กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆ ลอยมาแต่ไกล สตรีในชุดผ้าไหมฝูหรงสีเหลืองห่านเดินมาท่ามกลางนางกำนัลและขันทีกลุ่มใหญ่ เรือนร่างอรชรในชุดสาวชาววังพอดีตัวขับให้เห็นเรือนร่างงดงามอย่างชัดเจน ผิวขาวผ่องประหนึ่งหิมะ ปากเล็กจิ้มลิ้มดูมีเสน่ห์ถึงเจ็ดส่วนผสมกับความเยือกเย็นสามส่วน ช่วงนี้เยี่ยหลีได้พบสาวงามมากมายนัก ทั้งฉินเจิงที่งามสง่าดั่งดอกกล้วยไม้ ฮว่าเทียนเซียงที่อ่อนช้อยดั่งดอกโบตั๋น และองค์หญิงซีสยาที่โดดเด่นดั่งดอกท้อ แต่หลิ่วกุ้ยเฟยผู้นี้กลับงามดั่งดอกแพร์ ขาวบริสุทธิ์อย่างมีเสน่ห์ ดูแบบบาง ทว่ากลับมีความเยือกเย็นที่ดูสูงส่งเกินเอื้อม

 

 

           “เจ้าคือเยี่ยหลีหรือ” หลิ่วกุ้ยเฟยหยุดยืนหน้าเยี่ยหลี ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ

 

 

           “ใช่แล้วเพคะ คารวะหลิ่วกุ้ยเฟย” เยี่ยหลียอบกายลงทำความเคารพ

 

 

           คิ้วดั่งใบหลิวของหลิ่วกุ้ยเฟยเลิกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าน่าจะยังไม่เคยเข้าวังมาก่อนใช่หรือไม่ เหตุใดจึงรู้ว่าข้าเป็นใคร”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หลายปีก่อนที่ฮ่องเต้ทรงทำพิธีบวงสรวงบูชาสวรรค์ หม่อมฉันมีวาสนาได้ชื่นชมความงามของพระสนมจึงจำได้เพคะ”

 

 

           หลิ่วกุ้ยเฟยอึ้งไปเล็กน้อย พูดกึ่งถอนหายใจว่า “นั่น…น่าจะเมื่อห้าหกปีก่อนได้แล้วกระมัง ตอนนั้นเจ้าคงอายุยังน้อยแต่ก็ยังจำได้”

 

 

           “พระสนมมีความงามโดดเด่นเหนือผู้ใด ย่อมทำให้คนที่ได้พบเห็นยากจะลืมเพคะ” เยี่ยหลีเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ

 

 

           “เจ้านี่น่าคบหากว่าพี่รองของเจ้าหน่อยนะ แล้วเหตุใดจึงมายืนอยู่ที่นี่ เข้าไปพร้อมข้าเลยแล้วกัน เยี่ยเจาอี๋คงผล็อยหลับไปกระมัง ถึงได้ปล่อยให้ชายาติ้งอ๋องในอนาคตต้องมายืนรอหน้าตำหนักเช่นนี้” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินยอมให้นางปฏิเสธ

 

 

เยี่ยหลีนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยอบกายลงเอ่ยว่า “เช่นนั้นเชิญพระสนมก่อนเพคะ”

 

 

 

 

           ภายในตำหนักเหยาหวา เมื่อเยี่ยเย่ว์เห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาพร้อมหลิ่วกุ้ยเฟยก็อึ้งไป

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยมองนางนิ่ง “พี่เห็นว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยรออยู่ที่หน้าประตู จึงเชิญนางเข้ามาพร้อมกัน น้องคงไม่ว่าพี่มากเรื่องใช่หรือไม่” ถึงแม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยกลับดูไม่กลัวว่านางจะถือโทษเอาเสียเลย

 

 

