ตอนที่ 12 ยอมแพ้

“ซื้อยา? ยาประเภทไหนกันคะ?” ซูตานหงถาม

“มัน…เป็นแค่ยาต้มที่สามารถช่วยให้มีลูกได้” พี่สะใภ้รองซูลังเลไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา

ซูตานหงเข้าใจได้ในทันที

“ไม่ใช่คุณแม่ที่เป็นคนพูดว่าฉันลักลอบพบผู้ชาย แต่คุณแม่สงสัยเพราะไปฟังคำพูดของพี่สะใภ้ใหญ่มา!” สะใภ้รองซูกัดฟันแน่น

“พี่สะใภ้ใหญ่ยั่วยุอีกแล้วหรือคะ?” ซูตานหงขมวดคิ้ว

“ไม่ใช่หล่อนแล้วจะเป็นใคร? ตอนที่คุณแม่ทุบตีพี่ พี่เห็นหล่อนแง้มหน้าต่างออกแอบดูแล้วก็หัวเราะอยู่ตรงนั้น!”

ซูตานหงพยักหน้าแล้วจึงบอกว่า “พี่ต้องซักผ้าด้วยน้ำร้อนนะคะ ถ้าร่างกายของพี่เย็นขึ้นมาจะยิ่งมีลูกได้ยาก”

พี่สะใภ้รองอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “จริงหรือ?”

“จริงค่ะ” ซูตานหงลุกขึ้นแล้วบอกว่า “ฉันขอไปคุยกับแม่ก่อนนะคะ”

เมื่อเธอเดินมาที่ห้องครัว คุณแม่ซูก็หั่นซี่โครงและเนื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังนับจำนวนอีกครั้ง

ซูตานหงจึงเอ่ยขึ้น “แม่คะ พี่สะใภ้รองบอกหนูว่าหล่อนไม่ได้ต้องการจะลักลอบออกไปพบผู้ชาย แต่เธอแค่ต้องการจะขอให้คนข้างบ้านเข้าไปในเมืองเพื่อหายามาให้หล่อนค่ะ เพราะหล่อนอยากท้อง”

“เฮอะ ไม่ต้องไปฟังคำแก้ตัวของมันหรอก” คุณแม่ซูเอ่ยเยาะ

“ผู้ชายคนนั้นอยู่บ้านติดกันแค่นี้ ในเมื่อตอนนี้พวกเขายังไม่ได้พูดอะไร แม่แค่ไปถามบ้านนั้นก็ได้ไม่ใช่หรือคะ?” ซูตานหงกล่าว

“แกคิดว่าแม่ไม่ได้ไปหาเหรอ? เจ้าโง่นั่นออกไปข้างนอก!” คุณแม่ซูส่งเสียงฮึ่ม ๆ

“ถูกต้องค่ะ เขาต้องเข้าไปในเมือง เพราะแม่ห้ามไม่ให้พี่สะใภ้รองออกไปข้างนอก หล่อนถึงต้องขอให้คนอื่นออกไปหาซื้อยามาให้ แม่แค่ไปถามตอนที่เขากลับมาถึงแล้ว” ซูตานหงพูดขึ้นอีกครั้งว่า “แม่อย่าให้พี่สะใภ้รองซักผ้าในน้ำเย็นในตอนที่อากาศหนาวขนาดนี้เลยค่ะ จะทำให้ตัวเย็นไม่สบายได้ง่ายๆ แล้วจะยิ่งมีลูกยากขึ้นไปอีก”

“ทำไมถึงมีปัญหาเยอะแยะนัก? ใครบ้างที่ไม่เคยต้องทำแบบนี้? ตอนที่แม่ของแกคลอดพี่ชายใหญ่ของแกออกมา วันรุ่งขึ้นฉันยังต้องออกไปทำงานในสวนเลย!” คุณแม่ซูเอ่ยออกมาหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น

“แม่คะ ถ้าแม่ไม่คิดถึงตัวพี่สะใภ้รอง แต่แม่ต้องคิดถึงพี่รองให้มาก แต่ละวันพี่รองแสดงความกตัญญูให้กับแม่ตั้งมากเท่าไร? พี่ใหญ่ให้เทียบกับพี่รองไม่ได้เลย แต่พี่ใหญ่มีลูกชายสามคนแล้ว ถ้าพี่รองไม่มีลูก แม่ไม่สงสารพี่รองหรือคะ?” ซูตานหงบอก

คุณแม่ซูเอ่ย “เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้ต้องการให้พี่รองของแกหย่าไงเล่า!”

