ตอนที่ 13 ความมหัศจรรย์ของน้ำพุวิเศษ

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 13 ความมหัศจรรย์ของน้ำพุวิเศษ

แม้คุณแม่จี้จะพูดเช่นนั้น แต่ซูตานหงก็ลงจากเตียงเตาไปช่วยนาง

“วันนี้พี่สะใภ้ทั้งสองเรียนปักผ้าเป็นอย่างไรบ้าง” คุณแม่จี้พูด

“ฉันสอนเรื่องทุกอย่างที่ควรสอนกับพี่สะใภ้ทั้งสองคนแล้วค่ะ แต่ดูเหมือนพวกหล่อนจะไม่คิดว่าการปักผ้าเป็นเรื่องง่ายเลย” ซูตานหงบอก

คุณแม่จี้ได้ไปหาเฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานก่อนจะมาที่นี่ นางไม่แปลกใจเลยเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางมาที่นี่ก็เพื่อบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ในเมื่อเธอสอนพวกหล่อนแล้ว ก็เป็นเรื่องของพวกหล่อนแล้วล่ะว่าจะเรียนรู้หรือไม่ ฉันเคยเห็นการปักผ้าของเธอแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะกินข้าวชามนี้ได้” คุณแม่จี้กล่าว

นางเคยเย็บผ้ามามากเช่นกัน แต่การเย็บผ้าเหล่านั้นแตกต่างจากการปักผ้าโดยสิ้นเชิง

ทันทีที่คุณแม่จี้มองมังกรสีทองที่เธอกำลังปัก นางก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมสองสะใภ้ถึงไม่สามารถปักได้ ดูมังกรทองที่สะใภ้สามกำลังปักสิ มันช่างทรงพลังอำนาจนัก

ไม่สิ…ลายปักนั้นงดงามอย่างกับมีชีวิต และยังดูไม่ขัดตาอีกด้วย!

“รอบนี้ฉันปักมังกรคู่คาบแก้วแล้วพี่หงบอกว่ามันจะขายดีกว่าน่ะค่ะ” ซูตานหงเอ่ย

คุณแม่จี้พยักหน้าพูด “ถ้างั้นเธอก็ปักผ้าไปนะ แม่จะกลับไปก่อน”

ซูตานหงส่งคุณแม่จี้และยัดกล่องครีมที่ยังไม่ได้แกะกล่องใส่มือนาง ก่อนพูดว่า “คุณแม่คะ ครีมกล่องนี้ให้คุณแม่เก็บไว้ใช้กับคุณพ่อนะคะ”

“เธอเก็บไว้เถอะ แม่กับคุณพ่อไม่ได้ใช้มันหรอก” คุณแม่จี้รีบเอ่ย

“คุณแม่รับไปเถอะค่ะ” ซูตานหงบังคับให้แม่สามีนำกลับไป คุณแม่จี้จึงนำครีมกลับบ้านก่อนจะพูดกับคุณพ่อจี้ “คุณดูสิ สะใภ้สามให้ครีมมาอีกกล่องแล้ว”

“หล่อนรู้ว่าคุณเอาครีมให้สองครอบครัวนั้นใช้น่ะ” คุณพ่อจี้ตอบ

คุณแม่จี้ได้ฟังก็ตกใจ “หล่อนรู้แล้วก็ยังไม่โกรธฉันและให้ครีมมาอีกกล่องอย่างนั้นเหรอ?”

“สะใภ้สามกตัญญูต่อเรานะ เราเก็บครีมกล่องนี้ไว้ใช้เถอะ” คุณพ่อจี้บอก

“งั้นก็ได้” คุณแม่จี้พยักหน้า หลังจากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับการเรียนปักผ้า

“ทั้งสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองไม่สามารถเรียนปักผ้าได้จริง ๆ นะคะ”

“มันเป็นเรื่องของพวกหล่อน คุณไม่ต้องไปยุ่งหรอก ถ้าคุณมีเวลาก็ช่วยดูแลสวนหลังบ้านของบ้านสามเถอะ ใช้โอกาสนี้ดูว่าจะปลูกผักได้ไหม สะใภ้สามกำลังยุ่งอยู่กับงานปักผ้า หล่อนไม่มีเวลาดูแลที่ดินผืนนั้นหรอก” คุณพ่อจี้เอ่ย

“ตกลง ฉันจะไปที่นั่นในตอนบ่าย” คุณแม่จี้พยักหน้า

ซูตานหงไม่คาดคิดว่าคุณแม่จี้จะกลับมาในตอนบ่ายวันนี้เพื่อมาช่วยพรวนดินในสวนหลังบ้านให้เธอ หญิงสาวอยากจะทำด้วยตัวเองแต่ก็ถูกนางห้ามไว้ เธอจึงทำได้เพียงปล่อยให้คุณแม่จี้ทำ

“เธอไปปักผ้าเถอะ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ งานพวกนี้แม่ทำได้” คุณแม่จี้พูดขณะขุดดิน ซูตานหงจึงกลับไปที่ห้องของเธอและนั่งปักผ้าต่อไป วันส่งท้ายปีเก่ากำลังมาถึงในไม่ช้า ซึ่งงานนี้น่าจะเป็นงานสุดท้ายที่เธอจะปักในปีนี้

