บทที่ 4.2 ความลับของจ้าวมณีสวรรค์ (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พลันครางในลำคอด้วยความโกรธ “เจ้าอ้วนน้อยโจว ข้าจะจัดการอีก 9 แส้ที่เหลือในวันหลัง! ด้วยร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้เจ้าจะเป็นทหารได้อย่างไร? ก่อนจะเข้าร่วมการฝึกทหาร ผู้บัญชาการกองพันเช่นข้านี้จะฝึกส่วนตัวให้เจ้าอย่างหนักเอง ถ้าเจ้าฝึกกับข้าไม่ผ่าน ก็เก็บข้าวของไปจากที่นี่ซะ อย่าทำให้กองพันทหารที่ 3 ของเราเสียหน้า! ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้งครั้งมื้ออาหารกลางวัน” หลังจากพูดจบ เธอก็หมุนเท้าจากไป

 

โจวเหว่ยชิงมองดูซ่างกวนปิงเอ๋อร์จากไป หลังจากที่เขายืนขึ้น สีหน้าเจ้าเล่ห์พลันหายวับไป “ทุกคนย่อมมีนิสัยแตกต่างกัน เฮ้อ เอาล่ะ! จากนี้ไปข้าจะไม่โกรธผู้บัญชาการกองพันอีกแล้ว เพราะถ้าเทียบกับตี้ฝูหยาแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นคนที่จิตใจดีมากเลยทีเดียว” จริงๆแล้วเขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะถูกปล่อยตัวอย่างง่ายดายเช่นนี้พนันได้เลยว่าถ้าคนที่จัดการกับตนเป็นตี้ฝูหยา เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานกับการลงแส้อีก 9 ครั้งที่เหลือเป็นแน่!!

 

หลังจากการโจมตีครั้งแรก โจวเหว่ยชิงก็เห็นชัดเจนจากสีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ว่าเธอทนเห็นเขาทรมาณอีกเป็นครั้งที่สองไม่ได้ และนั่นทำให้เด็กหนุ่มประทับใจและชื่นชอบเธอเป็นอย่างมาก แน่นอนสำหรับปีศาจจอมเจ้าเล่ห์ตนนี้  ความรู้สึกชอบนั้นทำให้เขาคิดย้อนกลับไปถึงสัมผัสบนมือของตนเมื่อวันก่อนหน้า ซึ่งนั่นทำให้โจวเหว่ยชิงน้ำลายไหลขึ้นมาอีกครั้ง

 

ไม่ช้าก็เวลาเที่ยงตรง อาหารกลางวันในกองทัพไม่มีอะไรพิเศษ พวกมันคืออาหารง่ายๆ ที่กินเพียงเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น เนื่องจากโจวเหว่ยชิงไม่ได้คุ้นเคยกับการดูแลเป็นพิเศษหรือกินอาหารที่หรูหราจากตระกูล เขาจึงพอใจกับการเติมท้องด้วยอาหารพื้นๆ เช่นนี้ แน่นอนว่าสถานที่ๆ เด็กหนุ่มกำลังรับประทานอาหารอยู่คือโรงอาหารของพลทหารธรรมดา ส่วนนายทหารระดับอื่นๆ ก็มีพื้นที่แยกออกไปเป็นสัดส่วน

 

เมื่อเขากลับมาจากโรงอาหารก็เห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนรอเขาอยู่ข้างนอกกระโจมแล้ว เธอยังคงอยู่ในชุดเดียวกันกับตอนก่อนหน้านี้

 

โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองอย่างลับๆ ว่า ‘*จะดีสักแค่ไหนหากเธอเป็นคนรักที่กำลังรอเขาอยู่’*แน่นอนมันเป็นเพียงความคิดที่เหลวไหลของเด็กหนุ่ม ข้อดีที่สุดของโจวเหว่ยชิงก็คือรู้ถึงขีดจำกัดของตนเอง และเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของอาณาจักรจะตกหลุมรักกับเศษสวะที่เส้นลมปราณอุดตันเช่นเขา

 

“คารวะท่านผู้บัญชาการกองพัน” โจวเหว่ยชิงรีบเดินไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็วและทักทายอย่างมีไหวพริบ

 

แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นคนจิตใจดีโดยกำเนิด แต่เธอก็ยังฉลาดหลักแหลมมากเช่นกัน หลังจากที่หญิงสาวตีโจวเหว่ยชิงและจากไปในตอนเช้าเธอก็ตระหนักได้ว่าตัวเองถูกหลอก! เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ใช้แรงมากขนาดนั้นเสียหน่อย เขาจะเจ็บปวดทุรนทุรายอย่างไร? เห็นได้ชัดว่าคนเจ้าเล่ห์นั่นแกล้งแสดงตบตา! ถึงแม้เด็กหนุ่มอาจจะดูซื่อตรงมาก แต่เจ้าอ้วนน้อยโจวนั่นต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน!! และหากหญิงสาวไม่ลงโทษเขาให้หลาบจำก็คงบรรเทาความโกรธของตนไม่ได้ เมื่อคิดว่าชายคนแรกที่แตะต้องตัวเธอนั้นเป็นคนกลิ้งกลอกเช่นนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่สามารถระงับอารมณ์อยากสังหารคนเอาไว้ได้อีก

 

“เจ้าอ้วนน้อยโจว ข้าขอถามเจ้า การเป็นพลธนูนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างเคร่งขรึม

 

โจวเหว่ยชิงตอบอย่างไม่รั้งรอ “ความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความแม่นยำ”

 

เมื่อได้ยินคำตอบที่รวดเร็วและถูกต้อง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงค่อนข้างประหลาดใจ “ดีมาก เจ้าพูดถูก จากพฤติกรรมของเจ้าในเช้าวันนี้ ข้าเห็นว่าร่างกายของเจ้าอยู่ในสภาพไม่ดีและไม่อยู่มาตรฐานสำหรับพลธนู ดังนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะทำการฝึกพิเศษให้เจ้า”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไป “ผู้บัญชาการกองพัน พวกเราเริ่มทีหลังได้หรือไม่? ข้าเพิ่งกินอาหารกลางวันมา และอยากจะงีบหลับตอนบ่ายสักหน่อย…”

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้ามีสิทธิ์ต่อรองกับข้าได้ด้วยรึ?! ทหารต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ข้าหวังว่าเจ้าจะจำจุดนั้นได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเป็นทหารที่ดีได้หรือ? ข้าจะไปเตรียมของบางอย่าง การฝึกพิเศษของเจ้าจะเริ่มในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า!”

 

หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์จากไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะแสดงออกว่าแข็งแกร่ง แต่หัวใจเธอก็อ่อนโยนจริงๆ  ให้เวลาข้าหนึ่งชั่วโมงแหน่ะ! ฮ่าๆๆ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องแสดงละครต่อหน้านางอีกแล้วละมั้ง เอาล่ะ ข้าไปงีบสักหน่อยดีกว่า นอนกลางวันนั้นเป็นกิจวัตรที่ยอดเยี่ยมเชียวล่ะ ดีสำหรับผิวพรรณด้วย!”

 

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมาในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังพร้อมกับแบกถุงที่มีน้ำหนักมากมาด้วย สิ่งที่เธอได้ยินก็คือเสียงกรนของเจ้าอ้วนน้อยโจว

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทั้งขันและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน เจ้าอ้วนน้อยโจวนี้เพียงแค่กินและนอนจริงๆ เช่นนี้เขาก็ไม่สามารถบอกได้แล้วว่าเธอใช้อำนาจของเธอรังแกเขา ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มจะนอนหลับได้สนิทพร้อมกับกรนเสียงดังขนาดนี้

 

“อ้วนน้อยโจว ตื่นเดี๋ยวนี้!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตะโกนเสียงดังอยู่นอกกระโจม เธอจะไม่เข้าไปในกระโจมของเขาเด็ดขาด! จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าไอ้เจ้ากลิ้งกลอกนั่นนอนเปลือยอยู่?

 

เสียงกรนยังคงดำเนินต่อไป

 

ดวงตาเจ้าเล่ห์ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์พลันประกายวิบวับ ทันใดนั้นเธอก็ตะโกนเสียงดัง “ไฟไหม้ !! ไฟไหม้ !! “

 

“อ๊าาาาาาาาาาาาา…” เสียงกรีดร้องดังก้องจากภายในกระโจมก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะรีบวิ่งอย่างงุ่มง่ามออกมาจากกระโจม โชคยังดีที่แม้ว่าเด็กหนุ่มจะแต่งตัวไม่เรียบร้อย แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสวมเสื้อผ้า

 

“ไหน ที่ไหน?ไฟไหม้ที่ไหน?!!!” โจวเหว่ยชิงตะโกนขณะที่เขารีบวิ่งออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างโมโห “เจ้ากลัวตายขนาดนั้นเลยหรือ หา!?”