เยี่ยเย่ว์ยกมุมปากฝืนยิ้ม “พี่กุ้ยเฟยพูดอะไรน่าขันเช่นนั้น ต้องโทษที่ช่วงนี้น้องจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว มักลืมนั่นลืมนี่อยู่บ่อยครั้ง หากพี่ไม่พาน้องสามเข้ามา คงลำบากน้องสามอีกนานทีเดียว เป็นเพราะบ่าวอย่างพวกเจ้า เหตุใดถึงไม่เอ่ยเตือนข้า!” ดวงตาหงส์ที่อ่อนหวานและมีเสน่ห์จ้องเหล่านางกำนัลและขันทีในตำหนัก จากนั้นในตำหนักก็เต็มไปด้วยเสียงขออภัยทันที

 

 

           หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างนึกรำคาญใจ “เอาเถิดน้อง เจ้าลืมก็แล้วไปเถิด จะทรมานบ่าวไพร่ไปไย คุณหนูสามก็คงไม่โทษเจ้าเช่นกัน ใช่หรือไม่”

 

 

           เยี่ยหลีจึงจำต้องเอ่ยตามน้ำไปว่า “กุ้ยเฟยรับสั่งอันใดเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันรอเพียงไม่นานเท่านั้น มีเหตุอันใดให้ต้องถือโทษกันเพคะ”

 

 

           เยี่ยเย่ว์จึงค่อยยิ้มออก จับมือเยี่ยหลีให้เดินมานั่งตรงข้ามตน ก่อนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “น้องสามไม่ค่อยชอบออกไปไหน ตั้งแต่ข้าเข้าวังมาก็ไม่ได้พบหน้าน้องสามอีกเลย ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบเสียที ไม่ได้พบหน้ากันปีสองปี น้องสามโตเป็นสาวงามกว่าแต่ก่อนมาก ที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เยี่ยหลีตอบคำถามนางไปเรื่อยๆ ขณะที่เยี่ยเย่ว์ถามเรื่องทางบ้านกับนางไปเรื่อยๆ เช่นกัน

 

 

เยี่ยหลีตอบคำถามของนางด้วยความเคารพ ที่น่าแปลกคือดูเหมือนหลิ่วกุ้ยเฟยจะไม่รับรู้ว่านี่เป็นการพบปะพูดคุยกันระหว่างพี่น้องบ้านเดียวกัน จึงนั่งฟังเฉยอยู่ด้วย ถึงแม้จะไม่มีโอกาสให้นางเข้าร่วมวงสนทนาด้วยเลย แต่นางก็ไม่นึกใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงนั่งยิ้มอย่างเยือกเย็นอยู่เท่านั้น ดูเยี่ยเย่ว์จะชินกับหลิ่วกุ้ยเฟยเสียแล้ว จึงไม่คิดจะเชิญนางให้หลบไปหรือคิดจะดึงเยี่ยหลีให้หลบไปคุยกันสองคน

 

 

           “งานแต่งงานของน้องสี่ ข้ามิอาจไปร่วมงานด้วยได้ นางกับหลีอ๋องดีต่อกันหรือไม่” เยี่ยเย่ว์ลูบหน้าท้องที่นูนออกมาน้อยๆ ของตน พร้อมอมยิ้มถามเยี่ยหลี

 

 

           เยี่ยหลีนึกไปถึงสีหน้าเซื่องซึมของเยี่ยอิ๋งในวันที่นางกลับเรือนซึ่งไม่ดีเอาเสียเลย แต่นางก็ไม่คิดจะนำมาเล่าให้เยี่ยเย่ว์ฟัง จึงเพียงอมยิ้มก่อนตอบว่า “น้องสี่กับหลีอ๋องเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันย่อมดีต่อกันเป็นธรรมดาเพคะ หม่อมฉัน…ช่วงนี้เองก็ยุ่งไม่น้อย จึงไม่ค่อยมีเวลาคุยกับน้องสี่สักเท่าไร”

 

 

