เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกคู่ขนานแห่งหนึ่ง…
ฤดูใบไม้ร่วงทางภาคเหนือ ท้องฟ้าไกลลิบ อากาศเย็นสบาย เมฆขาวลอยล่องเต็มฟ้า นกกระจอกบินไปทางใต้ สายลมเย็นสบายพัดพาใบไม้ทองอร่ามโปรยปราย ถือเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงาม!
แต่ก็มีบางคนไม่คิดแบบนี้
ทางมุมตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองกู่หลินมีภูเขาลูกหนึ่ง ยืดยาวมาจากเทือกเขาฉางไป๋ มีนามว่าเทือกเขาทงเทียน เทือกเขาทงเทียนมีภูเขาโดดขึ้นมาอยู่ลูกหนึ่ง นามว่าภูเขาเอกดรรชนี ภูเขาไม่ถือว่าสูง แต่กลับมองเห็นฟ้าไกล น่าเสียดายไม่มีน้ำ บนภูเขามีวัดแห่งหนึ่งนามว่าวัดเอกดรรชนี! วัดมีทางเข้าแค่หน้าหลังสองทาง ด้านหน้าเป็นวัด ด้านหลังเป็นกุฏิ และก็เป็นที่พักของเหล่านักบวช…เฮอะๆ ให้พูดจริงๆ คือที่พักของสามเณรฟางเจิ้ง เพราะทั้งวัดมีแค่เขาคนเดียว
เมื่อวานนี้หลวงจีนหนึ่งนิ้วของวัดเอกดรรชนีมรณภาพไปแล้ว วัดเล็กที่เดิมทีชำรุดแทบจะจบสิ้นลง ตอนนี้อ้างว้างยิ่งกว่าเดิม
ภายในลานวัดมีต้นโพธิ์ต้นหนึ่ง เป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นมาถวายให้ในตอนนั้น ขนย้ายมาจากภาคใต้ พอปลูกต้นโพธิ์แล้วผู้มีอิทธิพลคนนั้นกลับต้องโทษประหาร เรื่องที่จะสร้างให้กับวัดจึงไม่เป็นจริงและไม่มีเรื่องราวต่อไปอีก
ถึงจะปลูกต้นโพธิ์แล้ว แต่อากาศทางภาคเหนือหนาวเหน็บ ตอนนั้นก็หนาวจนเกือบตาย ตอนนี้เหลือเพียงลำต้นแห้งๆ ฟางเจิ้งคิดอยู่หลายครั้งว่าอีกสักสองสามปีคงจะตัดมาเป็นฟืนได้…
เวลานี้ฟางเจิ้งยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ในมือถือเอกสารฉบับหนึ่ง แววตาดูคับแค้นใจยิ่ง เงยหน้าเพ่งมองฟ้าพลางสวดบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ เป็นวันซวยจริงๆ ฉันแค่อยากสึก! ตอนนี้มาให้เอกสารเก่าๆ แบบนี้ทำไม? หรือแค่เพราะเอกสารเก่าๆ นี่ฉันถึงต้องเป็นเจ้าอาวาสวัดร้างนี่อย่างนั้นเหรอ? หนึ่ง วัดนี่ไม่มีเงิน สองไม่มีคน แม้แต่ธูปยังไม่มี นอกจากพายุฝนกับสีเขียวขจีแล้วก็ไม่มีอะไรดีเลยจริงๆ!
เฮ้อ…ฉันแค่อยากเป็นคนธรรมดาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่งงานมีลูก จากนั้นตายอย่างสงบ แบบนี้มันยากเรอะ? ตอนแรกก็มีหลวงจีนเฒ่าคนหนึ่งเลี้ยงฉันจนโตอย่างลำบาก ฉันก็อดทน ตอนนี้หลวงจีนเฒ่าไปแล้ว ทำไมฉันยังต้องเปื่อยตายอยู่ในวัดนี้? ไม่! ไม่มีวัน!”
พูดจบ ฟางเจิ้งม้วนเอกสารฉบับนั้นแล้วโยนไว้ในโพรงไม้
จากนั้นกลับเข้าห้อง เก็บสัมภาระเตรียมเดินทาง!
