ตอนที่ 14 บ่าวผู้ครหา

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“เพคะ ขอบพระทัยองค์หญิงต้าจั่งเพคะ” เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ เหยียดกายลุกขึ้น แล้วถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างหลังซุนฮูหยินน้อย

“พี่เหยา!” ซูอวี้เหิงที่อยู่ข้างกายองค์หญิงต้าจั่งลุกขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มเบิกบาน จากนั้นเดินไปข้างๆ เหยาเยี่ยนอวี่ แล้วยื่นมือออกไปจับมือของนางเอาไว้ “วันสองวันมานี้ พี่ทำการใดในเรือนบ้าง”

เหยาเยี่ยนอวี่อมยิ้มพลางตอบกลับ “ไม่ได้ทำการใด ข้ายุ่งกับการดูแลพี่สาวเท่านั้น”

“ท่านลุงและเหล่าพี่ชายยังไม่มาเลย พวกเราไปนั่งตรงนั้นก่อนเถอะ ข้าจะให้พี่สาวดูปลาม้าลายเรืองแสงที่เสด็จย่าทรงเลี้ยงไว้” ซูอวี้เหิงพูด พร้อมกับพาเหยาเยี่ยนอวี่เดินออกไปข้างนอก

เหยาเยี่ยนอวี่หันกลับมามองลู่ฮูหยิน ลู่ฮูหยินกำลังเสวนากับองค์หญิงต้าจั่ง นางไม่คิดจะสนใจตั้งแต่แรก กลับเป็นซุนฮูหยินน้อยที่เป็นฝ่ายมองมาที่นาง ยกยิ้มพลางพยักหน้าให้ เหยาเยี่ยนอวี่จึงจะสามารถเดินออกจากห้องโถงจยาอินด้วยความสบายใจ

ซูอวี้เหิงจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่เดินผ่านใต้ต้นหลิว จากนั้นก็เดินไปนั่งตรงเก้าอี้หิน พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สาว อีกไม่กี่วันพวกเราจะไปประลองหมากล้อมที่จวนเจิ้นกั๋วกง คุณหนูรองเป็นเจ้าภาพ พี่จะไปกับข้าหรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าเล็กน้อย “ฝีมือการเล่นหมากล้อมของข้าธรรมดายิ่งนัก เกรงว่าจะทำให้พวกเจ้าหมดสนุก”

“นี่ไม่ใช่ปัญหา พวกเราก็แค่ไปเที่ยวเล่นเท่านั้น ใครจะไปคาดหวังว่าพี่สาวจะเป็นผู้ชนะระดับแคว้นของพวกเราเหล่าสตรีเล่า? พี่สะใภ้สามล้มป่วย จึงไม่สามารถพูดคุยเล่นเป็นเพื่อนท่านได้ พี่อยู่คนเดียวในจวนไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรืออย่างไร”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มกล่าวเสียงค่อย “ก็ไม่ถึงกับเบื่อ แค่เคยชินกับมันก็พอแล้ว”

“ก่อนหน้านี้พี่ทำการใดในเรือน คงไม่ใช่ว่าทำเหมือนเดิมซ้ำๆ อยู่คนเดียวทุกวันในเรือนหรอกนะ? อมิตาพุทธ มิใช่ว่าขนขึ้นเต็มตัวแล้วหรือไร ฮ่าๆ…” ซูอวี้เหิงพูดพลางเอาพัดขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะร่วนขึ้นมา

เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตร “ตอนข้าอยู่ในเรือนเดิมของข้า ก็มักชอบอยู่คนเดียวในบริเวณเรือน อ่านตำราเล่น ตัดแต่งต้นไม้ดอกไม้ที่เพาะปลูกเล่น เวลาทั้งวันจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกอย่าง ข้ายังเลี้ยงแมวไว้สามตัว สุนัขห้าตัว นกฮวยบี้สองตัว นกแก้วหนึ่งตัว นกกระเรียนหนึ่งคู่ และไก่ฟ้าหนึ่งคู่ ข้าอยู่แต่กับพวกมันทุกวัน ยามรู้สึกเบื่อก็กลั่นแกล้งพวกมันเล่น เพียงเท่านี้ก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว”

“อา! ที่แท้พี่สาวชอบเลี้ยงสัตว์เลี้ยงนี่เอง! เสด็จย่าทรงโปรดปรานในการเลี้ยงสัตว์พวกนี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าท่านจะเลี้ยงแต่สัตว์ตัวโต ในสวนทางโน้นมีสุนัขหน้าสิงโตหนึ่งตัว และมีม้าพันธุ์ดีอีกหลายตัว ใช่แล้ว ที่นั่นยังมีเสือขนขาวดุจหิมะอีกด้วย!”

ช่างแปลกคนจริงๆ แค่เลี้ยงสุนัขหน้าสิงโตก็แปลกคนแล้ว ยังจะเลี้ยงเสืออีก?

