บทที่ 4 เจ้าเด็กเวร

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 4 เจ้าเด็กเวร Ink Stone_Romance

เด็กหนุ่มดูเหมือนวิ่งอยู่นานแล้ว เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้กำลังวังชาก็ไม่เท่ากับชายหนุ่มรูปร่างกำยำทั้งหกคน ไม่ช้าก็ถูกสกัดเอาไว้ได้

ชายทั้งหกคนตัวสูงใหญ่ ลำตัวถูกห่อหุ้มด้วยผ้าป่านที่สีซีดจางเต็มที ผมที่ยุ่งเหยิงถูกมัดเป็นมวยอยู่ด้านบนศีรษะ เสื้อผ้าของสองคนกลายเป็นเศษผ้าไปแล้ว ก้นส่วนใหญ่เผยออกมาให้เห็น ส่วนด้านหน้าถูกปกปิดไว้เพียงพอดิบพอดี

แววตาของซ่งชูอีเหลือบมองเด็กหนุ่มคนนั้น เนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แขนขาเรียวเล็กเหมือนท่อนฟืน และยังสะพายถุงผ้าสีเทาอยู่ข้างหลัง

ฮ่า! เจ้าเด็กเวร ในที่สุดก็โผล่มาให้ข้าเห็นจนได้! ซ่งชูอีจำได้เกือบจะในทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือคนที่ปลดเสื้อคลุมของนางเมื่อคืน

ตรงทางลงเขา เด็กหนุ่มถูกผู้ชายสองสามคนกดตัวลงไปที่พื้นอย่างแน่นหนา พวกเขาดึงสัมภาระออกจากร่างเขา แล้วเขย่า

ซ่งชูอีมองดูชุดเจ้าสาวสีแดงตัวนั้น ม่านตาหดลงเล็กน้อย นั่นไม่ใช่เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ก่อนหน้านี้หรอกหรือ!

เมื่อคืนนี้ระหว่างที่นางกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น รู้สึกเพียงมีคนถอดเสื้อของนางไป เพียงพริบตาเดียว เด็กหนุ่มก็ห่อผ้าขึ้นมาแล้ว เดิมทีนางนึกว่าเขาหยิบเพียงเสื้อคลุมขนหมาป่าสีขาวบนตัวนาง…หรือว่าเจ้าเด็กเมื่อวานซืนคนนี้ไปขโมยเสื้อผ้าของคนอื่นอีกงั้นหรือ?

ซ่งชูอีนึกถึงสถานที่ที่ตัวเองนอนเมื่อครู่ มีหลุมศพสองสามหลุม อีกทั้งใต้ตัวนางยังมีเสื่อฟางและมีหลุมตื้นอยู่ข้างๆ ดูเหมือนว่านางก็ไม่ได้ถูกเอามาทิ้งในพื้นที่รกร้างสักเท่าไร

ยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ขณะที่นางดึงสติกลับมาและมองไปยังทางลงเขาอีกครั้ง บัดนี้เด็กหนุ่มถูกทุบตีจนหมอบคลานไปกับพื้น และคนเหล่านั้นไม่มีทีท่าว่าจะออมมือเลย

แน่นอนว่าซ่งชูอีไม่สามารถคาดหวังที่จะให้คนเหล่านี้ช่วยเหลือได้ นางคิดว่าแม้ตัวเองไม่ใช่คนสวยอะไร แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นผู้หญิง ถ้าหากตกอยู่ในเงื้อมมือของคนเหล่านี้แล้ว เห็นทีจะต้องมีจุดจบที่น่าสมเพศเวทนาเป็นแน่ การเลือกเป็นคนอ่อนแอเห็นทีจะเป็นทางที่ดีที่สุด

เมื่อตัดสินใจแล้ว ซ่งชูอีก็นอนเคี้ยวมาฮวงอยู่บนทางลาดด้วยความเกียจคร้าน มองดูเด็กหนุ่มที่ถูกซ้อมน่วมจนแทบไม่ไหวติง จึงเริ่มเลียนเสียงกีบม้า

ม้า คือสิ่งที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ในเวลานี้แต่ละรัฐทำสงครามกินเวลาติดต่อกันยาวนาน ม้าแทบทุกตัวล้วนอยู่ในกองทัพ ได้ยินเสียงกีบม้าแล้ว หากผู้มาเยือนมิใช่ตำแหน่งใหญ่ในกองทัพก็ต้องเป็นผู้มีอิทธิพลเป็นแน่แท้

ตอนที่ซ่งชูอีอยู่ในค่ายทหาร นางเลียนเสียงกีบม้าได้ละม้ายมาก สามารถจับโดยความรู้สึกของระยะใกล้ไกลได้อย่างดีเยี่ยม