 

เมื่อถึงตอนนี้ ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตื่นเต็มตา เขามองไปรอบๆ และตระหนักได้ว่าไม่มีเปลวไฟสักที่ เด็กหนุ่มจึงรู้ทันทีว่าถูกหลอก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “มนุษย์ย่อมกลัวตายเป็นธรรมดา คนที่ไม่กลัวตายคือคนโง่!! นี่ท่าน หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอกลับไปนอนจะได้ไหม…” หลังจากกล่าวเสร็จ เขาก็มุดหัวเข้ากระโจมของตนอีกครั้ง

 

“ไอ้เจ้าคนทุเรศ!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตระหนักว่าทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับเจ้าอ้วนน้อยโจว ตนเองก็มักจะตกอยู่ในความเดือดดาลเสมอ

 

“ผู้บัญชาการกองพัน มีอะไรอีกหรือเปล่าขอรับ?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างหงุดหงิด

 

“การฝึกพิเศษ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กัดฟันพูดขณะมองดูคนเจ้าหน้าด้านนั่นทำท่าจะมุดกลับกระโจม หญิงสาวยกมือขึ้นแล้วโยนถุงผ้าหนักๆ ใส่แขนของโจวเหว่ยชิง ตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะให้บทเรียนแก่เขาวันนี้ให้ได้เพื่อบรรเทาความขุ่นเคืองของตนเอง

 

ฉับพลันนั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกว่ามือของเขากำลังถือบางอย่างที่หนักๆ และเมื่อเปิดถุงดู เด็กหนุ่มก็พบว่ามันเต็มไปด้วยก้อนหินที่มีน้ำหนักรวมประมาณ 20 กิโลกรัม ฉับพลันนั้นเองเขาก็ไม่กล้าจะแข็งข้ออีกต่อไป โจวเหว่ยชิงพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร “ผู้บัญชาการกองพัน นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้วนะขอรับ!!!!”

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นชา “ในฐานะที่เป็นพลธนู ความเร็วและความแข็งแกร่งของเจ้าจะต้องมากกว่าผู้อื่น ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนทางร่างกายอย่างหนักเจ้าจะอยู่รอดในสนามรบได้อย่างไร?”

 

โจวเหว่ยชิงกล่าวตอบ “แต่ว่า…แค่ยิงแม่นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?”

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย “งั้นเจ้ายิงธนูแม่นหรือไม่?”

 

โจวเหว่ยชิงมีความมั่นใจในการยิงธนูของเขามากจึงพยักหน้าทันที

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ได้! หากฝีมือการยิงธนูของเจ้าแม่นยำกว่าข้า หรืออย่างน้อยก็เท่ากับข้า เจ้าก็ไม่ต้องเข้ารับการฝึกพิเศษจากข้า ไปเก็บอุปกรณ์ของเจ้าแล้วตามข้ามา!”โจวเหว่ยชิงโค้งรับคำสั่งอย่างสั่นเครือ ก่อนจะติดตาม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกจากค่ายทหารไป

 

เมื่อพวกเขาออกจากค่ายทหารแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หยุด และชี้ไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ลำต้นของมันมีความหนาเท่ากับร่างมนุษย์คนหนึ่ง ตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 หลา “เห็นต้นไม้นั่นไหม? การจะเป็นนักแม่นธนูธรรมดาๆ เจ้าต้องยิงศัตรูที่อยู่ไกลออกไปอย่างน้อย 200 หลาได้ เป้าของเจ้าตอนนี้คือตรงกลางลำต้นของต้นไม้นี้ เอาล่ะ เริ่มได้!!”

 

โจวเหว่ยชิงนำคันธนูของเขาออกมา ก่อนจะดึงลูกธนูความยาวประมาณ 90 เซนติเมตร ออกมาจากแล่งธนู พาดลูกศรไปที่คันธนูง้างสายและเล็งไปยังเป้าตรงหน้า มองเห็นต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป 200 เมตรเป็นเพียงเป้าเล็กๆ ก่อนปล่อยลูกธนูออกไป

 

…………………………………………………………………..