บทที่ 4.3 ความลับของจ้าวมณีสวรรค์ (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น  ลูกศรพุ่งออกไปปักแน่นที่กลางต้นไม้ เพียงแต่มันแฉลบไปซ้ายเล็กน้อยจากเป้าหมายตรงกลาง

ทักษะการยิงของโจวเหว่ยชิงนั้นถือว่าค่อนข้างแม่นยำ เนื่องในกองพันที่ 3 มีเพียงแค่หัวหน้ากองร้อยเท่านั้นที่ทำได้ดีถึงเพียงนี้ แม้ว่าพลทหารแม่นธนูจะต้องยิงเป้าขนาดเท่ากับมนุษย์จริงในระยะ 200 เมตรให้ผ่าน แต่ก็มีทหารเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ทำได้

“ฮ่าๆ ข้ายิงเข้าเป้าล่ะ!” โจวเหว่ยชิงโบกธนูของตนให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างพึงพอใจ อันที่จริงเขาไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยว่าจะยิงเข้าเป้า เพราะดูเหมือนว่าจากทักษะของโจวเหว่ยชิง เขาสามารถยิงได้เข้าเป้าประมาณ 7 ใน 10 ครั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กหนุ่มเลือกเข้าร่วมหน่วยธนูตั้งแต่แรก

“นั่นถือว่ายิงเข้าเป้าแล้วหรือ? ข้าบอกให้เจ้ายิงเข้า “ตรงกลาง” เป้า ข้าใช้เท้ายิงก็ยังแม่นกว่าเจ้าเสียอีก!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเหยียดหยาม

โจวเว่ยชิงหันขวับกับคำพูดของเธอทันที “ใช้เท้าของท่านงั้นเหรอ? พิสูจน์สิ! หากท่านสามารถใช้เท้ายิงเข้าเป้ากลางต้นไม้ต้นนั้นได้ ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่างรวมถึงเข้าฝึกพิเศษด้วย!!!”

“ข้าเป็นผู้บัญชาการกองพันของเจ้า ยังไงซะเจ้าก็ควรฟังคำสั่งของข้าอยู่ดี! เอาธนูของเจ้ามานี่!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยความโกรธ

โจวเหว่ยชิงมอบคันธนูและลูกธนูให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หญิงสาวกล่าวอย่างเย็นชา “ดูนี่ซะ!” ขณะที่เธอพูดก็สะบัดรองเท้าออก เผยให้เห็นเท้าเรียวนุ่มขาวกระจ่างใสคู่หนึ่ง ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะได้ทันตอบสนอง หญิงสาวก็พลันยกเท้าขึ้นจับคันธนู ขาขวาถูกยกขึ้นกวาดไปด้านหลังเพื่อยกธนูขึ้น เธอใช้มือทั้งสองข้างยันกับพื้นเพื่อพยุงตัวเองไว้ และใช้เท้าอีกข้างคีบลูกธนูออกจากแล่ง

สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงอ้าปากค้างด้วยความตกใจก็คือร่างกายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ (ที่อยู่ในท่ากลับหัว) นั้นถูกดัดราวกับคันธนู ขาขวาของเธออยู่ตำแหน่งด้านหน้า ส่วนขาซ้ายก็กำลังพาดลูกศรไว้ที่สายธนูและง้างออกเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว บั้นท้ายของหญิงสาวอยู่ในตำแหน่งเดียวกับศีรษะ และขาเรียวยาวก็อยู่ตรงหน้าโจวเหว่ยชิง

เธอใช้ขาขวาปล่อยลูกศรออกมา เสียงแหวกอากาศเกิดขึ้นก่อนลูกศรจะพุ่งออกไปราวสายฟ้า โจวเหว่ยชิงมองตามลูกธนูตาไม่กระพริบ ท้ายสุดเขาก็เห็นลูกศรนั้นปักกระแทกเข้าไปในลำต้นของต้นไม้นั้นตรงกลางเป้าพอดิบพอดี

เป็นไปได้ยังไง!? ทักษะการใช้ขายิงธนูของหญิงสาวนั้นช่างงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ! โจวเหว่ยชิงชื่นชมจากหัวใจ สมควรแล้วที่เธอเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆ ของอาณาจักร! สิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แสดงก่อนหน้านี้คือความสามารถในการยืดหยุ่น และควบคุมร่างกาย และหญิงสาวไม่ได้ใช้ปราณสวรรค์หรือมณีสวรรค์แม้แต่น้อย เธอใช้ศักยภาพของตนเองเช่นเดียวกับโจวเหว่ยชิง ซึ่งนั่นเป็นเพียงทักษะการยิงธนูธรรมดาๆ เท่านั้น

หลังการพลิกตัวกลับมายืนดังเดิม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พาตัวเองมายืนอยู่หน้าโจวเว่ยชิงก่อนที่จะเหวี่ยงคันธนู   และแล่งธนูคืนให้เขา หญิงสาวกล่าวอย่างสุขุม “ตอนนี้เจ้าเชื่อหรือยัง?”

