บทที่ 3 เกิดใหม่ในป่ารกร้าง Ink Stone_Romance
ทางทิศตะวันออกนั้นขาวโพลน ท้องฟ้ากว้างใหญ่ยังคงประดับประดาด้วยพระจันทร์เสี้ยว ทุ่งหญ้าสูงเท่าเอวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สีเหลืองของหญ้าที่เหี่ยวเฉาโผล่ขึ้นมาท่ามกลางหมอกควัน มีน้ำค้างแข็งชั้นบางๆ แต่งแต้มอยู่ด้านบน
ในทุ่งหญ้าอันเงียบสงัด จู่ๆ เสียงซู่ซ่าก็ดังขึ้น ตามติดด้วยเสียงเดินกรอบแกรบผ่านกอหญ้าแห้ง ไม่นาน ชายเนื้อตัวมอมแมมคนหนึ่งคลานออกมา รูปร่างของเขาผอมเพรียว ผ้ากระสอบที่ขาดวิ่นห้อยต่องแต่งอยู่บนร่างกาย มือเท้าสีดำเล็กๆ เผยออกมาด้านนอก ผมที่ยุ่งเหยิงบดบังใบหน้า ดูจากสัดส่วนและแขนขาแล้ว เขายังเป็นคนหนุ่มแน่น
ชายหนุ่มถือไม้ไผ่ที่มีปลายแหลมอยู่ในมือ คุกเข่าลงตรงหน้ากองดินเล็กๆ ที่ยื่นตัวสูงขึ้นมาเหนือพื้นแล้วเริ่มขุด
เมื่อมองไปรอบๆ ที่บริเวณนี้มีกองดินเล็กๆ เจ็ดกอง เนื้อดินยังคงสดใหม่ แต่ละกองดินล้วนมีไม้ไผ่ปักอยู่
หนุ่มน้อยเปิดหน้าดินกองหนึ่งออกด้วยความรวดเร็ว เมื่อเห็นชิ้นส่วนเสื้อผ้าโผล่ออกมาจากข้างใน มุมปากยกยิ้มน้อยๆ รีบดำเนินการเร็วขึ้น ไม่ช้าศพของชายที่ถูกห่อด้วยเสื่อก็ถูกดึงขึ้นมาจากดิน
เศษดินเปื้อนเต็มศีรษะของศพเพศชาย ใบหน้าขาวซีด ไม่มีร่องรอยของความเสียหายเลย เด็กหนุ่มรู้สึกยินดี เอื้อมมือลูบคลำหน้าอกและรอบเอวของศพนั้น พบหยกชิ้นหนึ่งโดยไม่คาดฝัน
เขาวางหยกลงบนฝ่ามือแล้วลูบไล้ไปมา สำรวจดูด้วยแสงอันน้อยนิด เนื้อหยกไม่งามนัก หากจะแลกหนังแกะสักผืนก็คงแลกไม่ได้ แต่ไม่แน่ว่าอาจแลกข้าวฟ่างมาได้บ้าง หนุ่มน้อยเอาหยกยัดเข้าไปในหน้าอก เอื้อมมือออกไปถอดเสื้อคลุมของศพชาย จากนั้นก็พันศพด้วยเสื่ออย่างดีแล้วยัดกลับเข้าไปในหลุม เอาดินฝังกลบ หลังจากโค้งคำนับสองสามที หยิบไม้ไผ่แล้วเริ่มขุดกองดินกองต่อไป
ไม่นานก็เห็นชายเสื้อสีแดงโผล่ออกมา ชายเสื้อสีแดงชิ้นนี้แวววาวเป็นอย่างยิ่ง หนุ่มน้อยอุทานดัง “เอ๊ะ” ด้วยความประหลาดใจ เขาเอามือที่เปื้อนดินถูๆ บนตัว แล้วจึงเอื้อมมือออกไปลูบคลำชายเสื้อนั้น
ผ้าไหมชั้นดี ช่างลื่นมือยิ่งนัก!
