การคาดการณ์ของม่อซิวเหยาแม่นยำนัก หลังจากวันที่นำของไปหมั้นหมายได้เพียงสองวันก็มีคนมาถ่ายทอดบัญชาของเยี่ยเจาอี๋ว่ามีความประสงค์จะพบหน้าน้องสาม ให้เชิญน้องสามเข้าวัง ทว่าคนที่อยากเจอนางจริงๆ คือผู้ใดนั้น เยี่ยหลีย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ สมัยที่ยังอยู่บ้านเดียวกัน เยี่ยเย่ว์กับนางไม่ได้ไม่ถูกกันจนถึงขั้นรู้กันไปทั่ว แต่ที่แน่ๆ คือไม่ได้ดีไปกว่ากับเยี่ยอิ๋งแน่นอน ทว่าน่าเสียดายที่เยี่ยเย่ว์ยังเป็นเพียงเจาอี๋ แต่สำหรับเยี่ยหลีที่ยังไม่ได้เป็นชายาติ้งอ๋องอย่างเป็นทางการนั้นมิอาจปฏิเสธบัญชาของนางได้ นางจึงจำต้องถือคำสั่งกลับเรือนของตนเพื่อไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่เหมาะสม พร้อมนำชิงหลวนและชิงอวี้ติดตามขันทีที่มาถ่ายทอดบัญชาเข้าวังไป

 

 

           เมืองหลวงของฉู่อยู่ทางตอนเหนือของแผ่นดินต้าฉู่ วังหลวงตั้งตระหง่านอย่างใหญ่โตและโอ่อ่า เพียงลงจากรถม้าบรรยากาศแห่งความยิ่งใหญ่ก็รอต้อนรับทันที แตกต่างจากบ้านผู้ดีมีตระกูลทั่วไปที่ตกแต่งอย่างประณีตงดงาม ด้วยในวังนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่และกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

 

 

           มังกรห้าเล็บที่ถูกแกะสลักยึดครองพื้นที่ล้อมรอบเสาหินอยู่นั้น ประหนึ่งกำลังย้ำเตือนคนทั้งใต้หล้าถึงอำนาจแห่งฮ่องเต้ที่มิอาจขัดขืน ไม่ว่าผู้ใดที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกย่อมนึกประหวั่นพรั่นพรึงถึงความโอ่อ่าตระการตา แต่สำหรับเยี่ยหลีที่เคยเห็นสถาปัตยกรรมที่สูงเป็นร้อยฉื่อ* และโบราณสถานอันยิ่งใหญ่ของทั้งต้าฉู่และแคว้นอื่นๆ มาจนชินตาแล้วนั้นเพียงนึกชื่นชมในใจเท่านั้น

 

 

           เยี่ยหลีลงจากรถม้าที่หน้าประตูวัง ก่อนเดินตามขันทีนำทางเข้าวังไป ระหว่างทางคอยมองสำรวจบรรยากาศโดยรอบของวังหลวงโดยมิให้ผู้ใดล่วงรู้ พร้อมพยายามจดจำตำแหน่งที่อยู่ของตนเองไปด้วย

 

 

           หลังจากเดินผ่านประตูวังชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่หน้าตำหนักหรูหราหลังหนึ่ง เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองป้ายเหนือประตูเขียนว่า ตำหนักเหยาหวา เยี่ยหลีจำได้ว่าเยี่ยเย่ว์พำนักอยู่ในตำหนักเหยาหวานี้เอง

 

 

           “คุณหนูสามตระกูลเยี่ยโปรดรอสักครู่ พวกเราขอเข้าไปรายงานก่อน” ขันทีนำทางเอ่ยเสียงแหลม

 

 

           เยี่ยพลีหยักหน้า “เชิญกงกง**ตามสบาย”

 

 

           ขันทผู้นั้นหายเข้าไปรายงาน แต่ไม่ได้กลับออกมาอย่างรวดเร็ว เยี่ยหลียืนรออยู่เกือบชั่วธูปหนึ่งดอก*** ก็ยังไม่เห็นผู้ใดเดินออกมา

 

 

ชิงอวี้เอ่ยถามเสียเบาว่า “คุณหนู นี่เจาอี๋ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ!”