“แม่ พี่รองกับพี่สะใภ้รักใคร่กันดี ถ้าแม่บอกให้เขาหย่า เขาจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือทำให้พี่สะใภ้รองสามารถตั้งท้องได้ จากนั้นพี่รองจะต้องรู้สึกขอบคุณแม่ไปตลอดชีวิตและเคารพนับถือแม่ไปตลอดชีวิตด้วย” ซูตานหงกล่าว

หลังจากคุยเรื่องนี้จบแล้วซูตานหงก็ไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป เธอเอาครีมตลับหอยกับครีมเกล็ดหิมะออกมาและบอกว่า “แม่คะ นี่เป็นสิ่งที่ลูกสาวของแม่แสดงความกตัญญู แม่เก็บไว้ทานะคะ”

“ครีมตลับหอยกับครีมเกล็ดหิมะนี่ไม่ใช่ของถูก ๆ แกไปหาเงินมาจากที่ไหนกัน ทำไมอยู่ๆ แกถึงใจกว้างนัก?” คุณแม่ซูรับของมาและเอ่ยปากด้วยความพอใจ

“หนูจะไปหาเงินมาได้ยังไงล่ะคะ? เอาล่ะ หนูกลับก่อนนะคะ” ซูตานหงบอก

เธอไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบ้านซูได้ ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะมากินข้าวที่นี่ แต่ตอนนี้กลับไปบ้านตัวเองน่าจะดีกว่า

วันรุ่งขึ้นจี้มู่ตานนัดเจอกับเฝิงฟางฟาง เมื่อได้เห็นจี้มู่ตานมาด้วยซูตานหงก็ไม่ได้แปลกใจอะไร แต่เมื่อได้กลิ่นครีมตลับหอยกับกลิ่นครีมเกล็ดหิมะจากตัวหล่อนสองคนแล้ว ซูตานหงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าคุณแม่จี้จะแบ่งครีมตลับหอยกับครีมเกล็ดหิมะให้กับทั้งสองคน

“ตานหง เธอกำลังจะเก็บถั่วหรือ? นี่เป็นถั่วของปีที่แล้วใช่ไหม? ที่บ้านพี่สะใภ้ใหญ่เพิ่งจะเก็บเกี่ยวถั่วของปีนี้มา เดี๋ยวฉันจะเอามาให้เธอนะ” เฝิงฟางฟางบอกยิ้มๆ

“ตานหง แม่บอกว่าเธอหาเงินมาได้หนึ่งร้อยหยวนจากการปักผ้า เป็นความจริงหรือ?” จี้มู่ตานถามหลังจากที่เดินเข้ามา

“จริงค่ะ” ซูตานหงบอกและเหลือบมองไปที่เธอ

จี้มู่ตานเป็นคนในหมู่บ้าน ความจริงหล่อนเป็นญาติห่างๆ กับบ้านจี้แต่ว่าห่างออกไปห้าขั้นตระกูล

เมื่อได้ยินเช่นนี้แววตาของเฝิงฟางฟางก็เป็นประกาย นับประสาอะไรกับจี้มู่ตาน

ซูตานหงเองก็ไม่เกรงใจและบอกพวกหล่อนไปว่า “ไปหยิบสะดึงที่อยู่บนเตียงเตาด้านในให้มาทีค่ะ”

เฝิงฟางฟางเข้าไปเอาสะดึงปักผ้าออกมาอย่างระมัดระวัง ด้านบนของผ้าปักที่ถูกใส่ไว้บนสะดึงยังไม่มีรูปแบบใดๆ

จี้มู่ตานยกม้านั่งออกมา

หลังจากซูตานหงนั่งลงแล้วจึงเอ่ยว่า “งานปักผ้านี้ไม่ใช่งานที่ง่าย ฉันเองต้องแอบเรียนเงียบ ๆ อยู่หลายปี และนี่เป็นเพียงความสำเร็จเล็กน้อยเท่านั้น ในเมื่อพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองต้องการจะเรียน ฉันก็จะไม่ปิดบังอะไรค่ะ ทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันจะปักให้ดูนะคะ”

“ตกลง” เฝิงฟางฟางและจี้มู่ตานรีบพยักหน้าอย่างเร็วเมื่อเห็นว่านิสัยของซูตานหงหลังจากที่เธอนั่งลงตรงหน้าสะดึงปักผ้าแล้วดูแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน

ซูตานหงหยิบเข็มปักผ้าขึ้นมาแล้วเริ่มงานปัก “ครั้งนี้ฉันต้องการจะปักลายมังกรคู่คาบแก้วนะคะ เป็นงานปักที่ไม่ง่ายเลยและต้องใช้ความพยายามกับพลังใจอย่างมาก”

