ถึงเวลานี้ หากเหยาเยี่ยนอวี่ไม่รู้ว่าผู้ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตูคือใคร เช่นนั้นนางเกิดมาสองชาติสองภพนั้นก็คงเสียเปล่า คิดว่าเหยาเฟิ่งเกอคงถือโอกาสนี้สั่งสอนสาวใช้ผู้ร่วมหอแดงกับซูอวี้เสียง ทันใดนั้น นางยิ้มเล็กน้อยพลางพูดขึ้น “เหตุเกิดจากพวกบ่าวไพร่โวยวายเรื่อยเปื่อย คุณชายสามเป็นบุรุษจึงเกียจคร้านที่จะถามเรื่องพวกนี้ พี่สาวอย่าได้คิดมากไปเลย คุณชายสามและพี่สาวเข้ากันได้ดีเยี่ยงฉินเส้อสอดประสานกัน ไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเล็กน้อยมาทำให้ต่างฝ่ายต่างเสียความรู้สึกหรอก”
“น้องสาวเป็นคนที่ใจกว้างและคิดถึงความคิดของผู้อื่นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด” เหยาเฟิ่งเกอตบมือของเหยาเยี่ยนอวี่เบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “วันนี้เจ้าเหนื่อยมาครึ่งค่อนวันแล้ว รีบกลับเรือนไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวตอนกินมื้อค่ำค่อยมาพูดคุยเล่นกับข้า”
“เจ้าค่ะ พี่สาวก็พักผ่อนเสียเถิด อย่ารู้สึกขุ่นเคืองอะไรเลยนะเจ้าคะ” เหยาเยี่ยนอวี่ขยับกายลุกขึ้นพร้อมกับอำลา ก่อนจะไปก็ปรายตามองหลิงจือที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตูอีกครั้ง
เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะออกไป ซูอวี้เสียงก็เข้ามาทันที พอเห็นหลิงจือคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ซูอวี้เสียงจึงชะงักประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่ทำไมกัน”
หลิงจือมองซูอวี้เสียงด้วยความทุกข์ทรมานใจ และไม่กล้าพูดอะไร นางเป็นสาวใช้ที่เชื่อฟังคำสั่งของซูอวี้เสียงมาแต่เด็ก นางเข้ามาในจวนโหวตอนอายุสิบขวบ ตอนแรกได้ปรนนิบัติรับใช้ลู่ฮูหยินก่อน และตอนที่นางอายุสิบห้า ลู่ฮูหยินจึงยกนางให้กับคุณชายสาม ตอนนั้นฮูหยินน้อยสามยังไม่ทันได้แต่งเข้าจวน นางก็ได้เป็นสาวใช้ร่วมหอแดงของซูอวี้เสียงไปแล้ว
คุณชายสามเป็นบุรุษที่รักหยกถนอมบุปผา หลิงจือเองก็มีรูปร่างหน้าตาที่ดี อีกทั้งยังเป็นสตรีที่อ่อนโยน ดังนั้นซูอวี้เสียงจึงหลงใหลในตัวนางมาโดยตลอด
แต่หลังจากที่เหยาเฟิ่งเกอเข้าจวน พวกเขาก็เป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามัน และมีความรักที่หวานชื่นยิ่ง คุณชายสามแห่งตระกูลซูจึงได้ทิ้งหลิงจือไว้เพียงลำพัง หลิงจือก็ต้องรู้สึกโกรธเคืองอยู่บ้าง จึงได้เผลอแอบบ่นออกมากับสาวใช้ที่สนิทกับหู่พั่วซึ่งเป็นสาวใช้คนสนิทของเหยาเฟิ่งเกอ ทำให้เหยาเฟิ่งเกอคิดเก็บกวาดนางโดยเกือบจะส่งนางไปอยู่ที่วัดประจำตระกูล
