต็ม แต่ท่าทางกลับยังไม่ค่อยดูหงุดหงิดเท่าไหร่ พูดวนอยู่แต่หมาป่าตาขาวกับเจ้าเท้าเล็กนั่นแหละ

เจียงป่าวชิงยังดีหน่อย นางไม่ค่อยมีท่าทีอะไร ทว่าภายในครึ่งชั่วโมงนั้น เจียงหยุนชานไม่รู้จะเอามือที่ลำบากใจของตัวเองไปวางไว้ที่ไหนเลยด้วยซ้ำ

เจียงป่าวชิงทนดูไม่ไหว นางจะเปิดหน้าต่างออกไปด่ากลับทว่าถูกเจียงหยุนชานจับไว้เสียก่อน  จากนั้นเขาก็พูดกล่อมนาง “ท่านย่าสองมีความขุ่นเคืองในใจ เจ้าให้นางระบายออกมาเถอะ หากนางระบายเสร็จนางก็ไม่มาหาเรื่องเราแล้ว  ถึงอย่างไรครั้งนี้เป็นเราเองที่ทำให้พวกเขาเสียเปรียบ ให้นางด่าไปเถอะ ทำเป็นไม่ได้ยินก็พอ”

ท่าทางของเขาเด็ดเดี่ยวมาก

เจียงป่าวชิงส่ายหน้าในใจ นางไม่ชอบใจคำว่า ‘เราทำให้เขาเสียเปรียบ’ เอาเสียเลย เดิมทีครอบครัวก็ไม่ควรตัดสินใจแทนเจียงป่าวชิง และไม่ควรขายนางให้กับคนอื่นมิใช่หรือ ?

เพียงแต่พี่ชายฝาแฝดของนางคนนี้เป็นคนเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งเจียงป่าวชิงเองก็ไม่ได้สนใจที่จะแก้ไขนิสัยของคนอื่น นางจึงทำตามอย่างที่เขาบอก

เมื่อเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขก็ถือว่ายังมีข้อดีอยู่บ้าง เจียงหยุนชานอยู่ที่บ้านมาสามวันแล้ว ยามที่ตระกูลเจียงคืนเงินกลับไป เจียงหยุนชานก็จะได้กลับไปที่โรงเรียนได้อย่างวางใจเสียที

แต่ก่อนที่เจียงหยุนชานจะไปนั้น เขาจับมือเจียงป่าวชิงอย่างเป็นห่วงและพูดกำชับกับนางอย่างละเอียดครั้งแล้วครั้งเล่า เจียงป่าวชิงฟังจนหูของนางจะงอกออกมาเป็นรังไหมอยู่แล้ว

ตามอายุจริง เจียงป่าวชิงจากยุคปัจจุบัน ‘เธอ’ อายุมากกว่าเจียงหยุนชานถึงสิบปี

เจียงป่าวชิงรีบส่งพี่ชายที่แปลงร่างมาเป็นผีขี้บ่นทันที จากนั้นจึงค่อยรู้สึกว่าหูของตัวเองเบาขึ้นมาหน่อย

แต่ตอนที่ผีขี้บ่นตัวนั้นเดินเลียบออกไปจากถนนเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน เขาก็ยังคงหันกลับมามองทางด้านหลังบ่อย ๆ เจียงป่าวชิงจึงอดไม่ได้ นางรู้สึกว่าขอบตาของตนเองร้อนนิดหน่อย

เมื่อนางกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่ามีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วลานบ้านเล็ก ๆ

เจียงป่าวชิงกำลังจะผลักประตูไม้ ทว่ากลับมีแรงแรงหนึ่งดันมาจากทางด้านหลัง และผลักนางอย่างรุนแรงจนทำให้ร่างนางกระเด็นไปอีกฝั่ง

เจียงป่าวชิงรู้สึกเจ็บ นางเพิ่งจะยืนได้คงที่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่เย่อหยิ่งดังขึ้นตามมา “เจ้าปัญญาอ่อน หมาที่ดีมันไม่ขวางทางคนเจ้าไม่รู้หรือ ?”

เจียงโหย่วฉายยืนเท้าเอวจ้องเจียงป่าวชิงอยู่ตรงนั้น เด็กอายุเพียงสิบขวบ แต่ท่าทางที่แข็งกร้าวและฉุนเฉียวนั้นค่อนข้างคล้ายกับหลีโผจื่อย่าของเขา

ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนั้นมีเจียงโหย่วฉายแน่นอน ทั้งยังมีค่อนข้างมากอีกด้วย สำหรับคนที่รังแกเจียงป่าวชิงในอดีต ถ้าหากบอกว่าเจียงโหย่วฉายเป็นที่สอง คนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าเป็นที่หนึ่งอย่างแน่นอน

สองสามวันมานี้เจียงโหย่วฉายออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกทั้งวันโดยไม่ได้กลับมาที่บ้านเลย นี่ถือว่าเป็นการแยกห่างจากเจียงป่าวชิงระยะหนึ่ง ตั้งแต่ที่กลับมา นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนพบกัน

เจียงป่าวชิงไม่ชอบเด็กซนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นางจ้องเจียงโหย่วฉายกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึง จากนั้นก็ปัดบริเวณที่ถูกเจียงโหย่วฉายกระแทกเมื่อสักครู่ ราวกับว่ากำลังปัดสิ่งสกปรกอยู่

แม้ว่านางจะไม่พูดอะไรสักคำ แต่ท่าทางรังเกียจนั้น เจียงโหย่วฉายเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จ้องจะเดินเข้าไปโถมตัวใส่เจียงป่าวชิงให้ล้มลงไปที่พื้น จากนั้นก็กะจะกระชากผมนางและฟังนางร้องอย่างน่าเวทนา ทำเหมือนเมื่อก่อนที่เขาเคยทำกับนางนับครั้งไม่ถ้วน

อย่างไรก็ตาม เจียงป่าวชิงในอดีตเป็นคนปัญญาอ่อนที่สติปัญญาไม่ปลอดโปร่ง  ถึงได้ปล่อยให้เจียงโหย่วฉายรังแกนางได้อย่างตามใจ แต่เจียงป่าวชิงในตอนนี้ ถึงแม้ว่าจะยังเป็นเปลือกของเจ้าของร่างเดิม แต่ไส้ข้างในเปลี่ยนไปแล้ว

เจียงป่าวชิงแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา นางถือโอกาสตอนที่เจียงโหย่วฉายโถมตัวเข้าใส่ ก้มตัวหลบ และมุดผ่านใต้รักแร้ของเจียงโหย่วฉายไปอย่างคล่องแคล่ว

ถึงแม้ว่านางจะอายุมากกว่าเจียงโหย่วฉายสามปี แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้รับสารอาหารที่ดีมาเป็นเวลานาน หากเทียบกับเจียงโหย่วฉายที่รูปร่างกำยำสูงใหญ่แล้ว แม้ว่าเขาจะเตี้ยกว่า เขากลับว่องไวกว่า

เมื่อนางมุดผ่านไปเช่นนี้ เจียงโหยวฉายก็คว้าเอาอากาศ ด้วยความที่ไม่ได้ควบคุมความเร็วในการเคลื่อนที่ เขาจึงล้มลงไปที่พื้นทันที ซ้ำยังล้มลงไปบนโคลน

เขาล้มลงหนักอยู่พอสมควร บนใบหน้าของเจียงโหย่วฉายเต็มไปด้วยโคลน เขาเอาแต่นอนคว่ำอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น สุดท้ายก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง

เป็นถึงสิ่งล้ำค่าของตระกูลเจียง แน่นอนว่าเมื่อเจียงโหย่วฉายส่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างดัง ไม่นาน ก็มีเงาของคนสองคนวิ่งออกมาจากในลานบ้าน

คนที่วิ่งออกมาก่อนคือโจซื่อที่ยังถือไม้พายอยู่ในมือ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจ ยิ่งเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กนอนร้องไห้อยู่ที่พื้น นางก็คิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงตกใจจนขาไร้เรี่ยวแรงและเกือบหกล้มลงไปบนพื้นแล้ว

“ลูกชายข้า!” นางประคองประตูอย่างโซเซ จากนั้นพยายามทรงตัวให้คงที่ รีบวิ่งไปหาเจียงโหย่วฉายโดยที่ไม่หยุดฝีเท้าเลย

ตอนนี้หลีโผจื่อก็ออกมาจากห้องใหญ่แล้วเช่นกัน นางเอาแต่ร้องเรียกเจียงโหย่วฉาย “ แก้วตาดวงใจของย่า ทำไมเจ้าถึงร้องไห้ ใครหาเรื่องเจ้า ? ย่าจะฉีกมันให้เอง” จากนั้นนางก็เดินออกไปข้างนอก

เจียงโหย่วฉายได้ยินเสียงของโจซื่อกับหลีโผจื่อ เขารู้ทันทีว่าคนหนุนหลังตัวเองมาแล้ว จึงแกล้งร้องไห้ให้หนักกว่าเดิม เขาเอะอะโวยวายอยู่ที่พื้น พลิกตัวไปมาจนทำให้เนื้อตัวเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลน

โจซื่อเห็นท่าทางของเจียงโหย่วฉาย นางก็ร้อนรนจนในลำคอแทบจะลุกเป็นไฟ นางกับหลีโผจื่ออยู่คนละฝั่ง จากนั้นก็ทำการพูดโอ๋เจียงโหย่วฉายด้วยคำพูดดี ๆ ทุกประเภท และคิดจะดึงเจียงโหย่วฉายขึ้นมาจากพื้น

ทว่ามีหรือที่เจียงโหย่วฉายจะยอมลุกขึ้น เขาเอะอะโวยวายแหกปากร้องลั่นไปทั่ว จากนั้นก็ชี้ไปที่เจียงป่าวชิง “นาง! ตีนางให้ตายเลย! ตีเจ้าปัญญาอ่อนนั่นให้ตายเลย นางเป็นคนรังแกข้า”