ชายร่างใหญ่หน้าตาป่าเถื่อนหกคนได้ยินเสียงกีบม้าแล้วก็เสียขวัญ รีบคว้าชุดแต่งงานสีแดงตัวนั้นและหนีไปอย่างรวดเร็ว

ซ่งชูอีเห็นดังนี้ก็มั่นใจว่าอันธพาลพวกนั้นจะไม่วกกลับมาอีก นางขุดโคลนข้างตัว ปั้นเป็นลูกแล้วโยนลงไป

เด็กหนุ่มได้ยินความเคลื่อนไหว เงยหน้าขึ้นมอง เห็นใบหน้าขาวซีดที่แฝงด้วยรอยยิ้มขี้เล่นของซ่งชูอีเข้าพอดี เขาตกใจตะเกียกตะกาย แต่อาการบาดเจ็บนั้นสาหัสเกินไป จึงวิ่งไปได้ไม่ไกลนัก

ซ่งชูอีคิดในใจ ‘ถ้าเจ้าเก่งจริงก็หนีสิ!’ แต่กลับเอ่ยด้วยท่าทีที่อ่อนลง “นี่ ข้าช่วยชีวิตเจ้า หรือว่าเจ้าจะทิ้งให้ข้ารอความตายอยู่ที่นี่รึ?”

เด็กหนุ่มหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นถาม “เจ้าเป็นคน?”

“กลางวันแสกๆ เช่นนี้เจ้านึกว่าข้าเป็นอะไร!” ซ่งชูอีกล่าวอย่างหัวเสีย

เด็กหนุ่มมองสำรวจนางสักพัก เพื่อมั่นใจว่าซ่งชูอีเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่ผี เมื่อดูจนพอใจแล้วก็ล้มตัวลงนอนอยู่บนพื้นหญ้าอย่างเชื่องช้า

เมื่อครู่ซ่งชูอีทั้งเลียนเสียงกีบม้า ทั้งพูดจาด้วยเสียงอันดัง รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก นางมองเด็กหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นว่าเขามีท่าทีจะจากไป จึงเด็ดลำต้นของมาฮวงจำนวนหนึ่ง นอนเคี้ยวอยู่กับพื้น

นอนอยู่ไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเสียงดังสวบสวบปีนขึ้นมาบนเนิน เนินนี้ไม่นับว่าชันนัก แต่ว่าเด็กหนุ่มบาดเจ็บสาหัส ปีนขึ้นมาคงจะใช้แรงไม่น้อย หรือว่าพวกอันธพาลนั้นจะวกกลับมา?

ซ่งชูอีรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง พยายามคลานตัวไปข้างหน้าแล้วมองลงไป เด็กหนุ่มกำลังปีนขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว ภายในเวลาอันสั้นเขาก็ปีนขึ้นมาถึงที่สูง เข้าใกล้พื้นหญ้าที่ซ่งชูอีกำลังนอนอยู่

ซ่งชูอีตำหนิตัวเองทันที ดูเหมือนเมื่อครู่นางประเมินผิดพลาดไป เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ได้บาดเจ็บจนถึงขั้นหนีไม่ได้ โชคดีที่เขายังรู้จักรู้จักบุญคุณคน ไม่เช่นนั้นก็อาจช่วยชีวิตเขาเปล่า

“เจ้าเป็นคนฉีรึ?” ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้น เมื่อครู่เด็กหนุ่มพูดภาษาฉี

เด็กหนุ่มยืนหายใจหอบอยู่ข้างนาง แสงอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่เหนือศีรษะของเขาทำให้แสบตาเล็กน้อย ซ่งชูอีหรี่ตา มองเห็นเพียงผมเผ้ายุ่งเหยิงของเขาที่บดบังใบหน้าเกือบทั้งหมดเลือนลาง เวลามองเขาก็ต้องมองลอดช่องว่างของเส้นผมนั้น สิ่งเดียวที่โผล่ออกมาคือริมฝีปากที่บวมเป่ง ขากรรไกรล่างและแม้แต่มุมปากก็ถูกปกคลุมด้วยรอยฟกช้ำ

เด็กหนุ่มดึงซ่งชูอีขึ้นมาจากพื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วยกนางขึ้นพาดไหล่อย่างง่ายดาย