อีกไม่นานก็จะมีหิมะตก และตกหนักมากจนปกคลุมทั้งภูเขา มันอันตรายมากหากไม่เก็บตัวอยู่ในบ้าน

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คุณแม่จี้ก็ไม่สนใจและทำงานในสวนหลังบ้านของซูตานหง พื้นที่สวนมีไม่มากนัก จึงไม่ใช่งานหนักสำหรับคุณแม่จี้

เมื่อคุณแม่จี้กลับไปแล้ว ซูตานหงจึงจินตนาการว่าตนเองกำลังใส่เมล็ดผักในสวนที่ถูกปกคลุมด้วยฟางข้าวลงไปในน้ำพุ เธอไม่รู้ว่าน้ำพุวิเศษมีประโยชน์หรือไม่ แต่หลังจากดื่มไปสองสามวันเธอก็รู้สึกว่าสุขภาพตัวเองดีขึ้นมาก?

ครั้งที่แล้วเธอนึกถึงน้ำพุนี้ขึ้นมาในหัว ประกอบกับรู้สึกขี้เกียจที่จะลุกไปดื่มน้ำ เธอก็เลยดื่มน้ำพุนี้ด้วยการนึกถึงมันในระหว่างที่ปักผ้า ตอนนี้เธอจึงอยากลองดูว่าจะได้ผลกับเมล็ดผักเหล่านี้หรือไม่

วันรุ่งขึ้นเมื่อซูตานหงตื่นขึ้นมา เธอก็คิดถึงเมล็ดผักที่รดน้ำไว้จึงออกไปดูที่สวนหลังบ้าน และเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเกิดขึ้น ถึงไม่ชัดเจนมากนักแต่ก็ถือได้ว่าพวกมันงอกแล้ว

ซูตานหงไม่เคยปลูกผักมาก่อนจึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แต่คุณแม่จี้ถึงกับประหลาดใจเมื่อมาเห็นเข้า “ผักงอกเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”

“แค่คืนเดียวถือว่าเร็วเหรอคะ?” ซูตานหงถามอย่างไม่รู้ไม่ชี้

“ปกติกว่าเมล็ดจะงอกต้องใช้เวลาสองหรือสามวัน ตอนนี้เข้าหน้าหนาวแล้วแถมอากาศยังเย็นเกินกว่าที่มันจะงอกได้ ผ่านไปแค่คืนเดียวเมล็ดก็งอกนี่นับว่าไม่เร็วเหรอ?” คุณแม่จี้กล่าว

แต่ไม่ว่าคุณแม่จี้จะสงสัยมากขนาดไหน ซูตานหงก็ยืนกรานว่าตนเองไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร

ในที่สุดคุณแม่จี้ก็ไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก

ซูตานหงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกันก็นึกระวังอยู่ในใจ น้ำพุนี่ได้ผลดีกับเมล็ดผักด้วย ช่างเหนือความคาดหมายของเธอจริง ๆ

ก่อนหน้านี้ตัวเธอเองก็ดื่มน้ำพุวิเศษเป็นเวลานานเช่นกันก่อนจะพบว่ามันให้ผลดีต่อร่างกาย และเมื่อเอาไปรดเมล็ดผักมันกลับทำให้เมล็ดงอกได้เพียงชั่วข้ามคืน ฉะนั้นแล้วในอนาคตเธอคงไม่อาจใช้มันอย่างพร่ำเพรื่อได้

ไม่อย่างนั้นหากมีคนรู้เรื่องนี้เข้าแล้วเธอจะอธิบายกับพวกเขาอย่างไรล่ะ?

เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ซูตานหงได้รับเงินและจดหมายที่จี้เจี้ยนอวิ๋นส่งกลับมา ซึ่งคุณแม่จี้เป็นคนนำมาให้เธอจากคณะกรรมการหมู่บ้าน

“ขอบคุณค่ะแม่” นี่เป็นครั้งแรกที่ซูตานหงได้รับจดหมายจากจี้เจี้ยนอวิ๋น หัวใจของเธอเต้นระรัวพร้อมกับคลี่ยิ้มเขินอายใส่คุณแม่จี้ผู้เป็นคนรับจดหมายมาให้

คุณแม่จี้ยิ้มพลางพูดว่า “ไปอ่านจดหมายเถอะ แม่จะไปดูแปลงผัก”

หลังจากได้รับจดหมายแล้ว ซูตานหงก็กลับเข้าห้องและเก็บเงินเดือนหลายสิบหยวนเข้าที่ก่อนจะอ่านจดหมาย

คำขึ้นต้นจดหมายดูเป็นทางการอย่างยิ่ง พอถึงเนื้อความถัดมา จี้เจี้ยนอวิ๋นของครอบครัวเธอก็เขียนแสดงความคิดถึง เขาบอกว่าคิดถึงเธอมากและถามว่าเธอสบายดีไหม? เขาได้รับเสื้อกันหนาวและเสื้อผ้าใหม่ที่เธอส่งให้แล้ว เพื่อนๆ หลายคนอิจฉาเขามากที่ได้เสื้อผ้าใหม่ เสื้อผ้าเหล่านั้นช่างพอดีกับตัวเขาแถมเสื้อกันหนาวยังอุ่นมากอีกด้วย

