บทที่ 4.4 ความลับของจ้าวมณีสวรรค์ (4)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

“นี่มันโหดเกินไปแล้ว!!! หมายความว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีแค่1 ดวงนั้นแข็งแกร่งกว่าจ้าวมณีธาตุ หรือจ้าวมณียุทธที่มีมณี 2 ดวงหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวตอบ “ในแง่ของความแข็งแกร่งขั้นพื้นฐาน ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม จ้าวมณีสวรรค์นั้นก็มีช่วงเวลาการฝึกที่หนักหน่วงมากกว่าจ้าวมณีธาตุหรือจ้าวมณียุทธ์ทั่วๆ ไป ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ จ้าวมณียุทธหรือจ้าวมณีธาตุที่สามารถฝึกฝนจนครอบครองมณีครบทั้ง 9 ดวงนั้นยังถือว่ามีมากมาย แต่ทว่าข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีจ้าวมณีสวรรค์คนใดที่สามารถฝึกฝนไปถึงขั้นสูงสุดนั้นได้มาก่อน ในความเป็นจริงแล้ว จ้าวมณีสวรรค์ควรจัดเป็นผู้ฝึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับจ้าวมณีแบบอื่นๆ ด้วยซ้ำ

 

ตำนานกล่าวไว้ว่า จ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดจะสามารถครอบครองมณีได้สูงสุดถึง 12 ดวง ซึ่งระดับพลังนั้นย่อมขัดต่อกฎธรรมชาติ ดังนั้นคนผู้นั้นจึงสามารถเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งวัฏจักรโลกได้ตามใจชอบ!” ขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวนั้น ดวงตาของเธอก็เผยความปรารถนาที่อยากจะขึ้นไปอยู่ในระดับดังกล่าว

 

“มณี 12 ดวงเชียวนะ!! จ้าวมณีสวรรค์สามารถครอบครองมณีได้ถึง 12 ดวง!! และมณีทั้งหมดนั่นย่อมไม่ใช่มณี 9 ดวงที่พบได้ทั่วไปสำหรับจ้าวมณียุทธ์หรือจ้าวมณีธาตุ”

 

หลังจากฟังคำอธิบายจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็รู้ว่าบิดาของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน  นั่นก็เพราะว่าบิดาของเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่ครอบครองมณี 8 ดวงนั่นเอง!!

 

เห็นดังนั้น โจวเหว่ยชิงจึงถามอย่างสงสัยว่า “ข้าได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่โจวแห่งอาณาจักรของเราเป็นจ้าวมณีสวรรค์ เขาแข็งแกร่งมากหรือไม่?”

 

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ลังเล “แน่นอนว่าเขาแข็งแกร่ง! แม่ทัพใหญ่โจวคือคนที่ข้าเคารพมากที่สุด! แม้แต่ในอาณาจักรใหญ่ๆ ทั้งหลาย ระดับพลังของเขาก็ถือว่าแข็งแกร่งมาก ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงอาณาจักรเล็กๆ อย่างอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราเลย กระทั่งจักรพรรดิของเรายังเคยกล่าวเอาไว้ว่า แม้ว่าจ้าวมณีทั้งหมดในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะร่วมมือกันก็ยังไม่สามารถเอาชนะแม่ทัพใหญ่โจวเพียงคนเดียวได้ นั่นก็เพราะแม่ทัพใหญ่โจวครอบครองมณีทั้งหมดถึง 8 ดวง ซึ่งก็หมายความว่าเขาคือผู้ครอบครองมณีระดับเทวะขั้นกลาง ซ้ำในแผ่นดินนี้เขายังถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญลำดับต้นๆ ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะธาตุของแม่ทัพโจวยังติด 1 ใน 4 ของทักษะธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย!”

