“ออกไปวิ่งเล่นอีกแล้ว” องค์หญิงต้าจั่งถลึงตามองซูอวี้เหิงด้วยความขุ่นเคือง แสงจากแววตาแวบผ่านไปยังเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความไม่พอใจ
เหยาเยี่ยนอวี่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดแปลกไป ทว่ากลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จึงทำได้เพียงก้าวถอยหลังไปยืนอยู่ด้านข้าง
ผู้คนมากันจนครบแล้ว เพียงการรับสั่งคำเดียวขององค์หญิงต้าจั่ง สาวใช้ทั้งสิบหกนางเดินเรียงรายเข้ามา พวกนางสวมเสื้อผ้าทอลายขัดสีขาวนวลจันทร์และกระโปรงยาวพลิ้วสีมรกตอ่อนทับด้วยเสื้อชั้นนอกที่ทำจากผ้าต่วนสีเขียวอ่อน กล่องสำรับอาหารอันประณีตถูกเปิดออกมาทีละกล่อง และอาหารที่ดูโอชะสารพัดอย่างถูกเอาออกมาจัดวางทีละจาน
การร่วมโต๊ะอาหารภายในตระกูลไม่ได้ใช้โต๊ะใหญ่ แต่จะมีโต๊ะเดี่ยววางอยู่ตรงหน้าของทุกคน อาหารมากมายถูกวางอยู่หน้าองค์หญิงต้าจั่ง ทว่าองค์หญิงต้าจั่งเพียงกวาดตามองครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้น เพื่อสั่งให้เหล่าสาวใช้เอาออกไป พร้อมทั้งสั่งให้วางอาหารเพียงไม่กี่อย่างที่นางชื่นชอบไว้
ด้านซ้ายขององค์หญิงต้าจั่งคือซูกวงฉง ด้านขวามือคือซูอวี้ผิง และแน่นอนว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายซูกวงฉงนั้นคือลู่ฮูหยิน ข้างกายลู่ฮูหยินคือเหยาเยี่ยนอวี่ และซูอวี้เหิง ที่นั่งถัดจากซูอวี้ผิงและฮูหยินของเขาก็คือ คู่สามีภรรยาซูอวี้อัน จากนั้นก็คือซูอวี้เสียงที่มาลำพัง
การนั่งเรียงยาวเช่นนี้ ทำให้ซูอวี้เสียงนั่งอยู่ตรงกันข้ามในแนวทแยงมุมกับเหยาเยี่ยนอวี่พอดี มีบ้างบางครั้งที่นางเงยหน้าขึ้นจะเห็นเขา อีกทั้งทุกครั้งที่นางเห็นเขา บุรุษผู้นี้ก็กำลังมองมาที่นางอยู่ จึงทำให้เหยาเยี่ยนอวี่กินอาหารมื้อนี้ด้วยความกระอักกระอ่วนใจและไม่เป็นตัวของตัวเอง นางพยายามทำให้ตัวเองไม่มีตัวตนมากที่สุด ถึงขั้นที่ว่าอยากจะเรียนวิชาหายตัว เพื่อให้ตัวนางสามารถล่องหนได้
ขณะที่ไม่รู้ว่านางสบตากับซูอวี้เสียงครั้งที่เท่าใด ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกรังเกียจยิ่งนัก ตะเกียบที่อยู่ในมือสั่นเทา ทำให้กุ้งผัดเปรี้ยวหวานตกลงไปบนหัวเข่าของนางหนึ่งตัว “อา อาภรณ์ของข้า…” เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ
เมื่อลู่ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นจึงหันมามองนาง จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยเสียงเบา “นำเสื้อผ้ามาหรือไม่”