ก่อนหน้านี้ หลิงจือยังคาดหวังว่าคุณชายสามจะออกหน้าแทนตน แต่ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกอย่างภายในเรือนของคุณชายสาม ฮูหยินน้อยสามเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ ลู่ฮูหยินก็ไม่ได้สนใจอะไรตั้งแต่แรก และเหยาเฟิ่งเกอเองก็เป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง จึงพยายามตั้งใจทำทุกวิถีทาง เพื่อให้คุณชายสามลุ่มหลงในความอ่อนโยนของนาง แล้วเขาจะไปสนใจสาวใช้ที่ถูกซื้อกลับมาเพียงไม่กี่ตำลึงเงินได้อย่างไร
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้งก่อนหน้านี้ หลิงจือจึงถูกซูอวี้เสียงเมินเฉย ตอนนี้พอซูอวี้เสียงถามหลิงจือ นางก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ได้แต่มองซูอวี้เสียงด้วยความโศกเศร้าเพียงครู่เดียว จากนั้นก็ก้มหน้าลงต่ำ
เหยาเฟิ่งเกอที่อยู่ด้านในกลับหัวเราะเสียงเบาพลางกล่าวขึ้น “ท่านพี่ไม่ทราบหรอก แม่นางหลิงจือผู้นี้ถือว่ามีใจยิ่งนัก เมื่อครู่นางเพิ่งบอกข้าว่าอาการของข้าสามารถดีขึ้นในวันนี้ ล้วนเป็นเพราะบรรพบุรุษที่อยู่บนสวรรค์คอยคุ้มครอง และพระพุทธองค์คอยปกปักรักษา นางยังบอกว่า เพื่อที่จะให้คุณชายสามและข้ามีชีวิตที่สันติสุขตลอดไป นางเต็มใจไปสวดมนต์ขอพรให้พวกเราที่วัดประจำตระกูลเจ้าค่ะ”
ซูอวี้เสียงยิ้มอ่อนพลางนั่งอยู่ข้างเตียงของเหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นก็หันไปมองหลิงจือที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตู แล้วถามขึ้น “นี่คือความจริงหรือ?”
เหยาเฟิ่งเกอเปรยเสียงเบา “ข้ารู้สึกเสียดายนาง จึงไม่อยากปล่อยนางไป นางกลับคุกเข่าแล้วไม่ยอมลุกขึ้นเสียที ความจริงใจอีกทั้งจงรักภักดีของนางนี้ ทำให้ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดเยี่ยงไรดี หากน้ำใจนี้ข้ารับไว้ ข้าก็กลัวว่าคนนอกจะหาว่าข้ามีจิตใจที่อำมหิต และถ้าหากไม่รับไว้ ก็กลัวว่าเป็นการดูหมิ่นแม่นางผู้นี้ สองทางเลือกนี้ทำให้ข้ารู้สึกลำบากใจยิ่งนัก ท่านพี่เห็นว่าเรื่องนี้ควรทำเช่นไรดี ปล่อยให้นางคุกเข่าอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องหรอกหรือ”
“บ่าว…” หลิงจืออยากบอกว่านางไม่อยากไป อยากบอกคำพูดที่ฮูหยินน้อยสามกล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องจริง แต่นางเห็นสีหน้าของเหยาเฟิ่งเกอที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเลือดเย็น คำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากก็ต้องกลืนเข้าไปใหม่ ความโหดเหี้ยมของฮูหยินน้อยสามผู้นี้ นางเคยได้เห็นมาแล้ว ถ้านางอยากจะสังหารคนขึ้นมา นางก็สามารถลงมือในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