เหยาเยี่ยนอวี่พูดอย่างประหลาดใจ “อ้อ! สมเป็นสัตว์เลี้ยงขององค์หญิงต้าจั่งจริงๆ แต่ละตัวช่างเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขามยิ่งนัก”

ระหว่างที่พูดคุยด้วยรอยยิ้ม ก็มีเสียงบุรุษดังออกมาจากพุ่มไม้อีกด้าน “เหตุใดพวกเจ้าทั้งสองถึงอยู่ที่นี่”

ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้นมองอย่างรีบร้อน ก็เห็นซูอวี้เสียงสวมเสื้อผ้าสีเขียวเดินมากับบุรุษอีกสองคนเดินตามกันมา ซูอวี้เหิงลุกขึ้นแล้วต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้มสดใส จากนั้นก็ค้อมตัวลงเล็กน้อย “คารวะพี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สามเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ลอบมองบุรุษอีกสองคนที่อยู่ข้างซูอวี้เสียงอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันก็คาดเดาว่า ผู้ที่มีรูปร่างกำยำ สีผิวดำคล้ำเล็กน้อย นั่นก็คือซูอวี้ผิง และอีกคนก็น่าจะเป็นซูอวี้อัน จากนั้นนางจึงค้อมตัวทำความเคารพ “เยี่ยนอวี่ขอคารวะท่านซื่อจื่อ[1] คุณชายรอง และคุณชายสามเจ้าค่ะ”

หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่ทำความเคารพคุณชายทั้งสามของจวนติ้งโหวเสร็จ ซูอวี้ผิงซื่อจื่อและคุณชายรองซูอวี้อันต่างก็พยักหน้าเพียงอย่างเดียว มีเพียงซูอวี้เสียงที่ยกยิ้มเล็กน้อยพลางพูด “ข้ากับพี่ใหญ่และพี่รองจะไปเข้าเฝ้าเสด็จย่า พวกเจ้าทั้งสองอย่ามัวแต่เล่นเลย นั่งอยู่ที่นี่สักพักก็กลับไปเถอะ”

ซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่จึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

พอเห็นคุณชายทั้งสามของตระกูลซูเดินจากไป เหยาเยี่ยนอวี่จึงหันไปคุยกับซูอวี้เหิง “พวกเรากลับกันเถอะ”

“รีบอะไรกันเล่า” ซูอวี้เหิงยิ้มพลางดึงเหยาเยี่ยนอวี่เดินไปทางบ่อน้ำ “ข้าบอกแล้วว่าจะพาพี่ไปดูปลาม้าลายเรืองแสง ลำตัวของปลาพวกนั้นจะเรืองแสงอย่างงดงามโดยเฉพาะเวลากลางคืน แต่เสียดายที่ท่านไม่สามารถพักแรมที่นี่ได้ จึงไม่ได้เห็น แต่ว่าตอนนี้ไปดูเสียหน่อยก็ได้เช่นกัน ปลาพวกนั้นยามที่แหวกว่ายไปมาในน้ำ ประกายแสงก็จะส่องระยิบระยับออกมาให้เห็น เป็นภาพที่สวยงามมากๆ”

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ใช่ผู้ที่อยากรู้อยากเห็นอย่างแท้จริง จึงไม่ได้สนใจที่จะดูว่าปลาม้าลายเรืองแสงเป็นอย่างไร เพียงแต่คุณหนูสามผู้นี้ลากตัวนางให้ไปดูและคุยกับนางตลอดทาง นางคงมิอาจไม่ให้เกียรติคุณหนูสามได้

ทั้งสองเดินผ่านมวลดอกไม้และต้นหลิว มาเป็นระยะทางที่ยาวทีเดียวกว่าจะถึงข้างบ่อน้ำ ซูอวี้เหิงดึงตัวเหยาเยี่ยนอวี่เดินไปที่สะพานทางเดินโค้งเหนือผืนน้ำ ทันใดนั้นกลับมีร่างเล็กร่างหนึ่งวิ่งพุ่งเข้ามาหาพวกนาง แล้วสะดุดก้อนหินพลางล้มลงตรงหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นเด็กหญิงตัวน้อยก็ร้องไห้จ้าออกมาทันที

ที่ผ่านมาเหยาเยี่ยนอวี่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเด็กเล็ก จึงทำได้เพียงถอยหลังไปสองก้าว

“คุณหนูใหญ่! คุณหนูใหญ่!” จากนั้นก็มีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากทุ่งดอกไม้ที่อยู่ด้านข้าง พอเห็นซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่ จึงค้อมตัวลง “น้อมคารวะคุณหนูทั้งสองเจ้าค่ะ”

สาวใช้ของซูอวี้เหิงมั่วฉีก็รีบเข้าไปพยุงเด็กน้อยขึ้น และตรวจดูว่าได้บาดเจ็บตรงไหนบ้าง อีกทั้งยังปลอบโยนนาง ซูอวี้เหิงจึงตำหนิบ่าวรับใช้ที่เหมือนจะเป็นแม่นมอย่างไม่พึงพอใจ “เจ้าดูแลอวิ๋นเอ๋อร์อย่างไร ถึงปล่อยให้นางวิ่งเล่นข้างบ่อน้ำเช่นนี้? ยังดีที่ไม่เป็นอะไร หากตกน้ำไปเจ้าจะทำอย่างไร!”