“เรียนฮูหยิน นำมาเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวที่อยู่ด้านหลังรีบเดินเข้ามาแล้วขานตอบเสียงเบา
ลู่ฮูหยินจึงออกคำสั่ง “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ด้านหลังเสียเถอะ แล้วค่อยเข้ามา”
เหยาเยี่ยนอวี่รีบเหยียดกายลุกขึ้นแล้วขอตัวด้วยความรู้สึกผิด จากนั้นพาชุ่ยเวยและหลี่หมัวมัวเดินออกไปอย่างเงียบๆ
ด้านหลังของห้องโถงจยาอินมีเรือนข้างอยู่สามเรือน ซึ่งมีสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว พวกนางอยู่ที่นี่เพื่อเตรียมน้ำล้างมือกับน้ำล้างปากให้กับบรรดาเจ้านาย หลี่หมัวมัวที่มักจะติดตามเหยาเฟิ่งเกอในยามออกไปนอกเรือน จึงคุ้นชินกับงานต่างๆ ที่จัดเตรียมภายในตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง
เหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง แล้วกล่าวว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าในเรือนนี้ จากนั้นสาวใช้ที่อยู่ในเรือนด้านในต่างก็ทำความเคารพนางแล้วปิดประตู พลางเดินออกไปข้างนอก
ชุ่ยเวยเอาห่อผ้ามาจากสาวใช้ที่อยู่ด้านหลัง นางหยิบกระโปรงหรูสีเขียวต้นหอมปักลายใบยี่โถปีนังออกมา ทางด้านหลี่หมัวมัวก็ได้ช่วยเหยาเยี่ยนอวี่ถอดเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนออก แล้วพูดเสียงค่อย “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่บ่าวได้ยินมาว่าแม่นมจู้ซื่อ ซึ่งเป็นแม่นมของอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ได้พูดจาใส่ร้ายคุณหนูต่อหน้าฮูหยินของท่านซื่อจื่อว่าคุณหนูผลักอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ล้มเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เหตุใดนางถึงทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยนั่นล้มลงตรงหน้าข้าเอง ข้าไปผลักนางตั้งแต่เมื่อใดกัน!”
หลี่หมัวมัวขยับตัวเข้าไปใกล้เหยาเยี่ยนอวี่ แล้วกระซิบข้างหูนาง “หลังจากที่อวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์เกิดมาได้ไม่นาน แม่นมที่คอยเลี้ยงดูนางถูกส่งตัวออกไปเพราะล้มป่วย จู้ซื่อเป็นคนที่ฮูหยินซื่อจื่อซื้อตัวมาจากด้านนอก น้องสาวของจู้ซื่อ มีชื่อว่าหลิงจือ เป็นสาวใช้ในเรือนคุณชายสามของพวกเรา ทว่าหลังจากที่คุณหนูใหญ่สมรสเข้ามาในจวน สาวใช้ชั้นต่ำผู้นั้นไม่รู้มารยาท ถูกคุณหนูใหญ่กำราบสั่งสอนไปหลายครั้งกว่านางจะเชื่อฟัง ทว่ามาวันนี้คุณหนูใหญ่กลับล้มป่วยจนนอนทรุดอยู่บนเตียง