 

 

ชิงหลวนรีบเอ่ยต่อว่า “อย่าพูดมากไป คุณหนูยังไม่ว่าอะไรเลย เจ้าจะพูดมากไปใย”

 

 

ชิงอวี้เองรู้ดีว่าสถานที่เช่นวังหลวงไม่เหมือนอยู่บ้านที่สามารถพูดอะไรได้ตามใจ จึงกะพริบตาปริบๆ อย่างรู้สึกผิด แล้วปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอันใดอีก

 

 

           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน”

 

 

ชิงหลวนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย มองซ้ายมองขวาก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “คุณหนู หรือว่าเจาอี๋…”

 

 

เยี่ยหลียิ้มพร้อมส่ายหน้า “เยี่ยเจาอี๋ไม่ใช้ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้หรอก”

 

 

ชิงอวี้และชิงหลวนต่างฉลาดด้วยกันทั้งคู่ เมื่อได้ฟังเยี่ยหลีกล่าวเช่นนี้ก็เข้าใจทันที ทั้งคู่จึงหุบปากลงและไม่กล้าพูดอันใดอีก กับอีแค่ยืนรอเท่านั้น พวกนางคนหนึ่งฝึกวิชาบู๊ ส่วนอีกคนก็ศึกษาวิชาแพทย์มาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่คนอ่อนแอที่โดนลมนิดลมหน่อยไม่ได้สักหน่อย

 

 

           ผ่านไปอีกกว่าครึ่งเค่อ ก็ยังคงไม่มีคนออกมาจากตำหนักเหยาหวา แต่กลับมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินมาเข้าแทน ดูจากรูปขบวนก็รู้ได้ว่าต้องเป็นชนชั้นสูงแน่นอน พวกเยี่ยหลีทั้งสามคนหลบฉากออกไปยืนข้างๆ เพื่อไม่ให้ชนเข้ากับขบวนที่เดินมา กลุ่มคนคณะนั้นเดินมาถึงหน้าประตูตำหนักเหยาหวาในเวลาอันสั้น นางกำนัลและขันทีกลุ่มใหญ่เดินล้อมหน้าล้อมหลังสตรีสองนางที่แต่งตัวตามแบบสาวชาววังเข้ามา สตรีทั้งสองหยุดอยู่หน้าเยี่ยหลี

 

 

สตรีที่อยู่ในชุดสีฟ้ามองสำรวจเยี่ยหลีด้วยความสนใจ “เอ๋ คุณหนูท่านนี้หน้าตาไม่คุ้นเลย เหตุใดจึงมายืนอยู่ที่นี่ได้เล่า”

 

 

เยี่ยหลีจำต้องเดินขึ้นหน้ามาทำความเคารพ “บุตรสาวคนที่สามแห่งเจ้ากรมอากร เยี่ยหลีคารวะพระสนมทั้งสองเพคะ”

 

 

           “ที่แท้ก็ชายาติ้งอ๋องในอนาคตนี่เอง พวกเราคงมิกล้ารับการคารวะหรอก” สตรีในชุดชาววังอีกนางหนึ่งรีบเอ่ยขึ้น ก่อนยกมือขึ้นปิดปากยิ้ม “คุณหนูสามตระกูลเยี่ยเหตุใดจึงมายืนอยู่ที่นี่ได้ มาเยี่ยมเยี่ยเจาอี๋หรือ”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้า “ข้าได้รับบัญชาจากเจาอี๋ให้มาเข้าเฝ้าเพคะ”

 

 