ทว่าตอนที่เดินมาถึงประตูใหญ่ของวัดเอกดรรชนี เขากลับหยุดลง หันไปมองป้ายทรุดโทรมของวัดพลางอดนึกถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้วที่เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ไม่ได้ เหตุที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วมีนามเรียกอย่างนี้นั่นเป็นเพราะเขามีเพียงนิ้วเดียว นิ้วเดียวทำอะไรได้? เกรงว่าคนส่วนใหญ่คงทำอะไรไม่ได้เลย แต่หลวงจีนหนึ่งนิ้วกลับทำนาด้วยตัวเองได้ จากนั้นอาศัยการบิณฑบาตนำเงินจากการขายกับข้าวมาส่งฟางเจิ้งเข้าโรงเรียนจนถึงมัธยมปลาย
ประตูบานนี้ หลวงจีนหนึ่งนิ้วเป็นคนส่งฟางเจิ้งลงเขาไปเรียนหนังสือ
และเป็นประตูบานนี้ ทุกครั้งที่ฟางเจิ้งกลับมาจะเห็นหลวงจีนหนึ่งนิ้วรอเขาอยู่หน้าประตู
เพียงแต่ว่าผ่านไปในแต่ละปีแต่ละวัน ฟางเจิ้งตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ หลวงจีนหนึ่งนิ้วเตี้ยลง หลังค่อมมากขึ้น อาการปวดต่างๆ ถามหา แต่ฟางเจิ้งไม่เคยเห็นหลวงจีนหนึ่งนิ้วเจ็บปวดมาก่อน ท่านยังคงยิ้มพูดทำนองว่า ได้เห็นฟางเจิ้งเติบโตแข็งแรงขึ้นทุกวัน วัดเอกดรรชนีมีคนสืบทอดต่อแล้ว แค่นี้เขาก็ดีใจและพอใจแล้ว
พอได้ฟังดังนั้น ทุกครั้งฟางเจิ้งจะห่อเหี่ยว พูดอยู่ในใจว่า หลวงจีนท่านนี้ไม่เหมือนไต้ซือเลยสักนิด! ไต้ซือไม่ควรพูดแบบนี้ หรือจะพูดให้ฉันคิดได้กัน?
น่าเสียดายค่าเรียนมัธยมปลายสูงเกินไป หลวงจีนหนึ่งนิ้วร่างกายเริ่มแย่ลง ไม่มีแรงส่งฟางเจิ้งเรียนหนังสือต่อ ฟางเจิ้งเลยขึ้นเขากลับมาอยู่กับหลวงจีนหนึ่งนิ้ว น่าเสียดายหลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่ให้เขาทำนา ให้แต่อ่านพุทธคัมภีร์ เรียนพระธรรม กินข้าว ตักน้ำอะไรทำนองนี้ตามที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วทำ
เวลาผ่านไปสามปี หลวงจีนหนึ่งนิ้วมรณภาพแล้ว
ฟางเจิ้งเรียนมัธยมปลายไม่จบมาสามปี คนรุ่นเดียวกันใกล้จะขึ้นปีสี่ แต่เขายังอยู่วัดเอกดรรชนี จึงเต็มไปด้วยความคับแค้นต่อที่นี่ อยากจะพูดกับหลวงจีนหนึ่งนิ้วว่าจะลงเขาไปหางานทำหลายครั้ง ไปใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา ไม่อยากลำบากแล้ว
แต่ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าเจ็บปวดของหลวงจีนหนึ่งนิ้ว เขาจะทำใจพูดต่อไม่ได้
ฟางเจิ้งคิดมาตลอดว่าเขาคือซุนหงอคง ส่วนหลวงจีนหนึ่งนิ้วคือบ่วงของพระถังซัมจั๋งสวมอยู่ที่หัว ให้เขาไม่มีอิสระไปชั่วชีวิต แต่หลังจากหลวงจีนหนึ่งนิ้วมรณภาพไปจริงๆ แล้วเขาพลันพบว่าเขาผิด! หลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่ใช่บ่วงรัดหัว แต่เป็นคนที่เขาใกล้ชิดที่สุด! เป็นบุพการี เป็นทุกอย่าง!
ดังนั้นเขาถึงร้องไห้ คุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพหลวงจีนหนึ่งนิ้วหนึ่งวัน หลังกลับขึ้นเขามาแล้วก็ยังร้องไห้อีกเจ็ดวัน!