แล้วจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ถามถึงพ่อแม่ของเขาว่าพวกท่านมีสุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่ พร้อมทั้งถามเรื่องอื่นๆ ในครอบครัว

ไม่ว่าเนื้อความอื่น ๆ ถัดจากนั้นจะเป็นอย่างไร เพียงคำบอกรักที่อยู่ต้นจดหมายก็ทำให้ซูตานหงย้อนกลับไปอ่านซ้ำ ๆ อยู่สามครั้ง จากนั้นก็เก็บจดหมายด้วยความสุขใจ

เธอหยิบกระดาษเขียนจดหมายที่ซื้อครั้งล่าสุดออกจากตู้แล้วลงมือเขียนด้วยปากกาที่เธอไม่คุ้นเคย

หลังเขียนจดหมายบอกจี้เจี้ยนอวิ๋นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีและเธอก็คิดถึงเขาจนได้หนึ่งหน้ากระดาษเต็มแล้ว ซูตานหงก็เริ่มคิดว่าในครั้งนี้เธอจะส่งอะไรไปให้จี้เจี้ยนอวิ๋นดี?

ในสภาพอากาศหนาวเย็นแบบนี้ ผู้ชายตัวใหญ่จะต้องกินอาหารดี ๆ ให้อิ่มท้องก่อนที่จะทำงานหนักได้

ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นซูตานหงจึงเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อเนื้อวัวและเครื่องปรุงมากมาย เพื่อที่จะทำเนื้อแดดเดียวเป็นจำนวนมาก

เนื้อวัวเหล่านี้ยังใส่เครื่องยาจีนบางชนิดที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกายเข้าไปด้วย จึงทำให้มีกลิ่นรสของสมุนไพรเจืออยู่ แต่ต้องยอมรับว่ามันทำให้เนื้อแดดเดียวมีรสชาติอร่อยและกลิ่นหอมน่ารับประทานอย่างมาก แม้แต่คุณพ่อจี้ก็ยังชอบกิน

เมื่อพัสดุแห่งความรักนี้ถูกส่งไปที่นั่นพร้อมกับจดหมาย จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เพิ่งทำงานเสร็จและกลับมาด้วยสภาพเหนื่อยล้า

“เจี้ยนอวิ๋น นี่พัสดุจากทางบ้านนาย ภรรยาของนายเป็นคนส่งมาน่ะ” เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเอ่ยและเดินมาหาพร้อมกับกล่องพัสดุในมือ

จี้เจี้ยนอวิ๋นที่กำลังจะล้างหน้าได้ยินเข้าก็โยนผ้าขนหนูทิ้งและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนคว้าห่อพัสดุไปจากมือของเพื่อนคนนั้น

“รีบร้อนทำไม ฉันไม่ปล้นของ ๆ นายหรอกน่า” เพื่อนคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม

“เดี๋ยวฉันจัดการเอง” จีเจียนหยุนพูดพลางส่งสายตาไล่เพื่อนของเขาให้ออกไป

แต่เพื่อนของเขาไม่ได้จากไป กลับถามขึ้นมาว่า “คราวนี้เธอส่งอะไรให้คุณ”

เขาได้กลิ่นหอมโชยออกมาจากพัสดุกล่องนี้

จี้เจี้ยนอวิ๋นแกะห่อพัสดุออก ข้างในนั้นมีห่อกระดาษสองห่อและจดหมายฉบับหนึ่ง

“พอเปิดออกมาแล้วหอมมากเลย!” เพื่อนคนนั้นจ้องมองของที่อยู่ข้างใน

จี้เจี้ยนอวิ๋นมองจดจ่อที่จดหมาย เขาถือจดหมายอ่านโดยไม่สนใจเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ และเมื่อเขาอ่านจดหมายของภรรยาทวนอยู่สามสี่รอบและหันกลับไป ก็พบว่าเพื่อนคนนี้ได้เปิดห่อเนื้อแดดเดียวและเริ่มสวาปามมันแล้ว!

“เจี้ยนอวิ๋น เนื้อแดดเดียวนี่หอมน่ากินมากเลย แม่นายเป็นคนส่งมาเหรอ?” เพื่อนคนที่กินเนื้อแดดเดียวเผ็ดเอ่ยขึ้น

“ภรรยาฉันส่งมาให้ทันทีที่ทำเสร็จน่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบหน้าตาย แต่แววตาของเขากลับดูมีความสุขอย่างไม่ปิดบัง

“ไอ้เด็กดี นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่นายได้ของจากที่บ้านหลังจากครั้งนั้นในเดือนที่แล้ว ดูเหมือนว่ากลับบ้านคราวที่แล้วนายจะทำตัวดี ๆ มาใช่ไหม?” ถงต้าเหอเพื่อนคนนี้เอ่ย “แล้วปีใหม่นี้นายจะขอกลับบ้านหรือเปล่า?”

____________________