สาวใช้ชั้นต่ำคนนั้นจึงไม่รู้จักเกรงกลัว! เพียงแต่พวกนางใจร้อนเกินไปเสียหน่อย! อย่าได้กล่าวถึงว่าอาการป่วยของคุณหนูใหญ่เริ่มดีขึ้นเลย แม้นคุณหนูใหญ่เป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ เบื้องหน้าของคุณชายสามก็ยังมีท่าน ยังไม่ถึงคราวของหญิงชั้นต่ำเยี่ยงนางมาก่อความวุ่นวายหรอก ดังนั้นท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเลยเจ้าค่ะ แม้ว่าฮูหยินซื่อจื่อจะถูกหญิงชั้นต่ำยุแยง ทว่าสายตาของลู่ฮูหยินนั้นเฉียบแหลม วันข้างหน้าพวกเรายังมีโอกาสได้จัดการพวกนางเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินเช่นนั้นจึงยกยิ้มอย่างเศร้าสร้อย ภายในใจก็ครุ่นคิดว่าตนอยู่เฉยๆ ก็ยังโดนทำร้าย! อยากจะใช้ชีวิตเรียบง่ายและสงบสุขนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เหยาเยี่ยนอวี่นับว่าเป็นเพียงตัวประกอบเล็กๆ ในงานเลี้ยงฉลองภายในตระกูลที่ตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง ตัวเอกของวันนี้คือซูอวี้ผิง อีกทั้งยังมีติ้งโหวอยู่ด้วย นางที่เป็นเพียงน้องสาวของสะใภ้สามทั้งยังเป็นบุตรีอนุภรรยา การได้มีที่นั่งในงานเลี้ยงนี้ถือเป็นการให้เกียรตินางอย่างยิ่งแล้ว
ด้วยเหตุนี้ตลอดงานเลี้ยง องค์หญิงต้าจั่งไม่ได้ชำเลืองมองเหยาเยี่ยนอวี่มากเท่าใดนัก หากไม่ใช่เพราะแม่นมของซูจิ่นอวิ๋นและเฟิงฮูหยินน้อยพูดจาใส่ร้ายเกี่ยวกับนาง พูดถูกเป็นผิดเกี่ยวกับนาง เกรงว่าเหยาเยี่ยนอวี่คงจะไม่อยู่ในสายตาขององค์หญิงต้าจั่งแม้แต่น้อย
ทว่าองค์หญิงต้าจั่งกลับสำคัญสำหรับเหยาเยี่ยนอวี่อย่างมาก คำพูดเพียงคำเดียวของนางหรือแม้แต่สายตาของนางก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของเหยาเยี่ยนอวี่ได้แล้ว
ระหว่างทางกลับจวน เหยาเยี่ยนอวี่นั่งพิงอยู่ในรถม้า นางหลับตาครุ่นคิดอย่างละเอียด นึกถึงคำครหาที่จู้ซื่อกล่าวหานางอย่างจงใจนั้นยังมีประโยชน์ต่อใครบ้าง
การที่เฟิงฮูหยินน้อยเอาเรื่องของเหยาเยี่ยนอวี่ไปฟ้ององค์หญิงต้าจั่งเช่นนั้น เป็นการทำนิสัยเหมือนเด็กจริงๆ แต่หากพูดถึงท่าทางเช่นนี้เป็นการรักบุตรีมากจนเกินไปก็ไม่ถือเป็นเรื่องผิดอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น เหยาเยี่ยนอวี่ก็เข้าใจว่า แม้ว่าเรื่องนี้อาจถือว่าจู้ซื่อกล่าวหาผู้อื่นไปเรื่อยเปื่อย แต่ในทางกลับกัน ผู้อื่นกลับสามารถว่ากล่าวได้ว่าคุณหนูรองเหยาช่างใจจืดใจดำกับผู้อื่นก่อน ไม่เช่นนั้นหากไม่มีเหตุจะมีผลได้อย่างไร จู้ซื่อที่เป็นเพียงสาวใช้ จะใส่ร้ายนางที่เป็นเพียงคนนอกโดยไม่มีมูลเหตุได้หรือ?
