ณ จวนตระกูลแม่ทัพใหญ่
ในห้องรับแขกมีบุรุษ 2 คนกำลังนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ หนึ่งในนั้นคือจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ตี้เฟิงหลิง ส่วนอีกด้านเป็นบุรุษที่มีรูปร่างกำยำดั่งเจดีย์เหล็ก เขามีอายุราว 50 ปี ผิวสีทองแดงเปล่งรัศมีความแข็งแกร่ง ใบหน้าสี่เหลี่ยมองอาจ ดวงตาเรียวดั่งพยัคฆ์ จมูกโด่งและริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง แม้ว่าเขาจะกำลังนั่งอยู่ แต่ทว่าใครๆ ต่างก็สามารถมองเห็นตัวตนสูงใหญ่ของเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ได้อย่างง่ายดาย
กล้ามเนื้อที่ดูแข็งแกร่งราวหินผาถูกเสริมให้ดูน่าเกรงขามด้วยชุดเครื่องแบบทหาร ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยพลัง นัยน์ตาสีดำเข้มดูเหมือนจะมีแสงเรืองรองออกมาจากภายใน ชายคนนี้เป็นเสาหลักของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ แม่ทัพใหญ่โจวสุ่ยหนิว หรือก็คือบิดาของโจวเหว่ยชิงนั่นเอง
แม่ทัพโจวมีความคล้ายคลึงกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์เนื่องจากเขาเกิดมาในครอบครัวคนธรรมดาเดียวเช่นกัน ครอบครัวของชายหนุ่มหาเลี้ยงชีพโดยการเลี้ยงกระบือ ซึ่งนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อเขานั่นเอง ( 水牛 shuiniu แปลว่ากระบือ) แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะชื่อของเขา เพราะใครก็ตามที่ทำเช่นนั้นได้ตายไปแล้วนั่นเอง
“ฝ่าบาท ดูนี่สิ เช้านี้มีคนส่งจดหมายนี่มาให้ข้า มันเป็นลายมือของเจ้าเด็กเหลือขอนั่นจริงๆ” โจวสุ่ยหนิวส่งจดหมายให้จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงดู
“พี่ใหญ่โจว ท่านทำจดหมายปลอมขึ้นมาเพื่อปลอบใจข้าใช่หรือไม่? ยังไงซะ ข้าก็ได้ตัดสินใจแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเหว่ยชิง ตี้ฝูหยาจะต้องตายไปกับเขาด้วย” ตี้เฟิงหลิงกล่าวอย่างหนักแน่น เขานำตี้ฝูหยามาที่จวนแม่ทัพเมื่อวานนี้เพื่อขอขมาเป็นการส่วนตัว ทว่าเมื่อได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงยังกลับไม่ถึงบ้าน เขาก็ส่งคนจำนวนมากออกไปค้นหารอบๆ เมือง แต่สุดท้ายกลับไร้วี่แวว
โจวสุ่ยหนิวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท ข้าจะกล้าโกหกท่านได้อย่างไร? ท่านไม่ควรถูกหลอกด้วยท่าทางซื่อๆของเขา จริงๆ แล้วเจ้าเด็กนั่นเจ้าเล่ห์มากกว่าใคร และขนาดข้าเองก็ยังถูกหลอกมาหลายครั้ง เดาว่าคราวนี้รู้ตัวว่าก่อปัญหาร้ายแรง และกลัวว่าข้าจะจัดการกับตัวเอง นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ไม่กล้าวิ่งโร่กลับบ้าน ท่านดูสิ เจ้าเด็กนี่พล่ามได้ดูดีทีเดียว ฮึ่ม! ออกไปผจญภัยสร้างชื่อเสียงงั้นรึ? เรื่องตบตาชัดๆ! เจ้าเด็กนี่แค่ไม่กล้าจะโผล่หัวกลับมาบ้านเท่านั้นแหละ พวกเราอย่าไปใส่ใจเลยจะดีกว่า”
ตี้เฟิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ตราบใดที่เหว่ยชิงไม่กลับบ้านอย่างปลอดภัย ข้าก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้! ยังไงเรื่องนี้เป็นความผิดของตี้ฝูหยา พี่ใหญ่ หากเหว่ยชิงกลับมาบ้าน ท่านก็อย่าได้ลงโทษเขาเลย อย่างไรก็ซะเด็กคนนี้ก็เป็นคนน่าสงสาร เหว่ยชิงไม่ได้อยากเกิดมาพร้อมกับเส้นลมปราณอุดตัน ท่านไม่ควรทำเรื่องร้ายๆ กับเขาอีก”
“ฮึ!” โจวสุ่ยหนิวกล่าวอย่างไม่พอใจ “บิดาพยัคฆ์ บุตรสุนัข! อย่างน้อยเจ้าเด็กนั่นก็รู้ฐานะตัวเองดี เขาพูดถูก ตัวเองจะคู่ควรกับผู้สูงส่งอย่างองค์หญิงได้อย่างไร? ในความคิดของข้า เราควรทำตามที่เขาบอก ยกเลิกการหมั้นหมายไปซะ”
จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงหน้าเปลี่ยนสี “จะเป็นไปได้ยังไง! ตอนนี้ตี้ฝูหยาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลโจวแล้ว แม้ตายก็ยังเป็นผีตระกูลโจว! พี่ใหญ่ ท่านก็รู้ว่ากษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ ดังนั้นพวกเราไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้อีก หากข้าดูถูกเหว่ยชิงเพียงเพราะเขาไม่ใช่จ้าวมณี และยกเลิกการหมั้นหมาย ข้าจะมีหน้าเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ได้อย่างไร…”
ทันทีที่โจวเหว่ยชิงตื่นขึ้น เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง และเริ่มทนกลิ่นเหงื่อไคลไม่ไหว เด็กหนุ่มปวดเมื่อยที่ขาเป็นพิเศษมันหนักอึ้งราวกับว่าขาทั้งสองข้างนั้นทำมาจากลูกตะกั่ว ขยับแต่ละทีราวกับมีเข็มพันเล่มแทงไปทั่ว ซึ่งนั่นทำให้เขาร้องครางด้วยความเจ็บปวด
“ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ รอก่อนเถอะ!! สักวันเจ้าจะต้องอยู่ใต้อำนาจของข้า และข้าจะแก้แค้นเจ้าให้ดู!!”