โจวเหว่ยชิงมองเธออย่างใจลอยและกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการกองพัน…ข้าคิดว่าครั้งต่อไปหากท่านใส่ชุดกระโปรงก็ไม่ควรใช้ทักษะเช่นนี้อีก มิฉะนั้นท่านจะเปิดเผยบางอย่างออกมาได้…แต่จริงๆ แล้วเรียวขาของท่านสวยงามมากขอรับ!!!” ทว่าเขาก็ยังมีอีกประโยคที่ได้แต่เก็บไว้พูดกับตนเอง  ‘บั้นท้ายของท่านก็มีรูปร่างที่ดีเช่นกันนะขอรับ!!’

เพราะก่อนหน้านี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นโจวเหว่ยชิงมีท่าทีตกใจจึงคิดว่าท่าทางแบบนั้นหมายความว่าเขากำลังประทับใจในฝีมือของเธอ ทว่าหญิงสาวกลับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรทำนองนี้ออกมา! นั่นจึงทำให้ดวงตาของเธอลุกโชนด้วยความโกรธอีกครั้งด้วยความอับอาย “ในหัวขี้เลื่อยของเจ้ามีอะไรบ้างหา?! มีแต่ความคิดสกปรกพวกนั้นตลอดเลยใช่หรือไม่!? เอาล่ะ อย่าชักช้า!!! แบกถุงนี่ไปและวิ่งรอบๆ ค่ายจนกว่าข้าจะบอกให้หยุด หรือจะให้ข้าเปลี่ยนเป็นการซ้อมกับข้าตัวต่อตัว?!!!”

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้…” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด เด็กหนุ่มแบกถุงขึ้นและเริ่มออกวิ่งอย่างช้าๆ น่าเสียดาย ไม่ว่าตอนนี้เขาจะดูน่าสมเพชแค่ไหนในสายตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงกลับกระตุ้นให้เธออยากจะทุบตีเขามากกว่าเดิม

“เร็วขึ้น! เร็วขึ้นอีก!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เตะเข้าที่ด้านหลังเด็กหนุ่มก่อนจะสวมรองเท้าและวิ่งตามไป เธอจะดูแลการฝึกซ้อมนี้อย่างดีเป็นการส่วนตัว และไม่ให้โอกาสเขาได้พักผ่อนแน่!

โจวเหว่ยชิงหันกลับไปมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์และตระหนักว่าตอนนี้เธอมณีสีแดงเป็นประกายอยู่ 2 ดวงรอบข้อมือ

นั่นคือมณีสวรรค์งั้นหรือ? โจวเหว่ยชิงมองด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าการวิ่งในขณะที่แบกถุงน้ำหนัก 20 กิโลกรัม ไปด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทว่าเขาก็ยังพอจะรับมือไหว สำหรับมณีสวรรค์นั้น เขามีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมัน และปรารถนาที่จะครอบครองมันมาก ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ท่านผู้บัญชาการกองพัน นั่นคือมณีสวรรค์ของท่านใช่หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าจ้าวมณีสวรรค์นั้นครอบครองทั้งมณียุทธ์และมณีธาตุ มณีธาตุของท่านคือทับทิมสีเพลิงใช่หรือไม่?”

มณีสีแดงทั้ง 2 ดวงนั้นมีลักษณะคล้ายกันกับมณีธาตุไฟของตี้ฝูหยา ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่เขาเห็นคือแสงสว่างเรืองรองของมณี เมื่อเปรียบเทียบกับมณีของตี้ฝูหยา มณีที่ข้อมือซ้ายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นสว่างกว่าเกือบสองเท่า นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบระหว่างทับทิมธรรมดาของตี้ฝูหยากับทับทิมสีเพลิงทั้งสองดวงบนข้อมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ มณีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นดูนุ่มนวล และมีชีวิตชีวากว่า ทำให้เกิดความรู้สึกสงบ และเบาสบายเมื่อมองดู

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ถ้าเจ้าวิ่งได้เร็วกว่าข้า ข้าจะบอกเจ้า” แม้ว่าเธอจะโกรธเจ้าอ้วนน้อยโจว แต่หญิงสาวก็ไม่ได้รู้สึกระแวดระวังเขาอย่างใด ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ เธอสามารถตรวจสอบได้ว่าโจวเหว่ยชิงนั้นไม่มีปราณสวรรค์ใดๆเลย