ในตอนที่พูดนั้น เธอไม่ได้หยุดงานในมือและเริ่มปักแต่ละฝีเข็มลงไปด้วย เมื่อต้องเปลี่ยนเส้นด้ายเธอก็เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ไม่มีท่าทีว่าไม่คุ้นเคยแต่อย่างใด

เฝิงฟางฟางยืนดูกับจี้มู่ตานอยู่ครึ่งชั่วโมง หลังจากเฝ้าดูอยู่ครึ่งชั่วโมง หัวมังกรที่ดูสง่างามเหมือนจริงก็ค่อย ๆ ปรากฏรูปร่างขึ้นมาตามรอยปักของเธอ

“หัวมังกรนี้จะมีความซับซ้อนมาก ดังนั้นจะปักได้ค่อนข้างช้า ตอนที่ปักพวกพี่ควรจะเน้นที่เขาของหัวมังกร นี่เป็นกุญแจหลัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือดวงตาของมังกร จุดสำคัญของลวดลายมังกรอยู่ตรงนี้ ถ้าปักไม่ดี มังกรนี้จะกลายเป็นมังกรที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความเกรี้ยวโกรธใด ๆ อยู่เลย” ซูตานหงเอ่ยในขณะที่ปักหัวมังกร

เมื่อเห็นว่าพวกหล่อนไม่พูดอะไรออกมา ซูตานหงจึงเหลือบตาขึ้นมามองและถามว่า “มีอะไรหรือคะ? มีความเห็นอะไรจะเสนอไหมคะ?”

“สะใภ้สาม เธอ…เธอปักมันออกมาได้ยังไง? ฉันได้ยินมาว่าการปักผ้าต้องใช้ถ่านวาดภาพออกมาก่อน” เฝิงฟางฟางที่ไปหาข้อมูลเรื่องนี้มาโดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อวานนี้พูดขึ้น

จี้มู่ตานเองก็มึนงงและรู้สึกตกใจ หล่อนไม่รู้ว่าซูตานหงสามารถปักผ้าได้ตั้งแต่เมื่อไร ในเมื่อแม้แต่ถักไหมพรมเธอยังทำไม่เป็นเลย?

ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังปักหัวมังกรออกมาได้สวยงามถึงขนาดนี้เลยหรือ?

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันจะไปหาภาพวาดจากถ่านของมังกรคู่คาบแก้วมาจากไหนล่ะคะ?” ซูตานหงบอกพร้อมกับมองไปที่พวกเธอ “อีกอย่าง แค่คิดอยู่ในหัวของเราก็ได้ไม่ใช่หรือคะ?”

คิดอยู่ในหัวหรือ?

เฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานต่างมองหน้ากัน มังกรแบบนี้พวกหล่อนจะคิดออกมาได้อย่างไรกัน? พวกหล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามังกรคู่คาบแก้วหน้าตาเป็นอย่างไร?

“ฉันช่วยอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้ค่ะ นี่เป็นวิธีปักผ้าของฉัน” เมื่อเห็นพวกหล่อนเป็นแบบนี้ ซูตานหงได้แต่ส่ายหน้าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้

ไม่แปลกที่ช่างปักผู้สอนการปักผ้าให้เธอในชาติก่อนเคยเอ่ยปากว่าเธอเป็นคนมีพรสวรรค์ ดูเหมือนว่าไม่มีใครสามารถปักผ้าที่อยู่ๆ ก็นึกภาพขึ้นมาจากในอากาศได้ เธอคิดว่าได้อธิบายออกไปอย่างชัดเจนมากแล้วแต่สะใภ้ทั้งสองยังดูสับสนมึนงงอยู่

ซูตานหงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ ในเมื่อพวกหล่อนไม่สามารถเรียนรู้ได้ นั่นก็แค่หมายความว่าพวกหล่อนไม่สามารถกินข้าวถ้วยนี้ได้เท่านั้นเอง

หญิงสาวทำโจ๊กใส่กะหล่ำดองไม่กี่ชิ้นแบบง่ายๆ เป็นอาหารมื้อกลางวัน จากนั้นจึงลงมือปักผ้าต่อ

คุณแม่จี้เดินมาดูสถานการณ์

“สวัสดีค่ะคุณแม่” ซูตานหงยิ้มทัก

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องมากังวลกับแม่ เธอปักผ้าของเธอต่อเถอะ” คุณแม่จี้รีบบอก

…………………………………