เยี่ยเย่ว์รู้ดีอยู่แล้วว่าเยี่ยหลีกับเยี่ยอิ๋งนั้นไม่ค่อยถูกกันจึงไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงดึงมือเยี่ยหลีมากุมไว้ก่อนยิ้มให้นาง “พี่น้องบ้านเดียวกันทั้งนั้น เมื่อเจ้าแต่งงานไปแล้วคงไม่เหมือนตอนอยู่บ้านที่จะพบหน้าพูดคุยกันเมื่อไรก็ได้ แต่ก็น่าจะไปมาหาสู่กันได้ไม่ยาก ข้าอยู่ในวังก็จนใจ พวกเจ้าพี่น้องอยู่กันข้างนอกก็ดีจะได้คอยช่วยเหลือกันได้ อย่าให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องเป็นกังวลใจ เจ้าว่าใช่หรือไม่”

 

 

           เยี่ยพลีพยักหน้า “พระสนมพูดถูกทีเดียวเพคะ”

 

 

           ขณะที่พี่น้องทั้งสองกำลังพูดคุยเรื่องในจวนเยี่ยอยู่นั้น ก็มีนางกำนัลเดินเข้ามารายงานว่าไทเฮามีรับสั่งให้คุณหนูสามตระกูลเยี่ยเข้าเฝ้า เยี่ยเย่ว์อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “ในเมื่อไทเฮารับสั่งให้เจ้าไปเข้าเฝ้า น้องสามก็รีบไปเถิด ไทเฮาทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาและพระทัยดีต่อผู้น้อยเป็นที่สุด น้องสามไม่ต้องกลัว พี่…ยามนี้ไม่สะดวกนัก คงไม่ได้ไปเป็นเพื่อนเจ้า”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า มองนิ้วมือเรียวอวบที่ได้รับการดูแลอย่างดีของเยี่ยเย่ว์ที่ลูบขึ้นลงเบาๆ บริเวณหน้าท้อง ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ขอบพระทัยพระสนมที่รับสั่งเตือน เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน”

 

 

เยี่ยเย่ว์ยิ้ม “น้องสามค่อยๆ ไปเถิด ใครก็ได้ไปส่งน้องสามแทนข้าที”

 

 

           “น้องสาว ข้ากำลังจะไปคารวะไทเฮาอยู่พอดี ข้าไปพร้อมคุณหนูสามเลยก็แล้วกัน” หลิ่วกุ้ยเฟยพูดพร้อมยืนขึ้น

 

 

           เยี่ยเย่ว์พยักหน้า “เช่นนั้นขอรบกวนพี่หลิ่วกุ้ยเฟยแล้ว”

 

 

           หลิ่วกุ้ยเฟยพยักหน้ารับเรียบๆ “คุณหนูสาม พวกเราไปกันเถิด”

 

 

           เยี่ยหลีเดินตามหลิ่วกุ้ยเฟยออกมาจากตำหนักเหยาหวา ก่อนเบือนหน้าไปมองประตูของตำหนักที่ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรางดงาม ทว่ายามที่มีคนมารายงานว่าไทเฮามีรับสั่งให้นางเข้าเฝ้านั้น หากนางไม่ได้ตาฝาด ดูเยี่ยเย่ว์จะตื่นตกใจไม่น้อย แต่หลิ่วกุ้ยเฟยนั้นเล่า…หลิ่วกุ้ยเฟยเดินนำหน้าผู้คนไปโดยไม่สนใจผู้ใด จนถึงตอนนี้เยี่ยหลียังดูไม่ออกว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู นางพาตนเข้าตำหนักเหยาหวาแล้วยังไปเข้าเฝ้าไทเฮาเป็นเพื่อนนางอีกอย่างนั้นหรือ

 

 