หลังจากพักชั่วครู่ โจวเหว่ยชิงก็คลานออกมาจากเตียงของเขา ทันทีที่ลุกขึ้นก็เห็นว่าข้างเตียงมีถาดขนาดใหญ่ 2 ใบ วางอยู่พร้อมกับกระดาษที่เขียนด้วยลายมือแนบไว้ด้วย
เมื่อมองดูของในถาดสองใบนั้นก็พบว่าถาดหนึ่งมีหมั่นโถวลูกใหญ่อยู่ 3 ลูก ขณะที่อีกถาดมีอาหารอีก 2 ชนิดคือผักทอดและเนื้อตุ๋นวางอยู่ด้วยกัน โจวเหว่ยชิงนั้นใช้พลังงานทั้งหมดของเขาไปในตอนบ่ายแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงหิวโหยมาก เด็กหนุ่มจัดแจงช่วยตัวเองหยิบอาหารใส่ปากอย่างรวดเร็ว ในใจพลันคิดว่าอย่างน้อยซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มีสำนึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง หมั่นโถวนึ่งและกับข้าวยังคงอุ่นอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นรสชาติก็ค่อนข้างดีทีเดียว แน่นอนว่าอาหารพวกนี้ย่อมไม่ได้มาจากโรงอาหารของพลทหารธรรมดาเป็นแน่ ขณะที่กิน โจวเว่ยชิงก็มองดูกระดาษข้อความซึ่งเขียนไว้เพียง 4 คำเท่านั้นว่า “ฝึกต่อพรุ่งนี้”
“ปัดโถ่เอ้ย!! ยังไม่จบอีกหรือ!! ข้าจับสิ่งนั้นของเจ้าไปแค่ครั้งเดียวเอง!” โจวเหว่ยชิงพูดด้วยความโกรธเคือง จากนั้นก็บีบหมั่นโถวในมืออย่างแรงราวกับพยายามจะนึกถึงความรู้สึกในอุ้งมือตอนนั้นให้ได้
โจวเหว่ยชิงกินอาหารมื้อเย็นอย่างรีบๆ จากนั้นก็เผ่นออกจากกระโจมด้วยความรวดเร็ว เด็กหนุ่มต้องทนกับความเจ็บปวดไปทั่วร่างขณะอาบน้ำ แม้ว่ามารน้อยตนนี้จะฉลาดแกมโกง และกลัวตายเป็นที่สุด แต่เขามีข้อดีนั่นก็คือเขารักสะอาดเป็นอย่างมาก! ยิ่งไปกว่านั้นโจวเหว่ยชิงยังซักเสื้อผ้าเองด้วย!