 

แม้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะกำลังยกย่องบิดาของตนอยู่ แต่โจวเหว่ยชิงนั้นกลับไม่ได้ดีใจเลยสักนิด เหตุผลนั้นก็ง่ายๆ หลังจากที่เด็กหนุ่มใช้พลังทั้งหมดเพื่อวิ่งไล่ตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ให้ทัน เรี่ยวแรงก็ถูกใช้จนเกือบจะหมดไปแล้ว โจวเหว่ยชิงได้แต่หอบหายใจ ตัวเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ในตอนนี้แม้แต่การอ้าปากพูดก็ดูเหมือนจะยากเกินไป

 

“เร็วๆ หน่อยสิ!” จู่ๆ ก็มีแส้ปรากฏในมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเมื่อมองใบหน้าของโจวเหว่ยชิงที่เต็มไปด้วยเหงื่อ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข จริงๆ แล้วเจ้าคนไร้ยางอายนี่ก็มีสภาพร่างกายค่อนข้างดีอยู่เหมือนกัน หลังจากวิ่งมานานพร้อมกับแบกถุงถ่วงน้ำหนักไปด้วย เขาก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ ชัดเจนว่าความเจ็บปวดที่เด็กหนุ่มแสดงก่อนหน้านี้เป็นของปลอม!

 

“ผู้บัญชาการกองพัน ข้าไปต่อไม่ไหวแล้ว ให้ข้าพักเถิด!” โจวเหว่ยชิงเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าของเขาพลางจ้องมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างอ้อนวอน

 

น่าเสียดายที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ตกหลุมพรางของจอมเจ้าเล่ห์นี่อีก ใบหน้าที่งดงามของเธอจึงเย็นเยียบขึ้น จากนั้นแส้ของเธอก็ฟาดเข้าที่บั้นท้ายของโจวเหว่ยชิงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ความเจ็บปวดทำให้โจว เหว่ยชิงสั่นสะท้าน และฝีเท้าอันเชื่องช้าของเด็กหนุ่มก็เพิ่มความเร็วอีกครั้ง ก็ไอ้เจ้าเกราะอ่อนนั่นไม่ได้ป้องกันบั้นท้ายของเขาเสียหน่อยนี่หว่า!!

 

ในทางกลับกัน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่วิ่งอยู่เคียงข้างโจวเหว่ยชิงนั้นดูเกือบจะคล้ายกับภูติผี ปลายเท้าของเธอแตะพื้นเบาๆ แต่ดูราวกับว่าสามารถลอยขึ้นได้เกือบ 10 เมตรในทุกๆ ก้าว การวิ่งของหญิงสาวจึงดูเหมือนจะไม่ต้องใช้แรงเลยด้วยซ้ำ สาเหตุนั้นก็มาจากการที่มณียุทธ์ของเธอเพิ่มความคล่องตัวและความเร็วให้กับร่างกาย ส่วนมณีธาตุของซ่างกวนปิง  เอ๋อร์ก็เป็นทักษะธาตุลมที่เร็วที่สุด ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าตัวเธอเป็นส่วนผสมที่ดีที่สุดสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ที่ว่องไวปราดเปรียว หากว่าหญิงสาววิ่งด้วยความเร็วสูงสุด แม้แต่จ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 4 ดวงก็ไม่สามารถไล่ตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทัน

 

“อ้ากกกกกกกกกก!! เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!!!” เมื่อถูกฟาดเข้าที่บั้นท้าย โจวเหว่ยชิงก็พยายามจะยืนขึ้นต้านแรงโน้มถ่วง แต่ปรากฏว่าเขากลับล้มลงไปคลุกฝุ่นอีกครั้ง  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะล้มลงอีกครั้ง เท้าเรียวงามข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเด็กหนุ่ม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้นิ้วเท้ายันหน้าอกของโจวเหว่ยชิงเอาไว้ไม่ให้ล้มลง ก่อนจะใช้มันดันตัวเขาขึ้นไปยืนอย่างมั่นคง จากนั้นแส้อีกตัวก็ฟาดลงบนบั้นท้ายของเขาอีกครั้ง นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงตะโกนด้วยความเจ็บปวด

 

“แสดงละครต่อไปสิ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงกัดฟัน เธอแทบจะไม่ได้ใช้พลังใดๆ เลยในการทดลองฟาดเขาครั้งแรก และก็เป็นอย่างที่หญิงสาวคาดไว้ เจ้าอ้วนน้อยโจวนั่นล้มเหลวในการตบตาครั้งนี้! นั่นจึงพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายแสดงละครมาตลอด!

 

และเพราะเหตุนั้น ต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงจึงไม่มีโอกาสได้แกล้งล้มลงอีก เธอจึงเป็นเหมือนกับเงามรณะที่ติดตามตัวเขา ทันทีที่โจวเหว่ยชิงเริ่มวิ่งช้าลงก็จะมีแส้ฟาดลงมาทันที และเมื่อเด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นล้มลง เขาก็จะได้รับการช่วยเหลือด้วยปลายเท้าจากนั้นก็ตามมาด้วยแส้ ดังนั้นคราวนี้โจวเหว่ยชิงจึงได้รับบทเรียนอย่างแสนสาหัสจริงๆ บั้นท้ายของเขาแสบร้อน และร่างกายก็เริ่มเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ปอดก็ราวกับมีไฟสุม แต่ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่สามารถชะลอตัวได้

 

“ผู้บัญชาการกองพัน ข้า…ข้า…ข้าผิดไปแล้ว…” โจวเหว่ยชิงนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการพูดจาเกลี้ยกล่อมเอาใจ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ที่คนดื้อด้านไม่ยอมรับความผิดของตน เพราะท้ายที่สุดแล้วคนฉลาดย่อมรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง แต่อนิจจา หลังจากที่ถูกหลอกถึงสองครั้งสองครา  ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่หลงกลอุบายของโจวเหว่ยชิงอีก

 

“ตอนนี้เจ้าสึกนึกผิดแล้วใช่หรือไม่? แต่ว่ามันก็สายไปแล้ว!!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเดือดดาล

 

หลังจากผ่านไป 15 นาที เครื่องแบบทหารของโจวเหว่ยชิงก็เปียกโชกไปหมด เพราะแบกถุงที่มีน้ำหนัก 20 กิโลกรัม ขณะกำลังวิ่งไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นเด็กอายุ 13 ปีเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาจะต้านทานการออกกำลังที่หนักหน่วงเช่นนี้ได้อย่างไร

 

นัยน์ตาของโจวเหว่ยชิงเริ่มพร่ามัวก่อนจะดับวูบลง ร่างกายของเขาจึงล้มฟุบไปข้างหน้าอีกครั้ง เท้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยื่นออกไปพยุงร่างเด็กหนุ่มเหมือนปกติ แต่ทว่าคราวนี้แม้ว่าเธอจะหยุดเขาไว้ได้แต่ร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็ยังคงดิ่งลงพื้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คิดอะไรไม่ออกชั่วขณะ จากนั้นหญิงสาวก็อ้อมไปข้างหลังพร้อมกับพยุงร่างของอีกฝ่ายวางลงบนพื้นด้วยเท้า เวลานี้เธอรู้แล้วว่าเจ้าทหารใหม่นี่เป็นลมไปแล้วจริงๆ

 

“เฮ้ย! เฮ้ย! เจ้าอ้วนน้อยโจว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้เท้าเขี่ยร่างของโจวเหว่ยชิงสองที ทุรมาลินบนข้อมือซ้ายของเธอสว่างวาบขึ้นและแสงสีแดงจางๆ ก็พุ่งไปยังข้อมือของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ต้องการที่จะสัมผัสตัวอีกฝ่าย หญิงสาวจึงใช้พลังของตนตรวจสอบชีพจรของเขาดู

 

“เป็นลมไปจริงๆ เหรอนี่?” ปราณสวรรค์ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ในขั้นพื้นฐานระดับ 8 แล้ว และแม้ว่าเธอจะใช้ปราณสวรรค์จากมณีธาตุของเธอตรวจสอบร่างกายของโจวเหว่ยชิง แต่เห็นได้ชัดว่าคราวนี้เขาไม่ได้แสดงละครและหมดสติไปจากความเหนื่อยล้าจริงๆ

 

………………………………………………………….