เยี่ยหลีกล้ารับประกันว่าหากหลิ่วกุ้ยเฟยไม่ได้นั่งอยู่ที่นั้นด้วย เยี่ยเย่ว์คงไม่พูดคุยกับนางเพียงเรื่องที่คุยกันในวันนี้อย่างแน่นอน แต่หากจะว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นมิตรกับนางแล้ว…อย่าว่าแต่พวกนางไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเลย เพียงดูจากสีหน้าเรียบนิ่งหยิ่งยโสที่ไม่ปกปิดความดูแคลนนั่นแล้ว ก็ทำให้เยี่ยหลีมิอาจเชื่อได้อยู่ดี เยี่ยหลียักไหล่อย่างคิดไม่ตก ได้แต่เดินตามไปเงียบๆ คนในวังนี่ช่างน่าปวดหัวเสียจริงเชียว…

 

 

           ตำหนักที่ไทเฮาพำนักอยู่นั้นอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของวังหลวง เมื่อเปรียบเทียบอาณาบริเวณของตำหนักเหยาหวากับหอทองคำที่หรูหราอลังการนี้แล้ว จะเห็นถึงฐานะอันสูงส่งของพระมารดาของฮ่องเต้องค์นี้ได้เป็นอย่างดี

 

 

           “ตำหนักจางเต๋อเป็นตำหนักที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้สร้างเพื่อถวายไทเฮาโดยเฉพาะหลังจากที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว” หลิ่วกุ้ยเฟยผินหน้ามาบอกเยี่ยหลีเรียบๆ ระหว่างยืนรอเรียกเข้าเฝ้าอยู่หน้าตำหนักจางเต๋อ “อีกอย่าง อย่าไปฟังที่พี่สาวเจ้าพูดจาเหลวไหลนั่น ไทเฮาไม่ใช่คนใจดีอะไร เจ้าระวังตัวด้วย”

 

 

เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม “ขอบพระทัยที่พระสนมเอ่ยเตือนเพคะ”

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนสะบัดชายแขนเสื้อเดินนำเข้าตำหนักจางเต๋อไป

 

 

           เยี่ยหลีที่เดินตามหลังมา ถึงแม้สีหน้าเรียบเฉยไม่ตื่นตระหนก แต่ในหัวกลับคิดไปต่างๆ นานาไม่รู้กี่ตลบ ถึงแม้จะเข้าวังชั่วระยะเวลาไม่นาน แต่ความแปลกประหลาดของวังหลวงแห่งนี้กลับเกินความเข้าใจของนางไปมากทีเดียว ได้ยินว่าฮ่องเต้องค์นี้ได้ไทเฮาช่วยให้ขึ้นนั่งบัลลังก์ จนไทเฮาได้ชื่อว่าเป็นเสียนเฟยผู้ปราดเปรื่อง แต่หลิ่วกุ้ยเฟยที่เป็นพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้กลับไม่มีท่าทีเคารพไทเฮาเลยแม้แต่น้อย แล้วยัง…เงยหน้าขึ้นมองป้ายใต้ชายคาที่เป็นลายพู่กันตวัดเป็นตัวหนังสือสองตัวนั่น จางเต๋อ ที่หมายถึงคุณงามความดีเป็นที่ประจักษ์ หวังว่าฮ่องเต้คงจะเขียนมันด้วยความเต็มใจอย่างแท้จริง

 

 

           “หม่อมฉันเยี่ยหลีถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมไทเฮาเพคะ” เมื่อเข้าไปในตำหนักแล้ว เห็นบุรุษรูปร่างสูงสง่าคนหนึ่งอยู่ในชุดเหลืองอร่าม สีหน้าเยี่ยหลีมีแววประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนยอบกายลงทำความเคารพอย่างรวดเร็ว

 

 

           “ลุกขึ้นได้ ฉางเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร” ม่อจิ่งฉีเหลือบมองเยี่ยหลีทีหนึ่ง ก่อนหันไปมองหลิ่วกุ้ยเฟยที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งลุกขึ้นเดินลงจากที่ประทับมาจับมือหลิ่วกุ้ยเฟย

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “ทำไมหรือเพคะ หรือฝ่าบาทเห็นว่าหม่อมฉันมาถวายพระพรไทเฮาไม่ได้”

 

 