อย่าได้คิดว่าเพราะเขาเกิดมาในตระกูลสูงส่งจะทำให้ไม่รู้จักทำงานบ้าน เพราะในความเป็นจริงนั้นมันตรงข้ามกันเลยต่างหาก!! โจวเหว่ยชิงเชี่ยวชาญงานบ้านต่างๆ ตั้งแต่การปรุงอาหารไปจนถึงการทำความสะอาดเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็มาจากการสอนสั่งของบิดาที่เข้มงวดของเขานั่นเอง
ที่คฤหาสน์ตระกูลแม่ทัพโจว โจวเหว่ยชิงอาศัยอยู่คนเดียวในพื้นที่ลานเล็กๆ ของตระกูล หลังจากอายุ 6 ขวบเขาก็ถูกบังคับให้ต้องพึ่งพาตนเองโดยไม่มีคนรับใช้ แม้ว่าแท้จริงแล้วเด็กหนุ่มจะมีทุกอย่างที่ต้องการก็ตาม ด้วยเหตุนี้แม่ทัพโจว และฮูหยินของเขาจึงทะเลาะกันหลายครั้งหลายครา แต่แม่ทัพโจวนั้นก็หัวแข็งยืนกรานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด และในท้ายที่สุดฮูหยินโจวจึงทำได้เพียงแค่สอนโจวเหว่ยชิงเกี่ยวกับการทำงานบ้านด้วยตัวเองเท่านั้น
หลังจากทำความสะอาดร่างกาย และซักชุดเครื่องแบบของเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนเป็นชุดใหม่และมุ่งหน้ากลับไปยังกระโจมของตนท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบราวกับไม่มีผู้คน
หลังจากกลับถึงกระโจม โจวเหว่ยชิงก็เปิดถุงผ้าที่เขาพกติดตัวมาด้วย ข้างในเป็นสิ่งของจิปาถะที่ซื้อหลังออกมาจากร้านช่างตีเหล็ก นั่นรวมถึงเครื่องปรุงอาหาร ตะเกียงน้ำมัน ฯลฯ แม้ว่าพวกมันจะเป็นสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ยังจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดในการเป็นทหารนั้นย่อมไม่ใช่การไม่ได้รับอาหารดีๆ อยู่แล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงซื้อเครื่องปรุงรสเหล่านั้นมาด้วย ซึ่งนั่นทำให้เขาสามารถทำอาหารได้ง่ายขึ้นหากจำเป็น และสำหรับน้ำมันตะเกียงนั่น มันมีประโยชน์ในเวลานี้นี่แหละ
โจวเหว่ยชิงหยิบชามข้าวที่เขาล้างแล้วมาเทน้ำมันตะเกียงลงไป จากนั้นก็นำด้ายบางๆ มาม้วนเข้าด้วยกัน และปักแช่ไว้ในน้ำมันสักครู่หนึ่งเพื่อทำไส้ตะเกียง จากนั้นก็จุดไฟ นี่คือการสร้างโคมไฟชั่วคราว มันสามารถให้แสงสว่างทั่วกระโจมขนาดเล็กของเขาได้
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เด็กหนุ่มก็มุดศีรษะออกนอกกระโจมแล้วมองไปรอบๆ เพื่อยืนยันว่าเขาอยู่คนเดียว จากนั้นก็มุดหัวกลับเข้าไป โจวเหว่ยชิงเอื้อมมือไปที่เสื้ออย่างระมัดระวังและหยิบถุงผ้าเคลือบมันออกมา
“โชคดีที่ห่อไว้ด้วยผ้าเคลือบมัน วันนี้ดันเหงื่อออกเยอะมากซะด้วย ถ้ามันเปียกจนขาดเสียหายไปจริงๆ ข้าคงจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ”เขาเปิดถุงผ้าอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นหนังสือเก่าๆ ที่ถูกห่ออยู่ข้างใน มันไม่ได้ทำจากกระดาษแต่ทำมาจากหนังแพะคุณภาพสูงเย็บเข้าด้วยกัน หนาประมาณ 2 นิ้ว และมีความยาวหลายสิบหน้า มันดูเก่าโบราณคร่ำครึ ขอบหนังสือก็ยังหลุดรุ่ยเป็นฝอยๆ ด้านบนของหนังสือเล่มนี้มีอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ 4 ตัว วิชาเทพอมตะ
นี่คือสมบัติที่โจวเหว่ยชิงนำมาจากป่าดาราเมื่อวานนี้ มันคือคัมภีร์ที่เขาค้นพบเมื่อตอนอายุ 10 ขวบ ขณะนั้นแม่ทัพโจวโยนเด็กหนุ่มเข้าไปในป่าลึกเพื่อฝึกฝนทักษะการเอาชีวิตรอด เขาพบคัมภีร์นี้ซ่อนอยู่ในโครงกระดูกมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแม้กระทั่งบิดาของเขาเอง ดังนั้นมันจึงถูกซ่อนไว้ในโพรงเล็กๆ ของต้นไม้ในป่าดาราตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อโจวเหว่ยชิงเปิดหน้าแรก ก็เผยให้เห็นคำเล็กๆเขียนอยู่ว่า หลักการทั่วไปของวิชาเทพอมตะ
ผู้ไม่มีความมุ่งมั่นจะไม่สามารถเรียนรู้สิ่งนี้ได้ ผู้ที่ไม่พร้อมสละชีพของตนก็ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งนี้ได้เช่นกัน วิชาเทพอมตะเป็นวิชาที่ต้องสละวิญญาณให้แก่ความตาย แต่ทว่ามันก็เป็นวิชาที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นจริงขึ้นมาได้ วิชานี้ใช้จุดตายในร่างกาย 36 แห่งเป็นจุดทะลวงพลังเพื่อดึงชีวิตกลับมาจากความตาย และหากไม่ระวังนั่นย่อมหมายถึงชีวิต จงระวัง…จงระวัง…ผู้ที่สามารถทะลวงจุดตายทั้ง 36 แห่งได้ครบจะสามารถดึงพลังของโลกทั้งใบออกมาใช้ได้ เขาคนนั้นจะมีชีวิตอมตะตราบเท่าที่โลกยังไม่แตกสลาย…
…………………………………………………………….