ชายหนุ่มดีใจมาก เขาลงมือขุดด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ใช้ไม้ไผ่ขูดกองดินเบาๆ ให้ศพทั้งตัวโผล่ออกมา
หลังจากคลี่เสื่อออกแล้วจึงพบว่ามันเป็นศพของหญิงสาว มันไม่ต่างจากศพชายเมื่อครู่มากนัก ยังคงไม่บุบสลาย ใบหน้าซีดขาว และบนศีรษะก็มีเศษดินเปื้อนติดอยู่
ความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่มอยู่ที่อาภรณ์บนศพหญิงสาว มันเป็นชุดแต่งงานผ้าไหมสีแดงขนาดใหญ่ ด้านบนมีลายปักดอกไม้ด้วยด้ายสีฟ้าและสีทอง มีลูกปัดหยกอยู่ตรงกลางดอกไม้ แม้จะมีขนาดเล็กแต่มันส่องประกายวิบวับ อีกทั้งเป็นเนื้อหยกชั้นยอด
หนุ่มน้อยทำความสะอาดชายผ้าส่วนที่เปื้อนโคลนอย่างระมัดระวัง ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกำจัดออกจนหมดสิ้น จากนั้นก็เปลื้องผ้าออกจากศพตามปกติวิสัย
ครั้งนี้เขารู้สึกผิดปกติเล็กน้อย ศพเหล่านี้ถูกฝังมาหนึ่งวันแล้ว เนื้อตัวแข็งทื่อ ขณะที่เปลื้องผ้าออกจากศพชายเมื่อครู่ก็ไม่ต่างอะไรจากทุกครั้ง หากแต่เปรียบเทียบกันแล้ว อวัยวะของศพหญิงนี้กลับมีความอ่อนนุ่ม หรือว่าหลังจากที่ผู้หญิงตายแล้วศพจะนุ่มกว่าผู้ชาย?
ชายหนุ่มครุ่นคิด ขณะนี้เสื้อผ้าทั้งหมดอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้ว เขาจ้องมองใบหน้าซีดขาวของหญิงสาวผ่านผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง นางไม่ได้ขี้เหร่แต่ก็ไม่สวยเหมือนเหล่าหญิงงามที่เขาเคยพบเจอ สันจมูกตรงเกินไป ละหน้าผากก็อวบอิ่มเกินไป หรืออาจเป็นเพราะตายแล้วใบหน้าจึงดูไม่อ่อนโยนเหมือนผู้หญิงเลยสักนิด สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยมา จู่ๆ เขาก็รู้สึกหนาวเล็กน้อย รีบห่อชุดแต่งงานด้วยเสื้อผ้าที่ได้มาจากศพชายเมื่อครู่ ทำเป็นถุงใส่ไว้แล้วสะพายอยู่ด้านหลัง จากนั้นจึงก้มตัวดึงม้วนปลายเสื่ออีกด้าน เตรียมห่อศพหญิงกลับไป
ทันใดนั้น! ข้อเท้าก็แน่นตึง
หนุ่มน้อยร้องอุทาน รีบก้มลงมอง และต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบว่ามือที่ขาวซีดของศพหญิงนั้นกำลังคว้าข้อเท้าของตัวเองไว้แน่น อีกทั้งศพหญิงสาวยังจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เปิดกว้างครึ่งหนึ่ง ดวงตาชัดเจนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของต้นหญ้าดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มเสียขวัญ ยื่นมือคลายมือของศพหญิงออก เรี่ยวแรงที่คว้าเขานั้นมีไม่มากจึงหลุดพ้นได้อย่างง่ายดาย
เขาไม่กล้าที่จะอยู่ตรงนี้อีกต่อไป เดินโซซัดโซเซเข้าไปในพงหญ้า
ศพหญิงสาวจ้องไปยังทิศทางที่เขาหายลับไป ด่อทออยู่ในใจ ‘เจ้าเด็กเวร ไม่รู้หรือไงว่าเอาสมบัติของคนอื่นไปก็เท่ากับล้างซวยให้คนอื่น ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียจริง!’
“ศพหญิงสาว” นอนแผ่หลาอยู่บนพื้น มองดูท้องฟ้ากว้างใหญ่สุดสายตา มีต้นหญ้าสองสามต้นบดบังวิสัยทัศน์ ทันใดนั้นในใจรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทั้งๆ ที่นางได้รับพิษแล้ว อีกทั้งยังได้เจอหน้าหมินฉือก่อนจะสิ้นใจด้วย
ขณะที่นางกำลังกัดฟันสาปแช่งหมินฉืออยู่นั้น ที่จริงนางกำลังเกลียดแค้นตัวเองที่รับพิษเร็วไป ถ้าหากช้ากว่านี้อีกสักหน่อย นางก็จะมีแรงใช้มีดแทงหมินฉือแล้ว!
นางตายตาไม่หลับจริงๆ!
ซ่งชูอีถอนหายใจ ร่างกายรู้สึกถึงความหนาวเหน็บในอากาศ ความสงสัยในใจยิ่งเพิ่มพูน หรือว่าหมินฉือขุ่นเคืองที่ถูกนางสาปแช่งถึงบรรพบุรุษ จึงนำร่างของนางมาทิ้งที่กลางป่าเช่นนี้?
สมกับเป็นเดียรัจฉานในร่างมนุษย์เสียจริง!