ม่อจิ่งฉีถอนหายใจ พูดเสียงนุ่มว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

 

 

           “ฝ่าบาท!” น้ำเสียงเจือแววดุดันและไม่พอใจดังมาจากที่ประทับ

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองโดยไม่ทันให้ผู้ใดรู้ ครั้งยังสาว ไทเฮาจะต้องเป็นสตรีที่สะคราญโฉมมากเป็นแน่ ถึงแม้นางจะเป็นพี่สาวของเสียนเจาไท่เฟย แต่รูปลักษณ์ของไทเฮากลับดูอ่อนเยาว์กว่าเสียนเจาไท่เฟยเสียอีก ดวงตารูปหงส์ในยามนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเกรงกลัวอย่างบอกไม่ถูก แต่เยี่ยหลีเห็นว่าครั้งยังสาว สายตาคู่นี้จะต้องงามและเปี่ยมเสน่ห์มากอย่างแน่นอน

 

 

           ณ ตอนนั้น ไทเฮาไม่สังเกตเห็นนางเลย นางเพียงส่งสายตาอันดุดันไปยังหลิ่วกุ้ยเฟยเท่านั้น ในแววตาคู่นั้นยังสัมผัสได้ถึงแววอาฆาตด้วย เห็นได้ชัดว่าไทเฮาไม่โปรดหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างยิ่ง

 

 

           “เสด็จแม่” ม่อจิ่งฉีขมวดคิ้วมุ่น จับมือหลิ่วกุ้ยเฟยให้เดินไปยังหน้าที่ประทับ “เสด็จแม่ ฉางเอ๋อร์จะมาถวายพระพรเสด็จแม่ คงพบกับคุณหนูสามตระกูลเยี่ยเข้าพอดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           ไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “ถวายพระพรหรือ หาได้ยากจริงๆ ที่วันนี้หลิ่วกุ้ยเฟยนึกได้ว่าจะมาถวายพระพรข้า”

 

 

           “เสด็จแม่ ท่านก็รู้ว่านับแต่ฉางเอ๋อร์คลอดจิ้งเอ๋อร์ นางก็สุขภาพไม่ค่อยดีมาโดยตลอดนะพ่ะย่ะค่ะ” ม่อจิ่งฉีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย แต่ยังคงยืนหยัดที่จะปกป้องหลิ่วกุ้ยเฟยไม่แปรเปลี่ยน

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองสีหน้าบึ้งตึงของไทเฮาแล้วชวนให้นางรู้สึกเห็นใจไม่น้อย อุตส่าห์คลอดโอรสออกมาสองคน รอจนฮองเฮาของอดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้วตนได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ทุ่มเทแรงกายแรงใจหนุนโอรสของตนให้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ส่วนตนเองนั่งเป็นไทเฮาก็สมควรที่จะเสพสุขได้แล้ว ผู้ใดเลยจะรู้ว่าโอรสองค์เล็กสติปัญญาไม่ค่อยได้ความก็ช่างเถิด แต่โอรสองค์โตที่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้กลับได้ภรรยาแล้วลืมมารดาไปเสีย

 

 

           “เสด็จแม่ ท่านไม่ได้รับสั่งว่าประสงค์จะพบคุณหนูสามตระกูลเยี่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ พวกเรามาดูกันว่าชายาที่เลือกให้ซิวเหยาเป็นอย่างไร ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าไทเฮาไม่ดีเอามากๆ ม่อจิ่งฉีจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

 

 

           เยี่ยหลีสะอึกไป ฝ่าบาท นี่พระองค์จะลากให้ผู้อื่นมารับเคราะห์แทนหรือ

 

 

           แล้วไทเฮาก็เบนสายตามาทางเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว ในใจเยี่ยหลีตัดสินใจว่าเชื่อคำพูดของหลิ่วกุ้ยเฟยจะดีกว่า เพราะเพียงสายตาที่มองนางก็เป็นสายตาที่คนธรรมดายากจะรับมือแล้ว