“ช่างปะไรไป” ซูอวี้เสียงไม่ใช่คนโง่เขลา คำพูดพวกนั้นของเหยาเฟิ่งเกอน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด เขารู้ดีแก่ใจ แต่พอนึกถึงตอนที่อยู่จวนองค์หญิงต้าจั่ง แม่นมผู้นั้นบังอาจใส่ความเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วยังเป็นเหตุทำให้องค์หญิงต้าจั่งอคติกับเหยาเยี่ยนอวี่ เขาจึงรู้สึกเคียดแค้นขึ้นมาทันที ทันใดนั้นจึงได้กล่าวขึ้นอย่างเด็ดขาด “ในเมื่อเจ้าก็จงรักภักดีเช่นนี้ ก็จงไปเถอะ ไปเรียนพระอาจารย์ใหญ่ในวัดว่า หลิงจือมีหน้าที่แค่สวดมนต์เพื่อขอพรเท่านั้น จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอื่น”
หัวใจของหลิงจือเสมือนหล่นลงไปในห้องเก็บน้ำแข็งทันทีทันใด ในใจรู้ดีว่าชาตินี้ตนคงเป็นได้เพียงเช่นนี้ จึงได้แต่กัดฟันเพื่อสกัดกลั้นน้ำตาพลางก้มตัวหมอบลง พร้อมกล่าว “ขอบคุณนายท่านที่ยินยอม” จากนั้นก็เหยียดกายลุกขึ้นพลางถอยออกไปข้างนอกแล้วเดินจากไป
เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่บนตั่งไม้แล้วฟังชุ่ยเวยรายงานเรื่องที่เหยาเฟิ่งเกอเนรเทศหลิงจือ จากนั้นจึงถามด้วยความสงสัย “นางเชื่อฟังเพียงนี้? และไม่ได้โวยวาย?” ตามหลักเหตุผลแล้ว เมียบ่าวไม่ใช่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสามีของตนก็ควรโวยวายเพื่อหาทางรอดหรอกหรือ? มันมักถูกเขียนไว้ในนิยายรักโบราณที่เคยอ่านก่อนหน้านี้
ชุ่ยเวยคลี่ยิ้มอ่อนๆ “นางอยากจะโวยวาย แต่คุณชายสามเป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อน นางจะไปกล้าพูดอะไรอีกเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า ในใจก็ครุ่นคิดเช่นนั้น มันก็ใช่ หากต่อหน้าบุรุษ แม่นางผู้นั้นทำตัวโวยวายไร้เหตุผล คงเป็นการกระทำที่โง่เขลา ดูท่าแล้ว สาวใช้ที่มีนามว่าหลิงจือก็ไม่ได้โง่เขลามากนัก
ไม่แน่ตอนกลางคืน เวลาที่ซูอวี้เสียงจากเรือนของเหยาเฟิ่งเกอไป ถ้าหากตรงหน้าไม่มีบุคคลอื่นใดอยู่ แม่นางผู้นั้นอาจจะเข้าไปร้องห่มร้องไห้ในอ้อมกอดของสามีนางก็เป็นไปได้ หรืออีกทางหนึ่งคืออาจจะอ้างการแขวนคอตายหรือชนฝาผนังตายก็ได้ เพื่อที่จะร้องขอให้คุณชายสามที่รักหยกถนอมบุปผาเห็นใจ ไม่แน่อาจจะทำให้เขาเปลี่ยนใจก็ได้
ชุ่ยเวยเห็นคุณหนูตนเองยังทำสีหน้าที่ดูหมิ่นดูแคลนเหมือนเดิม จึงพูดขึ้นเสียงเบา “คุณหนูวางใจเถอะ สาวใช้ที่ต่ำต้อยคนนั้นคงไม่มีโอกาสได้เงยหน้าอ้าปากอีกแน่นอน”
“อ้อ?” เวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่กลับใคร่สนใจขึ้นมาจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหยาเฟิ่งเกอที่ป่วยมานานครั้งนี้จะลุกมาจัดการจริงๆ?