ซ่งชูอีสาปแช่งบรรพบุรุษสิบแปดชั่วอายุคนของหมินฉืออยู่ในใจรอบแล้วรอบเล่า ก่อนที่จะคว้าเสื่อใต้ร่างของตัวเอง พยายามครุ่นคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากพิจารณาอยู่นาน ซ่งชูอีก็ขยับตัวอีกครั้งเพื่อพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่หลังจากลองอยู่หลายครั้งก็กลับไร้กำลังมากพอ นางได้แต่ยอมรับชะตากรรมและนอนต่อไป จ้องมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนสี น้ำค้างแข็งบางๆ บนหญ้าแห้งเปล่งประกายสดใสภายใต้แสงอาทิตย์ และค่อยๆละลายรวมตัวเป็นน้ำค้าง
จนกระทั่งแสงอาทิตย์สาดส่องอยู่บนตัว ซ่งชูอีรู้สึกเยือกเย็นไปทั่วร่าง ราวกับว่าไม่ว่าจะร้อนสักเพียงใดก็ไม่สามารถส่องไปถึงก้นเหวลึกได้ แต่เมื่อหลังจากดูดซับความอบอุ่นอันเบาบางนี้แล้ว นางขยับมือเท้า ราวกับว่าถูกตะกั่วหนักถ่วงไว้ แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของพวกมัน
รอบกายมีเพียงเสียงลมพัดผ่านต้นหญ้าดังกรอบแกรบ ซ่งชูอีพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ในใจรู้ว่าตัวเองอาจกำลังมีไข้สูง ตอนนี้สถานการณ์น่าเป็นห่วงยิ่ง ถ้าหากนอนอยู่ตรงนี้ต่อไป ก็ไม่ต่างอะไรกับนอนรอความตาย
นางรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีแต่ก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ฉะนั้นจึงได้แต่ดึงหญ้าเพื่อเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าทีละน้อยๆ นางไม่รู้ทิศทาง ได้แต่คลานไปตามทางที่ชายหนุ่มหนีไปเมื่อคืนนี้
เมื่อคืนเด็กหนุ่มถอดเสื้อผ้าของนางเพื่อที่จะนำไปแลกกับอาหารเป็นแน่ อีกทั้งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซ่งชูอีไม่เชื่อว่าเขาจะยังกล้าหนีเข้าไปในป่าลึก ฉะนั้นเป็นไปได้มากว่าทิศทางที่เขาหนีไปจะนำไปสู่หมู่บ้านหรือตัวเมือง เลวร้ายที่สุดก็ไม่น่าจะอยู่ไกลจากถนนมากนัก
แน่นอนว่านอกเสียจากหนุ่มน้อยจะขวัญหนีดีฝ่อจนจำทางไม่ได้…เช่นนั้นก็ถือเป็นเคราะห์ร้ายของนาง
ไม่รู้ว่าคลานอยู่นานแค่ไหน บัดนี้นี้ซ่งชูอีรู้สึกหมดแรงแล้ว เบื้องหน้ายังคงเป็นทุ่งหญ้าที่ดูเหมือนว่าไม่มีที่สิ้นสุด ชวนให้รู้สึกสิ้นหวัง
“มาฮวง…” ซ่งชูอีไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้มากนัก ได้แต่จ้องไปยังพุ่มไม้เล็กๆ เบื้องหน้าของตัวเอง หัวเราะขึ้นมาฉับพลัน “ดูเหมือนว่าสวรรค์ไม่ใจร้ายกับข้านัก”
นางเอื้อมมือคว้ามาฮวงพุ่มนั้นแล้วยัดเข้าไปในปาก รสชาติเผ็ดขมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกระจายอยู่ภายใน ฤดูกาลเก็บเกี่ยวของมาฮวงคือปลายฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่าพวกนี้ยังไม่เคยผ่านกรรมวิธี แต่ว่าฤทธิ์น่าจะยังได้ผลดีอยู่ ซ่งชูอีต้องการจะนำสมุนไพรนี้เข้าปากอย่างงดงาม แต่ว่าร่างกายไม่สามารถออกแรงไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
ซ่งชูอีพยายามแทะลำต้นของมาฮวงอย่างแพะ หูของนางไหวติงเล็กน้อย ได้ยินเหมือนเสียงเร่งรีบของฝีเท้า
นางหยุด แนบหูลงบนพื้นเพื่อฟังอยู่ครู่หนึ่ง มีประมาณหกถึงเจ็ดคน ตำแหน่งไม่ไกลจากเบื้องหน้าของนางนัก
ซ่งชูอียื่นมือแหวกหญ้าตรงหน้าออกเบาๆ พบว่าด้านหน้าคือทางลาดชัน และนางกำลังหมอบอยู่บนพื้นหญ้าที่สูงกว่า ในใจอดไม่ได้ที่จะโล่งอก
ผ่านช่องว่างของหญ้านั้น นางเห็นชายร่างใหญ่หกคนกำลังกวัดแกว่งท่อนไม้หนา ไล่ล่าคนรูปร่างเพรียวบางคนหนึ่ง พร้อมร้องตะโกนด้วยสำเนียงของรัฐเจ้า
……………………………….