ตอนที่ 15 โดนตี

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 15 โดนตี

ท่าทางของเจียงโหย่วฉายน่าหมั่นไส้มาก

สายตาที่หลีโผจื่อและโจซื่อใช้มองเจียงป่าวชิงนั้นแทบจะพ่นไฟออกมาได้อยู่แล้ว

โจซื่อมองเจียงป่าวชิงราวกับกำลังมองศัตรู นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพุ่งเข้าไปหมายจะเข้าไปตีเจียงป่าวชิงด้วยไม้พาย “พี่ฉายอายุน้อยกว่าเจ้าตั้งสามปี! เจ้ากลับรังแกเขาขนาดนี้เลยรึ ?!”

ผ่านไปสักครู่ เนื่องจากเจียงโหย่วฉายร้องไห้เสียงดัง จึงดึงดูดเพื่อนบ้านหลายคนให้ออกมาดูเรื่องสนุก พวกเขาต่างพากันนินทาและชี้มาทางบ้านตระกูลเจียง

เจียงป่าวชิงเปลี่ยนสีหน้าท่าทางให้ดูน่าสงสารยิ่งขึ้น จากนั้นนางก็เบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาเพื่อหลบหลีกไม้พายของโจซื่อ และเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร “อ๊า! ข้าไม่ได้ทำนะเจ้าคะท่านย่า! โหย่วฉายเห็นว่าข้าหายดีและไม่ปัญญาอ่อนแล้ว เขาจึงอยากตีข้า แต่ข้าไม่ให้เขาตีจึงหลบและเขาก็หกล้มลงไปเองต่างหากล่ะเจ้าคะ”

เมื่อชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกได้ยินคำพูดของเจียงป่าวชิง พวกเขาก็ส่งเสียงออกมาด้วยความตกตะลึง เจียงป่าวชิงเจ้าเด็กปัญญาอ่อนที่เป็นที่โด่งดังในหมู่บ้านพูดได้อย่างมีหลักการขนาดนี้เลยรึ ? เหมือนที่นางบอกว่าหายดีและไม่ปัญญาอ่อนแล้วจริง ๆ ด้วย

นี่ถือว่าเป็นละครฉากเด็ดเลยทีเดียว!

“ไอ้หยา! สะใภ้ตระกูลเจียง (พูดถึงโจซื่อ) ป่าวชิงของพวกเจ้าไม่ปัญญาอ่อนแล้วนี่” ในหมู่เพื่อนบ้านที่มาดูละครฉากเด็ดนั้น หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บางเบา นางน่าจะอายุน้อยกว่าโจซื่อประมาณสิบปี สวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบโดยมีดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิปักไว้ที่จอน มันขับให้นางดูสวยและงดงามไม่น้อยเลย

นางมีสีหน้าไม่เห็นด้วยและกำลังปิดปากส่ายหน้าไปมา “ป่าวชิงช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริง ๆ ปัญญาอ่อนมาหลายปี กว่าจะหายป่วยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่เป็นเรื่องดีทำไมเจ้าถึงยังตีเด็กอยู่เล่า หือ ? สะใภ้ตระกูลเจียง ?” เงียบไปครู่หนึ่ง ทว่าตอนท้ายนางยังพูดพึมพำเล็กน้อย “พี่อีหนิวเป็นคนดีขนาดนั้น ทำไมถึงแต่งกับคนที่ใจอำมหิตแบบนี้กันนะ”

ถึงแม้ว่าจะเป็นการพูดพึมพำ แต่หญิงสาวคนนี้ก็อยู่ใกล้กับโจซื่อมาก ทั้งนางยังจงใจพูดเสียงดังอีกต่างหาก จึงทำให้โจซื่อได้ยินอย่างชัดเจนและเริ่มโกรธ

โจซื่อโมโหจนแทบหงายหลัง นางมองหญิงสาวที่ทัดหูด้วยดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิคนนั้นราวกับอยากจะเข้าไปฉีกปากนางเสียเดี๋ยวนั้น!

นางผู้หญิงอ้อล้อคนนี้! อย่าคิดว่านางไม่รู้ หลังจากที่สามีของนางผู้หญิงอ้อล้อคนนี้ตายไปเมื่อปีที่แล้ว ทุกวันยามที่นางเห็นอีหนิว นางก็เหมือนแมวตัวเมียที่แสดงอาการกำหนัด อยากที่จะถอดเสื้อผ้าออกและเข้าไปแนบชิดกับอีหนิวทั้งอย่างนั้น

หลีโผจื่อเห็นโจซื่อหยุดการกระทำลง นางก็สบถคำหยาบในใจ ลูกสะใภ้คนนี้เป็นพวกที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ถ้าไม่เห็นแก่ที่นางคลอดเจียงโหย่วฉายแก้วตาดวงใจออกมา ป่านนี้หลีโผจื่อคงจะไล่นางกลับตระกูลโจไปตั้งนานแล้ว!