“เห็นแขนขาเจ้าเล็กแบบนี้ ดูไม่ออกเลยว่าแรงเยอะใช้ได้!” ซ่งชูอีถูกกระแทกจนสำลัก

เด็กหนุ่มไม่สนใจนาง เดินก้มหน้าฝ่าพงหญ้าไป ดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นอย่างดี เขาเดินผ่านป่าเล็กๆ และข้ามถนนสายเล็กๆ ไม่รู้ต่อกี่สาย ซ่งชูอีจึงได้ยินเสียงน้ำไหล ในเวลานี้ตัวนางถูกเขย่าไปมาจนวิสัยทัศน์พร่ามัว

เด็กหนุ่มทิ้งนางลงบนกองฟาง หันหลังจะจากไป

ซ่งชูอีกำลังจะด่าเขา แต่ก็เห็นสวนผักขนาดเล็กใกล้กับลำธารเบื้องหน้า มีไม้ทำเป็นรั้วกั้นโดยรอบ เป็นไปได้ว่ามันคือสถานที่ที่เด็กหนุ่มอาศัยอยู่ ฉะนั้นนางจึงปิดปากเงียบ

เมื่อครู่ซ่งชูอีเพิ่งจะกินมาฮวงไป บัดนี้นางนอนอาบแดดอยู่บนกองฟาง ไม่ช้าความง่วงก็เข้ามาเยี่ยมเยือน และดูเหมือนว่าจะได้กลิ่นหุบเขาอันหนักหน่วงในความฝันอีกด้วย

นางลืมตาแล้วมองไปโดยรอบ เห็นเด็กหนุ่มกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างลำธาร กำลังกินโจ๊กข้าวฟ่างด้วยหม้อดินแตกหักอยู่ในมือ ซ่งชูอีกลืนน้ำลาย กระแอมไอแห้งๆ “น้องชาย ข้ามีเรื่องอยากหารือกับเจ้า”

เด็กหนุ่มหันมองนางอย่างระแวดระวัง ราวกับสัตว์ร้ายตัวน้อยที่หวงแหนอาหาร

ซ่งชูอีกลอกตา ล้มตัวลงบนฟางแล้วพูดเป็นภาษาฉีช้าๆ “เจ้าคงไม่ได้พาข้ากลับมาเพื่อมาฝังข้าหรอกนะ? ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ต้องเดาออกแน่นอนว่าข้าเกิดในตระกูลขุนนาง ข้าเจ็บป่วยระหว่างเดินทางไปออกเรือน คนที่ส่งตัวข้านึกว่าข้าตายแล้ว จึงได้แต่ฝังข้าด้วยความเร่งรีบ ถ้าหากเจ้าช่วยชีวิตข้า ส่งข้ากลับบ้าน ข้าจะขอบคุณอย่างงาม…อย่างน้อยเจ้าก็จะได้กินข้าวขาว”

ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ยังคงใช้วิถีแลกเปลี่ยนสิ่งของซึ่งกันและกัน แม้แต่เงินเหรียญก็ยังไม่เห็น นับประสาอะไรกับทองคำเล่า! ซ่งชูอีเข้าใจดีว่าข้าวขาวมีแรงดึงดูงชาวบ้านได้มากว่าเหรียญและทองคำเสียอีก

เขาตอบนางด้วยความเงียบ ซ่งชูอีมองดูโจ๊กที่ใกล้จะเย็นชืดแล้ว รู้สึกร้อนใจ โถ่เอ้ยเลิกไร้สาระสักทีเถิดน่า!

ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเด็กหนุ่มก็โพล่งออกมา “เหตุใดเจ้าจึงพูดภาษาฉีได้?”

ซ่งชูอีแอบตกใจ หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้รู้จักนาง? อดไม่ได้ที่จะถามกลับ “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าพูดภาษาฉีไม่ได้?”

เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ แต่ยื่นโจ๊กที่เหลืออยู่ครึ่งหม้อให้ซ่งชูอี

มือดำเขรอะ คราบดำมันวาวบนหม้อ ผสมปนเปกับกลิ่นหอมของข้าวฟ่างจนก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นประหลาด บนหม้อยังมีร่องรอยโจ๊กที่เด็กหนุ่มกินเหลือไว้ ถ้าหากซ่งชูอีเป็นบุตรสาวในตระกูลขุนนางจริง อาจกลืนอาหารไม่ลงในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ว่านางได้ผ่านวันเวลาที่ยากลำบากกว่านี้มาแล้ว นางจึงไม่ถือสา

“ได้ยินว่าหากตระกูลขุนนางให้คำมั่นสัญญาแล้วก็จะไม่คืนคำ” เด็กหนุ่มมองซ่งชูอีที่กำลังกินจนลืมทุกสิ่งอย่าง อดไม่ได้ที่จะเตือนสติ

ซ่งชูอีคิดในใจ เจ้าหนุ่มนี่นับว่ามีความรู้ไม่น้อย ยังรู้ด้วยว่าอะไรคือสัญญาแล้วไม่คืนคำ นางกลืนโจ๊กเข้าไปในปาก ตอบรับด้วยเสียงคลุมเครือและกินโจ๊กเกือบหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่คำ เด็กหนุ่มเห็นแล้วก็ร้อนใจสุดขีด ยื่นมือแย่งหม้อดินกลับมา พูดด้วยความเย็นชา “นี่คือข้าวสำหรับสองวันเชียว!”