เมื่อได้ยินดังนั้นโจวเหว่ยชิงก็เลิกพยายามหาทางแอบอู้ เขาเร่งฝีเท้าขึ้น แม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับตน แต่ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมณีสวรรค์นั้นอยู่เหนือทุกสิ่ง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อ “จ้าวมณีสวรรค์นั้นแตกต่างจากทั้งจ้าวมณียุทธ และจ้าวมณีธาตุ มันไม่ง่ายเหมือนการครอบครองพลังมณีทั้งสองประเภท เจ้าดูเหมือนจะรู้ข้อมูลพื้นฐานของจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุ เช่นนั้นเจ้าบอกได้ไหมว่าพลังของข้าแตกต่างกับทั้งจ้าวมณียุทธ์และจ้าวมณีธาตุอย่างไร?” ขณะที่กล่าว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็แสดงมณีที่มือขวาของเธอให้ดู

รอบๆ ข้อมือขวาของเธอคือหยกสองดวง ทั้งคู่มีสีเขียวอ่อนเปล่งประกายราวกับมรกตโปร่งแสง

“หยกหินมังกร…บริสุทธิ์?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ หยกหินมังกรนั้นถือว่าเป็นมณีชั้นสูงสำหรับจ้าวมณีธาตุเพราะว่าพวกมันช่วยเสริมความเร็วให้แก่เจ้าของแต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงประหลาดใจที่สุด สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือความบริสุทธิ์ของมณีต่างหาก เห็นได้ชัดว่ามณียุทธ์ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นไม่มีหยกชนิดอื่นๆ ผสมอยู่ด้วยเลย และหยกชนิดเดียวที่เธอมีนั้นคือหยกประเภทเสริมความเร็วอย่างหินมังกรบริสุทธิ์

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าว“มณียุทธ์ของจ้าวมณีสวรรค์นั้นแตกต่างจากมณียุทธ์ของจ้าวมณียุทธ์ธรรมดาในแง่ของความบริสุทธิ์ กล่าวคือจ้าวมณีสวรรค์สามารถเพิ่มทักษะยุทธ์ได้เพียงอย่างเดียว ตัวอย่างเช่นของข้าคือความเร็ว อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการเพิ่มพลังจะมากกว่า 1.5 เท่า ของมณียุทธ์ปกติ ซึ่งความรู้ทั้งหมดนี้ปกติแล้วได้รับการสอนในโรงเรียนสำหรับจ้าวมณี

บริสุทธิ์ มันคือความบริสุทธิ์ของมณีนั่นเอง! โจวเหว่ยชิงพลันรู้แจ้งถึงความแตกต่างระหว่างจ้าวมณีสวรรค์และจ้าวมณียุทธ์ แม้ว่าจะสามารถมีทักษะยุทธ์ได้เพียง 1 อย่าง แต่พลังที่มากว่าปกติ 1.5 เท่าในทุกๆ ระดับขั้นพลังนั้นหมายความว่า ไม่ว่าทักษะยุทธ์ใดๆ ที่จ้าวมณีสวรรค์นั้นครอบครอง จ้าวมณียุทธ์ธรรมดานั้นไม่สามารถต่อกรได้เลย

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อไป “สำหรับมณีธาตุของข้า มันไม่ใช่ทับทิมอย่างที่เจ้าคิด ทักษะธาตุของข้าไม่ใช่ไฟ แต่เป็นลม” ที่จริงแล้วหญิงสาวไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกอย่างให้โจวเหว่ยชิงฟังด้วยซ้ำ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกมีความสุขเมื่อได้เห็นใบหน้าตกตะลึงของเจ้าหมอนั่น

“ลม? แต่ว่ามณีธาตุลมควรจะเป็นทุรมาลินสีเขียวไม่ใช่หรือ!” โจวเหว่ยชิงถามอีกครั้งอย่างแปลกใจ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ในทำนองเดียวกัน มณีธาตุของจ้าวมณีสวรรค์ก็มีความแตกต่างจากจ้าวมณีธาตุทั่วไป มณีธาตุของข้าเป็นทุรมาลินก็จริง แต่มันก็เป็นทุรมาลินที่หายากที่สุดในทุรมาลินทั้งหมด นั่นก็คือ ทุรมาลินสีแดงที่รู้จักกันในนามราชันแห่งทุรมาลินนั่นเอง นี่คือความแตกต่างอีกอย่างระหว่างจ้าวมณีสวรรค์และจ้าวมณีธาตุ แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นธาตุลมเหมือนกัน แต่ทักษะธาตุลมของราชันแห่งทุรมาลินของข้าอยู่ที่ประมาณ 1.5 เท่าของทุรมาลินธรรมดา คุณสมบัติอื่นๆ ก็เหมือนกัน พูดง่ายๆ ก็คือมณีของจ้าวมณีสวรรค์มักจะเป็นมณีชั้นสูงที่สุดของมณีธาตุเสมอ”

…………………………………………………………..