           “ถ้าเช่นนั้นพวกเราเข้าไปด้วยกันเลยก็แล้วกัน” สตรีในชุดสีฟ้าพูดพร้อมเข้ามาจับมือเยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้ม “เยี่ยหลีเพิ่งเข้าวังครั้งแรก ไม่รู้กฎระเบียบ หากเจาอี๋ยังไม่เรียกให้เข้าไปพบก็ยังมิกล้าเข้าไปเจ้าค่ะ พระสนมทั้งสองอย่างได้เสียเวลาเลย อย่างไรเยี่ยหลีก็ขอขอบพระทัยอีกครั้งเพคะ”

 

 

ทั้งสองหันมองหน้ากัน ก่อนสตรีในชุดสีชมพูจะเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราเข้าไปกันก่อนก็แล้วกัน พี่เจาอี๋กำลังตั้งครรภ์จึงอ่อนเพลียง่าย เกรงว่านางจะหลับไปแล้วพวกบ่าวไม่กล้ารบกวนเป็นแน่ คุณหนูสามรอสักครู่ก็แล้วกัน”

 

 

           “ขอบพระทัยเพคะ”

 

 

           “คุณหนู เหตุใดพวกเราถึงไปตามพวกนางเข้าไปเล่าเจ้าคะ” ชิงอวี้ถามขึ้นเสียงเบา ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือเปล่า แต่นางรู้สึกว่าเส้นทางนี้ดูจะมีคนเดินผ่านไปผ่านมามากกว่าตอนที่พวกนางเพิ่งมาถึงไม่น้อย

 

 

           เยี่ยหลีหันหน้าไปมองนาง ถามกลั้วหัวเราะ “เจ้าว่าถ้าพวกเราตามเข้าไปจะโดนไล่ออกมาหรือไม่”

 

 

           “คง…ไม่กระมังเจ้าคะ” ชิงอวี้พูดด้วยความไม่แน่ใจ หากคุณหนูตระกูลเยี่ยถูกไล่ออกมา แน่นอนว่าย่อมเสียหน้า แต่เยี่ยเจาอี๋เองก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร

 

 

           “นี่…ทางนี้ ทางนี้…”

 

 

           เยี่ยหลีหันไปตามเสียง ตรงพุ่มไม้ห่างจากกำแพงตำหนักไปไม่ไกล มีศีรษะเล็กๆ ศีรษะหนึ่งโผล่หน้าออกมายิ้มตาหยีให้นางพร้อมกวักมือเรียก เยี่ยหลีมองซ้ายมองขวา ก่อนยกมือชี้ตนเอง เด็กสาวที่ซ่อนตัวกว่าครึ่งอยู่ในพุ่มไม้พยักหน้าให้นาง “เดินมาซิ”

 

 

           “คุณหนู”

 

 

           เยี่ยหลีโบกมือ ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปหา “เจ้าคือชายาในอนาคตของท่านอาติ้งอ๋องหรือ” เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม อายุประมาณเจ็ดแปดขวบนั่งยองอยู่ในพุ่มไม้ รวบผมไปมวยก้อนกลมอย่างน่ารัก มีไข่มุกเป็นประกายประดับอยู่บนศีรษะ เสื้อผ้าที่ได้รับการตัดเย็บมาอย่างประณีตปักลายหงส์สีทอง เห็นได้ชัดว่าฐานะของเด็กคนนี้น่าจะไม่ธรรมดา

 

 

           “ใช่แล้ว ท่านเป็นใครกันเล่า”

 

 

           “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก” เด็กน้อยถลึงตาเป็นประกายใส่เยี่ยหลี ก่อนยิ้มตาหยีมองนาง

 

 

           เยี่ยหลีไม่ได้ใส่ใจ เพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านรู้จักติ้งอ๋องหรือ ท่านเคยเจอเขาหรือ โกหกไม่ใช่วิสัยของเด็กดีนะ ผู้ใดล้วนรู้ว่าติ้งอ๋องไม่ออกไปไหนมาไหนมาหลายปีแล้ว น่าจะนานสักเท่าอายุของท่านได้”