เห็นได้ชัดว่าการกระทำเช่นนี้ล้วนทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความเสียหาย ทว่าแผนการนี้ก็ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรจู้ซื่อก็เป็นเพียงบ่าวรับใช้ ต่อให้วันหนึ่งบ่าวสิ้นใจไป ก็ไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหายอะไร ทว่าสำหรับเหยาเยี่ยนอวี่ นี่คงเป็นการทำลายความประทับใจขององค์หญิงต้าจั่งที่มีต่อนาง
เมื่อคิดถึงเช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่อดหัวเราะในลำคอไม่ได้ น้ำในจวนติ้งโหวถือว่าลึกจริงๆ ! ดูเหมือนนางไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่นานๆ อาการป่วยของเหยาเฟิ่งเกอต้องเร่งรักษาเสียแล้ว
เมื่อกลับมาถึงจวนติ้งโหว ลู่ฮูหยินบอกว่าร่างกายของตนอ่อนเพลียแล้ว จึงสั่งให้เฟิงฮูหยินน้อยและคนอื่นๆ กลับไปพัก คืนนี้ไม่ต้องมาปรนนิบัติรับใช้นางอีก แต่อย่างไรทั้งเฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยยังคงปรนนิบัติรับใช้ลู่ฮูหยินเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จ ถึงจะแยกย้ายกันกลับเรือนของตนเอง ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับเป็นคนแรกที่ขอตัวกลับไปยังเรือนฉีเสียงก่อน
เหยาเฟิ่งเกอรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง เพราะถึงอย่างไรหลี่หมัวมัวก็ไม่ใช่คนที่ยอมผู้อื่น เวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่สนิทสนมและเกี่ยวข้องกับพวกนาง พวกนางไม่อาจยอมทนดูเหยาเยี่ยนอวี่ถูกทำให้เสียหายโดยไม่กระทำการใดหรอก
เมื่อเดินเข้าประตู เหยาเยี่ยนอวี่เห็นสตรีสวมชุดกระโปรงหรูผ้าต่วนสีเขียวนกยูงกำลังคุกเข่าอยู่หน้าประตูเรือนนอนของเหยาเฟิ่งเกอ ขณะที่เหยาเฟิ่งเกอกลับนอนพิงอยู่บนเตียง ซานหูกำลังคุกเข่าอยู่ข้างเตียง และกำลังป้อนข้าวต้มสมุนไพรให้กับนาง
“พี่สาว” ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้าประตู ก็ชำเลืองมองสตรีที่คุกเข่าอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง
“กลับมาแล้วหรือ” เหยาเฟิ่งเกอผลักช้อนที่ซานหูยกขึ้นมาใกล้ออกไป ดวงหน้าเคล้าด้วยรอยยิ้ม “เหนื่อยไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่เดินตรงไปนั่งอยู่หน้าเตียงนอนของเหยาเฟิ่งเกอ และแย้มยิ้มพลางพูด “โชคดีที่องค์หญิงต้าจั่งทรงเป็นกันเองจึงเข้าถึงง่ายเจ้าค่ะ ดังนั้นเลยไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไรนัก แล้วครึ่งค่อนวันที่ผ่านมานี้ พี่สาวรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เหยาเฟิ่งเกอจับมือเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้ แล้วพูดขึ้น “ข้าสบายดี รู้สึกมีชีวิตชีวากว่าเมื่อวาน ทว่าข้าที่เป็นเช่นนี้กลับทำให้น้องสาวต้องเหน็ดเหนื่อย แล้วยังต้องโมโหกับพวกสุนัขรับใช้ที่อู้งาน เป็นเพราะข้าที่เป็นพี่สาวไร้ความสามารถ”
“พี่สาวอย่าได้กล่าวเช่นนี้เลย ข้าไม่ได้มีความรู้สึกขุ่นเคืองใดๆ เจ้าค่ะ โบราณกล่าวไว้ว่ามือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง สายตาขององค์หญิงต้าจั่งและลู่ฮูหยินเฉียบแหลม แผนการร้ายที่น่าละอายของคนเหล่านั้น ไม่อาจรอดพ้นสายตาของพวกท่านได้อย่างแน่นอน พี่สาวไม่จำเป็นต้องเสียสุขภาพจิตเพราะเรื่องเหล่านี้”
“องค์หญิงต้าจั่งและฮูหยินเข้าใจทุกอย่างได้อย่างถ่องแท้นั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ขอเพียงข้ายังมีลมหายใจ ข้าไม่อาจยอมให้ภูตผีปีศาจเหล่านั้นมาสร้างความเดือดร้อนภายในเรือนหรอก” เหยาเฟิ่งเกอกล่าวขึ้น แล้วปรายตาอันเย็นยะเยือกไปยังหน้าประตู จากนั้นถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “คุณชายสามเองก็หูเบา เห็นว่าน้องสาวของข้าถูกรังแกถึงเพียงนี้ กลับไม่เอ่ยสิ่งใดเลยสักคำ?”