เหยาเยี่ยนอวี่จึงรู้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยอายุราวๆ ห้าหกขวบนั้นเป็นบุตรีคนโตของซูอวี้ผิง นามว่าซูจิ่นอวิ๋น ระหว่างที่พูด หลี่หมัวมัวที่คอยติดตามเหยาเยี่ยนอวี่ก็รีบวิ่งมาตามเสียง พอเห็นสถานการณ์เยี่ยงนี้ จึงรีบถามขึ้น “อวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์เป็นอย่างไร บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

เด็กน้อยเอาแต่ร้องไห้ ไม่ได้พูดอะไรออกมา ซูอวี้เหิงจึงสั่งแม่นมของนาง “เจ้าอุ้มนางไปเล่นฝั่งโน้นสักพัก อยู่ให้ห่างจากบ่อน้ำนี้เสียหน่อย ใช้ผลไม้พวกนั้นปลอบโยนนาง เกรงว่านางคงจะขวัญเสีย”

แม่นมของอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์รับคำสั้นๆ จากนั้นเดินมาอุ้มเด็กน้อยพร้อมกับพูดอำลา เหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เด็กเล็กอายุราวๆ ห้าหกขวบยังทรงตัวยังไม่นิ่ง พอวิ่งเร็วเกินไปก็ทำให้ล้มเป็นเรื่องธรรมดา

แม่นมที่ทำผิดพลาดผู้นั้นกลับอุ้มซูจิ่นอวิ๋นแล้วแจ้นไปฟ้องลู่ฮูหยินและเฟิงฮูหยินน้อยเสียก่อน

บังเอิญองค์หญิงต้าจั่งได้ยินเสียงร้องไห้ของเหลนสาว จึงได้ถามขึ้น เฟิงฮูหยินน้อยจึงเล่าคำพูดของแม่นมที่นางเชื่อถือ “เมื่อครู่อวิ๋นเอ๋อร์เล่นอยู่แถวนั้น จึงไม่ระวังวิ่งไปชนคุณหนูเหยา คุณหนูเหยาเองจึงผลักอวิ๋นเอ๋อร์อย่างไม่ตั้งใจ ทำให้ยายหนูล้มลง แต่นี่ไม่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรมากนัก ที่ผ่านมาอวิ๋นเอ๋อร์เป็นเด็กที่มีสุภาพร่างกายที่แข็งแรง แค่หกล้มบ้างเป็นครั้งคราวนั้นย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ คงไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”

องค์หญิงต้าจั่งจึงทำสีหน้าที่ขุ่นเคืองใจขึ้นมาทันที “เป็นผู้อาวุโสกว่า เหตุใดจำต้องไปถือสาเด็กน้อย”

ลู่ฮูหยินจึงรีบตำหนิเฟิงฮูหยินน้อยด้วยเสียงเบา “คำพูดของบ่าวไพร่ เจ้ายังเชื่อด้วยหรือ นางอาจจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์จริงๆ ข้ากลับเห็นว่าคุณหนูเหยามีนิสัยที่อ่อนโยน ต่อให้อวิ๋นเอ๋อร์วิ่งชนนาง คิดว่านางที่เป็นผู้อาวุโสคงไม่มีทางทำอะไรเด็กน้อยผู้หนึ่งหรอก ต้องเป็นบ่าวรับใช้ผู้นั้นที่บกพร่องในหน้าที่ แล้วดูแลอวิ๋นเอ๋อร์ได้ไม่ดี เลยรีบมาฟ้องให้ผู้อื่นเป็นผู้ร้ายเสียก่อน” ลู่ฮูหยินจึงหันไปมององค์หญิงต้าจั่ง “องค์หญิงอย่าได้รู้สึกไม่พอพระทัยเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เลยเพคะ”

องค์หญิงต้าจั่งโบกมือไม่พูดอะไรเพิ่มเติมอีก ขณะเดียวกันซูกวงฉงติ้งโหวมาเข้าเฝ้าองค์หญิงต้าจั่งพอดี คนทั้งหมดที่อยู่ในเรือนจึงได้ลุกขึ้นพร้อมกัน และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย จนกระทั่งทุกคนจะนั่งลง องค์หญิงต้าจั่งถึงจะขมวดคิ้วถามขึ้น “ยายหนูสามไปไหนแล้ว”

พอมีคนเห็นซูกวงฉงเข้ามา จึงได้ไปตามหาซูอวี้เหิงกลับมา ทันทีที่คำพูดขององค์หญิงต้าจั่งเพิ่งกล่าวจบ ซูอวี้เหิงก็จูงมือเหยาเยี่ยนอวี่เข้ามาตรงประตูด้วยสีหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็วิ่งมาอยู่ตรงหน้าองค์หญิงต้าจั่ง “เสด็จย่าเพคะ”

[1] ซื่อจื่อ ซึ่งหมายถึงผู้สืบทอด ลูกชายผู้ที่จะสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากพ่อ