 

 

           เด็กคนนั้นมองนางด้วยสายตาดูแคลน “ข้าไม่เคยเห็นแล้วจะได้ยินคนอื่นเขาพูดกันไม่ได้หรือ พี่เซียงเซียงเล่าให้ข้าฟังหรอก ท่านอาติ้งอ๋องเก่งด้านบู๊ที่สุด ฉลาดที่สุด หล่อเหลาที่สุด และเก่งกาจที่สุดด้วย ข้าโตไปจะแต่งงานกับเขา!”

 

 

           “พี่เซียงเซียงหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีมองเด็กสาวที่พูดด้วยสีหน้าจริงจังแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่นางไม่อยากทำร้ายจิตใจอันบอบบางของเด็กน้อย “ท่านรู้หรือไม่ว่าติ้งอ๋องอายุเท่าไรแล้ว รอกว่าท่านโต เขาคงแก่มากแล้ว ถึงยามนั้นก็จะมีคนที่เก่งด้านบู๊กว่า ฉลาดกว่า หล่อเหลากว่า และเก่งกาจกว่าเขา แล้วท่านจะทำอย่างไร”

 

 

           หือ เด็กน้อยคนนั้นอึ้งไป “เช่นนั้น…เช่นนั้นสมควรทำอย่างไร ไม่ ไม่ เจ้าหลอกข้า เจ้าอยากแต่งกับท่านอาติ้งอ๋องถึงได้หลอกข้า!”

 

 

           “ข้าไม่ได้หลอกท่าน ท่านดูสิว่ายามนี้ข้าโตกว่าท่านเยอะใช่หรือไม่ ท่านต้องโตให้ได้เท่าข้าเสียก่อนถึงจะแต่งงานได้ ถึงตอนนั้นข้าก็คงแก่แล้ว ติ้งอ๋องแก่กว่าพวกเราทั้งคู่เสียอีก ท่านว่าถึงยามนั้น…”

 

 

           เด็กน้อยถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “ถึงยามนั้นท่านอาติ้งอ๋องคงแก่กว่าท่านตาเสียอีก หากข้าแต่งงานกับเขาคงถูกท่านพี่หญิงหัวเราะเยาะเป็นแน่ เอาเถิด ข้ายกท่านอาติ้งอ๋องให้เจ้าก็ได้”

 

 

           เยี่ยหลีกลั้นยิ้ม พยักหน้าอย่างยินยอมรับไว้ “เพคะ ขอบพระทัยองค์หญิง”

 

 

           “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นองค์หญิง”

 

 

           เยี่ยหลีกะพริบตาปริบ “หม่อมฉันไม่เพียงรู้ว่าท่านเป็นองค์หญิงเท่านั้น แต่ยังรู้ว่าเป็นองค์หญิงพระองค์ใดด้วย”

 

 

           “ข้าไม่เชื่อ เจ้าไม่เคยพบข้าเสียหน่อย”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มอ่อน “หม่อมฉันเดาว่าท่านคือพระธิดาในฮองเฮา องค์หญิงฉางเล่อใช่หรือไม่เพคะ”

 

 

           องค์หญิงน้อยเอียงคอมองเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ ก่อนพยักหน้า “เอาเถิด ข้าเชื่อที่พี่เซียงเซียงบอกก็ได้ เจ้าฉลาดอย่างที่พี่เขาว่าจริงๆ ข้าจะฝืนใจยอมเป็นเพื่อนกับเจ้าแล้วกัน”

 

 

           เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยพยายามทำท่าทำทางให้เหมือนผู้ใหญ่และให้ดูมีความเป็นองค์หญิงแล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่ฉีกยิ้มกว้าง “เพคะ ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงชื่นชม องค์หญิง ท่านเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร แล้วยัง…อืม” เยี่ยหลีชี้นิ้วไปยังพุ่มไม้ที่องค์หญิงซ่อนตัวอยู่