ชุ่ยเวยขยับมาใกล้ข้างหูของเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วกล่าวด้วยเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ยกหู่พั่วให้คุณชายสาม บอกว่าตอนที่ผ่านพ้นช่วงเวลาไว้อาลัยของแคว้นเสร็จก็จะมอบนางให้อย่างเป็นทางการ แล้วจะให้นางได้มีเรือนนอนอย่างเปิดเผย ทั้งยังจะให้สถานะนางเป็นอนุภรรยา คุณชายสามมีหู่พั่วแล้วจะไปสนใจหลิงจืออีกได้อย่างไร”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงรู้สึกพูดอะไรไม่ออกอย่างฉับพลัน ตอนแรกที่เหยาเฟิ่งเกอแต่งเข้าจวนโหว ตระกูลเหยาก็ได้ให้นางพาสาวใช้ที่อยู่ในส่วนของสินสมรสออกเรือนมาพร้อมกับนางทั้งหมดสี่นาง ได้แก่ ซานหู หู่พั่ว เจินจู และหลิวหลี ทั้งสี่นางนี้ ซานหูกับหู่พั่วเป็นบ่าวที่ปรนนิบัติรับใช้นางตั้งแต่เล็ก ส่วนเจินจูและหลิวหลีนั้นถูกเลือกมาจากสาวใช้ขั้นสามเพราะมีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม
นั่นก็หมายความว่าเจินจูและหลิวหลีได้ถูกเตรียมไว้เป็นสาวใช้ร่วมหอแดงกับซูอวี้เสียง เพื่อที่จะเอามามัดใจของคุณชายสามแห่งตระกูลซู ไม่ให้ไปลุ่มหลงบ่าวรับใช้ที่เป็นผู้ร่วมหอแดงก่อนหน้านี้ หรือเพื่อที่จะไม่ให้ไปเที่ยวหากินข้างนอก
เหยาเฟิ่งเกอแต่งเข้ามาเป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว นางป่วยไปราวๆ สองปี เจินจูและหลิวหลีก็ได้เป็นบ่าวร่วมหอแดงกับซูอวี้เสียงตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ทว่าซานหูกับหู่พั่วเป็นบ่าวที่รับใช้นางมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรเหยาเฟิ่งเกอก็รู้สึกเสียดาย ทีแรกก็คิดว่าถ้าผ่านสองปีนี้ไป นางจะหาบุรุษที่สามารถพึ่งพาได้ ให้พวกนางได้ออกเรือน แล้วปล่อยให้ไปใช้ชีวิตของตนเอง แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ดูๆ แล้วก็คงไม่สามารถไปสนใจเรื่องพวกนั้นอีก
ในเรือนของเหยาเฟิ่งเกอ หลี่หมัวมัวและซานหูเพิ่งจะเช็ดตัวให้เหยาเฟิ่งเกอเสร็จ ซานหูยกกะละมังออกไป ในเรือนจึงเหลือเพียงหลี่หมัวมัวและเหยาเฟิ่งเกอเพียงสองคน หลี่หมัวมัวกำลังสวมเสื้อผ้าตัวในให้กับเหยาเฟิ่งเกอพลางพึมพำขึ้นด้วยเสียงเบา “นายหญิงเจ้าคะ หมากตัวนี้อันตรายเกินไปแล้ว ถ้าเกิดตอนนั้นคุณชายสามไม่สนใจในคำพูดของท่าน ไม่ใช่เป็นการทำให้สาวใช้ชั้นต่ำคนนั้นสาแก่ใจอีกหรือ”
เหยาเฟิงเกอหัวเราะเสียงเบาอย่างเลือดเย็น “เจ้าคิดว่าหากข้าไม่มีความมั่นใจแล้วจะทำเช่นนี้ออกมาได้หรือ”
หลี่หมัวมัวยังคงไม่ได้รู้สึกคลายข้อสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไร เกิดเป็นบ่าวไพร่ก็ต้องรู้จักขอบเขตของการเป็นบ่าวไพร่
เหยาเฟิ่งเกอกลับเอ่ยขึ้นด้วยตนเอง “ตอนนี้คุณชายสามมัวแต่คิดถึงน้องสาวของข้าสุดหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นหลิงจือ หรือแม้แต่หู่พั่ว เกรงว่าไม่มีใครสามารถเข้าตาเขาได้เลย อีกอย่าง เขาก็รู้ว่าข้าจัดการหลิงจือ เพื่อที่จะแก้แค้นแทนเยี่ยนอวี่ เขาเลยช่วยเหลือข้า”
หลี่หมัวมัวถอนหายใจเสียงเบา แล้วไม่พูดอะไรมากอีก
นางก็หวังว่านายหญิงของตนจะดีขึ้น แต่ก็รู้สึกว่าคุณหนูรองก็ถือเป็นคนที่มีนิสัยใจคอไม่เลว ระหว่างนายหญิงกับคุณหนูรอง เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของนาง นางก็ต้องเลือกนายหญิงเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเรื่องของคุณหนูรอง นางรู้สึกจากใจจริงว่าควรปิดปากให้เงียบจะดีที่สุด