“เจ้าคือเยี่ยหลีหรือ” ผ่านไปครู่ใหญ่ ไทเฮาจึงได้มีรับสั่งถาม 

 

 

           เยี่ยหลีหลุบตาลงต่ำด้วยท่าทีเคารพ “กราบทูลไทเฮา หม่อมฉันคือเยี่ยหลีเพคะ” 

 

 

           ไทเฮาขมวดคิ้ว “เงยหน้าขึ้นให้ข้าดูหน่อยซิ” 

 

 

           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นตามรับสั่ง ให้ไทเฮาและฮ่องเต้พิจารณานางได้อย่างเต็มที่ 

 

 

           “สมัยก่อนข้าเคยพบหน้าท่านแม่ของเจ้าหลายครั้ง หลานสาวตระกูลสวีไม่ใช่ใครที่ไม่กล้าแม้แต่จะพาออกหน้าออกตาจะมาเทียบได้จริงๆ น่าเสียดาย…” น่าเสียดายอันใดนั้นไทเฮาไม่ได้เอ่ยออกมา และแน่นอนว่าไม่มีใครคิดหาเรื่องใส่ตัวอยากจะเอ่ยถาม  

 

 

หางตาของเยี่ยหลีเหลือบเห็นสีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างฮ่องเต้ดูไม่สู้ดีนัก จึงนึกสงสัยในใจว่า ไทเฮาคงไม่ได้ตีวัวกระทบคราดถึงหลิ่วกุ้ยเฟยหรอกกระมัง เพราะถึงอย่างไรบุตรสาวของเสนาบดีหลิ่วก็คงไม่ได้มีฐานะที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้อย่างแน่นอน 

 

 

           “หลีเอ๋อร์ของข้าไม่ได้เรื่องได้ราว เรื่องก่อนหน้านี้คุณหนูเยี่ยอย่าได้ถือสาหาความเลย” นัยน์ตาดุรูปหงส์ของไทเฮาจับจ้องเยี่ยหลีโดยไม่ขยับไปไหน 

 

 

           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ไทเฮารับสั่งเกินไปแล้วเพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันกับหลีอ๋องไม่มีวาสนาต่อกัน ยังดีกว่าสมรสกันไปแล้วค่อยมารู้ว่าไม่ชอบพอกัน หลีอ๋องกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนมีแต่ดีกับทั้งตัวท่านอ๋องเองและตัวเยี่ยหลีเพคะ หม่อมฉันขอบพระทัยยิ่ง” 

 

 

           “อ้อหรือ เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเสกสมรสของหลีเอ๋อร์ คุณหนูเยี่ยมีความเห็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

           “เรื่องนี้…เป็นเรื่องส่วนตัวของท่านอ๋อง หม่อมฉันมิบังอาจคาดเดาเพคะ” 

 

 

           “หากข้ายืนยันให้เจ้าพูดความเห็นของเจ้าเล่า” ไทเฮาเอ่ยถาม 

 

 

           “หม่อมฉันเห็นว่า…คงเพราะท่านหลีอ๋องตื่นเต้นกับการเสกสมรสมาก คืนก่อนวันงานจึงพักผ่อนไม่เพียงพอกระมังเพคะ” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ อย่างใสซื่อ มองตอบไทเฮาด้วยสายตากึ่งกลัวกึ่งไม่กลัว “ท่านอ๋องกับน้องสี่มีใจชอบพอต่อกัน ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันดี ในเมื่อจะได้สมหวังดั่งใจแล้ว ท่านอ๋องย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดาเพคะ” 

 

 

           “คุณหนูเยี่ย ข้าได้ยินมาว่าช่วงก่อนหน้านี้เจ้ากล่าวหาว่าหลีอ๋องซื้อของแล้วไม่จ่ายเงินจึงเรียกเก็บเงินจากเขาไปไม่น้อยหรือ” อยู่ดีๆ หลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่อีกด้านก็เอ่ยกลั้วหัวเราะ 

 

 

           บรรยากาศภายในตำหนักดูจะเย็นลงไม่น้อย เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “หม่อมฉันไม่ได้ความ ขอไทเฮาและฝ่าบาทได้โปรดอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉัน…ตั้งแต่ท่านแม่เสียชีวิตไปก็น้อยนักที่จะออกไปไหนมาไหน เมื่อได้จัดการงานเป็นครั้งแรกจึงทำอะไรไม่ถูกไม่ควรไปบ้าง แต่หลังจากเกิดเรื่องท่านย่าได้อบรมหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันได้ให้คนนำเงินเหล่านั้นไปคืนให้ที่ตำหนักหลีอ๋องพร้อมกับขออภัยท่านอ๋องแล้วเพคะ เพียงแต่…” คนที่นำเงินไปให้ถูกไล่ออกมา จากนั้นเยี่ยหลีจึงมอบเงินให้คนที่นำเงินไปคืนสองร้อยตำลึงเพื่อปลอบขวัญ ส่วนเงินที่เหลือก็เก็บเข้ากระเป๋าตนเองอย่างสบายใจ 