 

 

องค์หญิงฉางเล่อบิดตัวไปมาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหลบอยู่ในพุ่มไม้ต่อไป “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเยี่ยมีแต่บุตรสาวงามๆ เยี่ยเจาอี๋กับเยี่ยอิ๋งที่เพียงลมพัดก็จะปลิวนั่นได้ชื่อว่าเป็นหญิงสาวที่งามเลิศ ดังนั้นข้าเลยจะมาดูเสียหน่อยว่าหญิงสาวตระกูลเยี่ยล้วนเป็นสาวงามกันทุกคนจริงหรือไม่ ยามนี้ข้ายอมรับว่าเจ้าดูแล้วถูกชะตากว่าเยี่ยเจาอี๋และเยี่ยอิ๋ง พอจะเรียกว่างามก็ได้ ข้าเดาว่าเจ้ายังต้องรออีกนานทีเดียว ว่าอย่างไร ไปเที่ยวเล่นกับข้าหรือไม่เล่า”

 

 

           เยี่ยหลีไม่เข้าใจ “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าต้องรออีกนาน”

 

 

           องค์หญิงฉางเล่อเบ้ปาก “เสด็จแม่รับสั่งว่าสตรีในวังหลวงอยู่กันว่างๆ ไม่มีอันใดทำจึงพยายามหาเรื่องผู้อื่น หากไม่ถูกใจผู้ใด พอคนผู้นั้นมาคารวะก็จะให้รอนานอีกนิด คุกเข่านานอีกหน่อย พวกนางชอบทำกันเช่นนี้เป็นที่สุด แต่เจ้าวางใจได้ เสด็จแม่ข้าไม่ทรงทำเช่นนั้นแน่นอน”

 

 

           เยี่ยหลีอมยิ้ม ไม่ตอบอันใด

 

 

องค์หญิงฉางเล่อจ้องนางด้วยความไม่พอใจ “เจ้าจะไปเที่ยวเล่นกับข้าหรือไม่”

 

 

           เยี่ยหลีส่ายหน้าอย่างไม่เต็มใจ “หม่อมฉันยังต้องรอให้เยี่ยเจาอี๋เรียกเข้าเฝ้าเพคะ ท่านก็รู้ว่าหากนางเรียกพบหม่อมฉันแล้ว แต่หาหม่อมฉันไม่เจอ หม่อมฉันจะลำบาก อีกอย่าง…มีคนมาแล้วเพคะ”

 

 

           องค์หญิงฉางเล่อมองออกไปข้างนอกแล้วรีบหดศีรษะกลับเข้าไปทันที “หลิ่วกุ้ยเฟยมาแล้ว ไม่ต้องบอกว่าพบข้านะ นางน่ารำคาญที่สุดแล้ว”

 

 

เยี่ยพลีพยักหน้า ซ้ำยังช่วยนางจัดพุ่มไม้ให้เข้าที่ดังเดิม “รู้แล้วเพคะ ท่านรีบเสด็จกลับเถิด อย่าให้ฮองเฮาทรงเป็นห่วง” เมื่อจัดพุ่มไม้เรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงยืนขึ้นแล้วเดินกลับไปยืนข้างชิงหลวนและชิงอวี้ พร้อมรอให้คณะที่ดูยิ่งใหญ่กว่าก่อนหน้านี้เดินมาถึง

 

 

 

 

 

 

* ฉื่อ มาตรวัดของจีนสมัยโบราณ 1 ฉื่อ เท่ากับ 30.7 เซนติเมตร

 

 

** กงกง สรรพนามเรียกขันทีในวัง

 

 

*** ระยะเวลาธูปหนึ่งดอก เท่ากับประมาณ 5 นาที