หกวันก่อนหน้านี้เสียใจจริงๆ วันต่อมาหิว…
ดีที่วันที่เจ็ดหน่วยราชการส่งคนมาถวายข้าวและบะหมี่ให้ จากนั้นมอบเอกสารฉบับนี้ไว้ ทั้งยังเลื่อนขั้นจากสามเณรเป็นเจ้าอาวาสให้ฟางเจิ้ง! ถึงวัดจะไม่อยู่ในการดูแลของรัฐบาล การเลื่อนขั้นก็ไม่ใช่ แต่เอกสารฉบับนี้กลับมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อยนับตั้งแต่นี้ไปฟางเจิ้งก็เป็นคนที่มีหลักแหล่งอย่างถูกต้อง
แต่ว่าฟางเจิ้งไม่ได้คิดจะเป็นนักบวช เขาอยากสึก แต่งงานมีลูก ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข! เขาไม่อยากจนอีกแล้ว!
พอนึกได้ดังนั้นฟางเจิ้งจึงหันหลับกลับไปมองพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรกลางอุโบสถพลางตะโกนด้วยความโกรธ มีสิทธิ์อะไร? มีสิทธิ์อะไรที่พวกท่านได้รับการเซ่นไหว้บูชา แต่พวกเรากลับต้องยากจน? ผมจะไม่คอยรับใช้อีกแล้ว! ไม่ทำแล้ว! จะไปแล้ว!
‘ติ๊ง!’ ตอนนี้เองเกิดเสียงดังในความคิดฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง ตะโกนเสียงดัง “ใคร?”
“ยินดีด้วยร่างสถิต ตรงตามเงื่อนไขการเปิดระบบพระพุทธองค์ มีวัดหนึ่งแห่งสำเร็จ มีผลทันที ท่านจะได้รับการปกป้องจากสวรรค์ เบิกเนตรหมื่นโลก”
“เล่นบ้าอะไร?” ฟางเจิ้งคิดว่ามีคนจะทำให้ตนอับอายจึงมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีใคร!
เขาค้นไปทั่วตัวก็พบกับโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง เป็นรุ่นโนเกียเมื่อหลายปีก่อน ยังรับสายได้ ทุบถั่ววอลนัทก็ได้ เสียงก็มีสองเสียง ไม่มีอินเทอร์เน็ต! ของแบบนี้ไม่มีทางใช้คำพูดระดับสูงแบบนี้ได้แน่!
ที่เหลือก็ไม่ใกล้เคียงกับความจริงตอนนี้เลย ไม่มีทางพูดได้
‘ติ๊ง! ตอบร่างสถิต ฉันคือระบบพระพุทธองค์ นายคือคนที่พระพุทธองค์เลือก’
“ระบบ? ระบบพระพุทธองค์?” ฟางเจิ้งนึกถึงอะไรบางอย่างจึงถามออกไป “สูตรโกงเหรอ?”
‘จะอธิบายแบบนั้นก็ได้’
“ถ้างั้นนายเอาอะไรมาให้ฉันได้?” ฟางเจิ้งถามขึ้นจากนั้นยิ้มแห้งพูดต่อ “เอาล่ะ ไม่ต้องตอบ ฉันจะสึกลงเขาแล้ว จะมาเป็นพระพุทธองค์อะไร…”
‘ชื่อเสียงเงินทองและผู้หญิง!’
“ฉันว่าฉันต้องทบทวนสักหน่อยแล้ว จริงๆ แล้วฉันก็ซาบซึ้งในพระธรรมอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยหลวงตาหนึ่งนิ้วก็เคยบอกไว้” ฟางเจิ้งรีบเปลี่ยนคำทันที
‘ไม่ให้หรอก!’ ระบบตอบกลับอย่างเชื่องช้า
“เวรเอ๊ย นี่ล้อฉันเล่นเรอะ? ไม่เล่นด้วยแล้ว ฉันจะลงเขา!” ฟางเจิ้งหิ้วสัมภาระจะเดินจากไป
เสียงระดับดังขึ้นอีกครั้ง ‘แต่ฉันจะช่วยนายให้เป็นเจ้าอาวาสและไต้ซือที่หมื่นคนบนโลกนี้เลื่อมใส เปลี่ยนวัดเอกดรรชนีให้เป็นวัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก!’
…………………….
← ตอนก่อน