หลีโผจื่อพุ่งเข้าไปหาเจียงป่าวชิงด้วยตัวเอง จากนั้นนางตบหน้าเจียงป่าวชิงอย่างแรง ปากก็ก่นด่าอย่างโหดเหี้ยม “เจ้าเท้าเล็ก เจ้ายังแสร้งทำเป็นร้องไห้อยู่อีก โคลนบนตัวพี่ฉายนี้เจ้าไม่ได้เป็นคนทำเช่นนั้นรึ ?! บังอาจมาทำให้พี่ฉายของเราหกล้ม คนเลวทรามอย่างเจ้า ต่อให้คิดตัวเจ้าให้เป็นเงินก็ยังชดใช้ไม่ได้”

เจียงป่าวชิงร้องไห้ไปด้วยหลบหลีกไปด้วย แต่ครั้งนี้เมื่อหลีโผจื่อตบลงมา ก็มักจะมีตอนที่หลบไม่ทัน นางโดนตบไปเต็ม ๆ

เด็กผู้หญิงที่ใบหน้าเหลืองซูบผมกระเซิง เวลานี้บนใบหน้าและลำคอยังมีรอยแดงเล็กน้อย มันยิ่งทำให้นางดูน่าสงสารมากกว่าเดิม

เจียงป่าวชิงที่น่าสงสารกำลังหลบหลีกและตะโกนผสมร้องไห้เพื่อขอให้ยกโทษให้ “ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าขา… เหตุใดตอนนั้นพวกท่านไม่พาพวกข้าสองพี่น้องไปด้วยล่ะเจ้าคะ ? ท่านย่าสองอย่าตีข้าเลย อย่าตีเลย ต่อไปนี้ต่อให้โหย่วฉายตีข้าจนตาย ข้าก็จะไม่หลบอีกแล้วเจ้าค่ะ”

เดิมทีเจียงป่าวชิงเกิดมาก็หน้าตาดูป่วยซีดเหลืองซูบอยู่แล้ว เมื่อยามที่ร้องไห้ปานจะขาดใจเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้คนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะพากันสงสาร

สุดท้ายก็มีบางคนที่กำลังดูเรื่องสนุกอยู่รอบ ๆ ทนดูต่อไปไม่ไหว คนหนึ่งเริ่มพูดเกลี้ยกล่อมขึ้น “กว่าสมองของเด็กมันจะหายดีไม่ใช่เรื่องง่าย  อย่าตีนางเลย”

อีกคนหนึ่งก็พูดต่อ “ครอบครัวพวกเขาไม่ปฏิบัติกับลูกสาวบ้านญาติแบบเป็นมนุษย์หรอก น่าสงสารป่าวชิงจริง ๆ”

สายตากับคำพูดที่แฝงไปด้วยการตำหนิติเตียนนั้น ทำให้หลีโผจื่อกับโจซื่อกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง

หลีโผจื่อเป็นคนประเภทที่ยอมเสียหน้าไม่ได้ นางโกรธจนกระทืบเท้า จากนั้นก็จ้องเจียงป่าวชิงเขม็ง และหอบหายใจใบหน้าแดงก่ำ “เจ้าเข้าไปข้างในประเดี๋ยวนี้!”

เจียงป่าวชิงหดตัวหลบสายตาที่จ้องจะกินคนของหลีโผจื่อและโจซื่อ นางเช็ดน้ำตา จากนั้นก็เดินก้มหัวเข้าไปในบ้าน รีบหลบเข้าไปในบ้านดินเหนียวทันที

เมื่อเจียงโหย่วฉายเห็นเจียงป่าวชิงถูกท่านย่าเล่นงานอย่างรุนแรงจนร้องไห้หนีไป ตอนนี้เขาถึงจะยันตัวลุกขึ้นมาจากบนพื้นด้วยตัวเองอย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาก็มองเงาด้านหลังของเจียงป่าวชิง  ปากก็พ่นคำหยาบออกมาอย่างโหดเหี้ยม

โจซื่อปัดโคลนบนตัวให้เจียงโหย่วฉายอย่างปวดใจและพูดซ้ำ ๆ ว่า “โหย่วฉาย เจ้าไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่ไหมลูก ?”