ซ่งชูอีหน้าแดง หัวเราะแห้งๆ “ข้าร่างกายอ่อนแอ ต้องกินเยอะๆ จึงจะเอาตัวรอดได้”

ขอบหม้อยังคงเปื้อนอยู่ เด็กหนุ่มยื่นลิ้นออกมาเลีย แล้วใช้กระเป๋าผ้าซ่อนมันไว้ในพุ่มไม้

ซ่งชูอีกินจนอิ่มหนำแล้วก็นอนอยู่บนฟางคิดทบทวนเรื่องราวเมื่อครู่ การที่นางบอกว่าตัวเองล้มป่วยระหว่างทางออกเรือนนั้นเป็นเพียงการสร้างเรื่องไปตามชุดเจ้าสาว ถ้าหากชุดเจ้าสาวนั้นไม่ได้มาจากตัวนาง เด็กหนุ่มก็คงไม่เชื่อคำพูดนี้เป็นแน่ แต่เขากลับเชื่อเสียแล้ว

ซ่งชูอีคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ นางรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะนวดคลึงคิ้ว เมื่อปลายนิ้วสัมผัสกับส่วนของผิวหนังที่ราบเรียบ นางหยุดชะงัก รีบลูบคลำอย่างละเอียด

ขณะที่นางไปเยือนรัฐฉินในฐานะทูตเป็นครั้งแรก นางเข้าไปในค่ายทหารฉินเพียงลำพังเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ทหารฉินถอยทัพ แม่ทัพแห่งกองทหารฉินเหวี่ยงดาบไปที่หน้าประตูเพื่อทดสอบนาง นางไม่ได้หลบ ปลายดายชี้ไปที่คิ้วเบาๆ เลือดไหลลงมาตามสันจมูกทันที

ในความเป็นจริงมันเป็นเพียงแผลถลอกเล็กน้อย หลังจากบาดแผลสมานแล้ว หากไม่มองอย่างถี่ถ้วนก็จะไม่เห็นร่องรอยเลย แต่หลายปีมานี้นางมักจะใช้ปลายนิ้วถูแผลด้วยความเคยชิน ดังนั้นจึงรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน แต่บัดนี้รอยแผลนั้นได้หายไปแล้ว?!

ซ่งชูอีประคองกำแพงหินที่อยู่ด้านข้างเพื่อลุกขึ้นยืน เดินไปยังข้างลำธาร หลังจากกินยากับโจ๊กข้าวฟ่างแล้ว นางก็มีกำลังมากพอที่จะพยุงตัวเองไปยังข้างลำธารได้

ธารน้ำใสดุจกระจก ซ่งชูอีมองเห็นเงาที่อยู่ข้างในได้อย่างชัดเจน

เรือนร่างผอมบาง ใบหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามือ ผมสีดำขลับ เสื้อเลอะเทอะที่อยู่บนตัวยังพอมองออกจางๆ ว่ามันคือสีขาว ซ่งชูอีมองสำรวจอย่างระมัดระวัง ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในน้ำนั้น มีหน้าผากอวบอิ่มกว่าคนปกติเล็กน้อย สันจมูกตรงกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ ดูไม่บอบบางเหมือนผู้หญิงทั่วไป อีกทั้งยังไร้เสน่ห์มาก แต่ว่าใบหน้าอันอ่อนเยาว์นี้กลับมีลักษณะเหมือนนางในวัยสิบห้า!

สายลมแห่งฤดูใบไม่ร่วงพัดผ่านผิวน้ำจนเงาสะท้อนนั้นพร่ามัวเล็กน้อย

ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะก้มตัวสัมผัสใบหน้าในน้ำอย่างนุ่มนวล ก่อนที่นางจะได้เบาะแสเพิ่มเติม ทันใดนั้นเอวถูกรัดแน่น ไม่ทันแม้แต่จะดิ้นรนก็ถูกคนกดลงไปกับพื้น ร่างของนางกดทับก้อนหินที่แข็งกระด้างจนตัวแทบแตกละเอียด

“เจ้าเด็กเวร เจ้าจะทำอะไรน่ะ!” ซ่งชูอีตะคอกใส่เด็กหนุ่มด้วยความเกรี้ยวกราด

…………………………………