หลีโผจื่อก็พูดกล่อมอยู่ด้านข้างเช่นกัน “พี่ฉายแก้วตาดวงใจของย่า หลังจากที่สติปัญญาของเจ้าเท้าเล็กกลับมาดีแล้ว นางก็ใจดำอำมหิตนัก ต่อจากนี้ถ้าหากเจ้าเห็นนางก็ตีนางเลย ถ้านางทำเจ้าโกรธอีกก็ตีเลย! ตราบใดที่ไม่ตีนางจนตายหรือพิการ เจ้าจะตีอย่างไรก็ได้ ย่าพร้อมรับผิดชอบให้เจ้า”

บนใบหน้าอ้วน ๆ ของเจียงโหย่วฉายฉายแววความชั่วร้ายออกมาให้เห็น จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างโหดเหี้ยม

……

เมื่อเข้ามาในห้องของตัวเอง ท่าทางน่าสงสารของเจียงป่าวชิงก็หายไปทันที นางลูบรอยแดงบนใบหน้าและลำคอของตัวเองโดยที่รู้สึกเจ็บเล็กน้อย

แต่แล้วอย่างไรหรือ ?

“หึ ๆ ๆ” เจียงป่าวชิงหัวเราะเยาะกับตัวเองอย่างไม่แยแส  นางตั้งใจให้หลีโผจื่อตีโดนตัวเอง  ถึงอย่างไรถ้าหากเทียบกับไม้พายของโจซื่อแล้ว ฝ่ามือเปล่าของหลีโผจื่อนั้น ไม่ว่าจะตีนางอย่างไร ก็ไม่สร้างความเสียหายมากนัก

ถือเสียว่าเป็นแผนการที่ทำให้ข้าศึกวางใจก็แล้วกัน

เมื่อก่อนตอนที่เจ้าของร่างเดิมยังปัญญาอ่อน คนของตระกูลเจียงจะใช้โอกาสตอนที่เจียงหยุนชานไม่อยู่ ตีเจียงป่าวชิงบ้าง ไม่ก็คนนั้นถีบนางบ้าง คนนี้แกล้งนางบ้าง พวกเขาไม่ปฏิบัติกับนางอย่างเป็นมนุษย์เลยสักนิด

ในตอนนั้นชาวบ้านยังคงคิดว่าเจียงป่าวชิงปัญญาอ่อน ถึงแม้ว่าพฤติกรรมที่ไม่ปฏิบัติกับเจียงป่าวชิงในฐานะมนุษย์จะไม่ถูกหลักศีลธรรมสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีใครอยากผดุงความยุติธรรมให้กับคนปัญญาอ่อนอย่างนาง

มาวันนี้เจียงป่าวชิงจงใจแสดงต่อหน้าผู้คนจำนวนมากว่านางหายจากอาการป่วยแล้ว ไม่ได้ปัญญาอ่อนอีกต่อไป  ดังนั้นนางจึงยอมถูกตีต่อหน้าผู้คนเพื่อให้คนที่มาดูเห็นว่าหลังจากที่นางกลายเป็นคนปกติแล้ว ตระกูลเจียงยังคงปฏิบัติกับนางอย่างทารุณ

ถ้าหากว่าตระกูลเจียงไม่กลัวว่าจะถูกคนในหมู่บ้านนินทาลับหลัง เช่นนั้นก็ให้พวกเขาไม่ปฏิบัติกับนางอย่างเป็นมนุษย์ต่อไปนั่นแหละดีแล้ว

ทว่าเมื่อดูจากผลลัพธ์ของวันนี้ ถือว่าหลีโผจื่อกับโจซื่อยังต้องการที่จะรักษาหน้าของตัวเองอยู่

ดี! ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะได้ลงมือง่ายหน่อย

เจียงป่าวชิงฮัมเพลงอย่างสบายใจ นางจับโดนตรงบริเวณรอยแดงอย่างไม่ระวัง จึงอดไม่ได้ที่จะสูดปากออกมาด้วยความเจ็บปวด  หลีโผจื่อยัยแม่เฒ่าแก่เอ๋ย ช่างลงมือได้รุนแรงมากมากจริง ๆ อายุเยอะแล้วแต่แรงยังมากถึงเพียงนี้ ช่างเป็นคนแก่ที่ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดสะใจจริง ๆ หรือว่าการที่นางแก่แล้วแต่ยังไม่ตายนั้นก็เพื่อรอที่จะสู้กับโจร ?

เจียงป่าวชิงนวดตรงบริเวณรอยแดงบนใบหน้าด้วยสีหน้าเหยเก นางโดนตีถึงขนาดนี้  ต่อไปจะปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบไม่ได้เด็ดขาด

เจียงป่าวชิงตัดสินใจที่จะแบกหน้าที่มีแผลถูกตีนั้นออกไปเดินรอบหมู่บ้าน เพื่อให้คนในหมู่บ้านได้เห็นว่าคนของตระกูลเจียงปฏิบัติต่อนางที่เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่เสียชีวิต และเพิ่งหายจากอาการป่วยอย่างไร

……

ตึง!

เสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงเหมือนก้อนหินก้อนเล็ก ๆ กระทบกับประตู

เจียงป่าวชิงลุกขึ้นจากบนเตียงอิฐพลางเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวข้างนอก

ตึง!

เสียงเหมือนก้อนหินกระทบประตูดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเสียงที่ไม่นุ่มนวล เหมือนกับมีคนถือหินอยู่ข้างนอกเพื่อหาทางแก้แค้นอะไรอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงตื่นตัวทันที จากนั้นนางก็มองออกไปด้านนอกจากรอยแยกหน้าต่างที่ชำรุด

สีท้องฟ้าในลานบ้านข้างนอกเริ่มมืดแล้วเล็กน้อย นางเห็นว่าที่รั้วตรงนั้นมีเงาคนผอม ๆ กำลังโผล่หัวออกมาครึ่งหนึ่ง

ในลานบ้านตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของซี่โครงตุ๋น ในห้องใหญ่มีเสียงโวยวายของเจียงโหย่วฉาย และเสียงปลอบขวัญของหลีโผจื่อกับโจซื่อดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ

ตอนนี้เจียงป่าวชิงยังไม่อยากมีปัญหาใหม่ นางจึงใช้โอกาสตอนที่ท้องฟ้าเริ่มที่จะมืดครึ้ม ก้มตัวและแอบย่องออกไปตรงรั้วนั้น

เงาเล็ก ๆ ผอม ๆ ที่อยู่หลังรั้วหดตัวและโผล่หัวออกมาครึ่งหนึ่ง เมื่อเจียงป่าวชิงเข้าไปดูใกล้ ๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นหวังอาซิ่งอย่างที่นางคาดเดาไว้จริง ๆ ด้วย

หวังอาซิ่งสังเกตเจียงป่าวชิงอย่างตื่นตระหนก “ป่าวชิง เมื่อสักครู่ข้าได้ยินเสียงทะเลาะรุนแรงจากด้านนอก แต่แม่ของข้าจับข้าไว้ไม่ให้ออกมาดู…  ข้าได้ยินมาว่าเจ้ายอมให้ย่าสองตีเจ้าหรือ ? เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

อาซิ่งหรี่ตาลง แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดสลัวแล้ว แต่นางก็ยังเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าและบนลำคอของเจียงป่าวชิงได้อย่างชัดเจน  และเมื่อเห็นดังนั้น นางก็หยุดหายใจไปชั่วขณะ

“ไอ้หยา! เหตุใดถึงได้ตีเจ้าแรงแบบนี้ ดูสิฟกช้ำไปหมดแล้ว…” อาซิ่งน้ำตาคลอเบ้าขณะที่นางพูดต่ออีกว่า “พี่หยุนชานเพิ่งไป พวกนางก็ตีเจ้าเลย  เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้นะ” พูดจบนางก็สูดน้ำมูกเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงกลับเป็นฝ่ายโอ๋หวังอาซิ่งแทน “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้านั้นไม่เจ็บเลย มีรอยบนหน้าบนคอบ้างดูดีออก เจ้าว่าไหม ?”

เจียงป่าวชิงไม่สามารถบอกหวังอาซิ่งได้ว่านางจงใจถูรอยฟกช้ำบนใบหน้าแรง ๆ เพื่อให้บาดแผลดูรุนแรงมากกว่าเดิมเล็กน้อย  แต่ในความเป็นจริง แม้ว่านางจะถูจนเป็นเช่นนี้ หากผ่านไปสามถึงห้าวันรอยก็จะหายไป และไม่เหลือรอยใด ๆไว้แม้แต่นิดเดียว

หวังอาซิ่งเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง “เจ้าไม่เจ็บจริง ๆ หรือ…?”

เจียงป่าวชิงพยักหน้าทว่ามันกระทบไปถึงบาดแผลจนทำให้รู้สึกเจ็บ  แต่อย่างไรเสีย เวลานี้หวังอาซิ่งอยู่ตรงหน้า เจียงป่าวชิงจึงอดกลั้นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมาแม้สีหน้าของนางจะบิดเบี้ยว

ท้องฟ้ามืดครึ้มลงพอสมควร หวังอาซิ่งจึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่แปลกประหลาดไปของเจียงป่าวชิง นางสูดหายใจดมกลิ่นซี่โครงที่ลอยมาจากในลานบ้านตระกูลเจียง ขณะค้นของสิ่งหนึ่งออกมาจากในกระเป๋ากางเกงอย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็วางไว้ในมือของเจียงป่าวชิง