 

 

           เรื่องนี้เดิมทีเป็นม่อจิ่งหลีที่ทำไม่ถูก แต่ด้วยเป็นเชื้อพระวงศ์จึงไม่กล้ากล่าวโทษได้อย่างเต็มปาก เมื่อเห็นสีหน้าตกใจและเสียใจของเยี่ยหลี ม่อจิ่งฉีจึงได้แต่ถอนใจเบาๆ ส่งสายตาเตือนหลิ่วกุ้ยเฟย ก่อนเอ่ยปลอบว่า “เอาเถิด เรื่องนี้เป็นเพราะจิ่งหลีคิดไม่รอบคอบเอง ไม่ใช่ความผิดของคุณหนูเยี่ยหรอก เสด็จแม่ก็ไม่ได้ทรงดำริว่าเป็นความผิดของเจ้า” 

 

 

           เยี่ยหลีเอ่ยขอบพระทัยด้วยความยินดี “หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาทและไทเฮาเพคะ” 

 

 

           ไทเฮาพยักหน้าเรียบๆ “เอาเถิด ข้าไม่ได้คิดจะถามหาความผิดจากเจ้า เตรียมเก้าอี้ให้คุณหนูเยี่ยนั่งเถิด” 

 

 

           นางกำนัลสองนางยกเก้าอี้เซรามิกออกมาวางด้านหลังเยี่ยหลี เยี่ยหลีเอ่ยขอบพระทัยก่อนนั่งลงเพียงสองในสามส่วนของเก้าอี้ด้วยความระมัดระวัง ในใจไม่นึกซาบซึ้งที่ไทเฮาประทานเก้าอี้ให้ตนนั่งเลยแม้แต่น้อย หากเลือกได้นางยอมยืนต่อไปยังจะดีเสียกว่า เมื่อนั่งลงแล้วไม่เพียงทำให้คนที่อยู่ต่ำกว่ารู้สึกตัวเล็กลงไปไม่น้อยแล้ว ทว่ายังกระทบต่อมุมมองอย่างมากด้วย อีกอย่าง ท่านั่งของคุณหนูลูกผู้ดีนั้นยังกินแรงมากกว่าการยืนย่อขาเสียอีก เพราะอย่างน้อยการยืนย่อขายังอาศัยแรงจากสองขาช่วยได้ แต่การนั่งอย่างอกผายไหล่ผึ่งเช่นนี้ คนที่ไม่ได้ฝึกมาตั้งแต่เด็กอย่างนางจึงได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนขอให้ตนอย่าตกจากเก้าอี้เลย 

 

 

           “คุณหนูเยี่ย ท่านชิงอวิ๋นสบายดีหรือไม่” ม่อจิ่งฉีมองเยี่ยหลีด้วยสายตาพินิจพิจารณา 

 

 

           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง ท่านลุงบอกว่าสุขภาพของท่านตายังถือว่าแข็งแรงอยู่เพคะ” 

 

 

           ม่อจิ่งฉียิ้ม “ไม่ต้องตื่นเต้นเช่นนั้นหรอก สมัยนั้นข้าได้ชื่นชมความสง่างามของท่านชิงอวิ๋นเองกับตา นึกไปก็รู้สึกคิดถึงไม่น้อย เพียงแต่ไม่มีโอกาศได้พบเขาหลายปีแล้ว”  

 

 

เยี่ยหลีก้มศีรษะลงด้วยความเสียใจ “ตั้งแต่ท่านแม่จากไป หม่อมฉันก็ไม่ได้พบหน้าท่านตามาหลายปีแล้วเช่นกันเพคะ หม่อมฉันมิอาจดูแลท่านตาแทนท่านแม่อย่างใกล้ชิดได้ หม่อมฉันรู้สึกละอายต่อความรักความเอ็นดูที่ท่านตามีให้เหลือเกินเพคะ” 

 

 

           “อ้อ วันเสกสมรสของคุณหนูเยี่ยกับติ้งอ๋อง ท่านชิงอวิ๋นคงไม่พลาดที่จะมาร่วมงานสมรสของหลานสาวเพียงคนเดียวกระมัง” 

 

 

           “ท่านตาอายุมากแล้ว มิอาจทนความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลได้ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นหม่อมฉัน…แต่ท่านตาได้ให้ท่านลุงใหญ่เข้าเมืองมาเป็นผู้ใหญ่แทนแล้ว เท่านี้หม่อมฉันก็ดีใจมากแล้วเพคะ” 

 

 

           แววตาม่อจิ่งฉีมีประกายเล็กน้อย “อ้อ ท่านหงอวี่เข้าเมืองมาแล้วหรือ เช่นนั้น…คุณชายใหญ่สวี…” 

 

 

           เยี่ยหลียังคงยิ้มแย้มเป็นปกติ “พี่ใหญ่กับพี่ชายคนอื่นๆ ก็เข้าเมืองมาด้วยเช่นกันเพคะ ท่านลุงไม่ได้มีตำแหน่งติดตัว จึงไม่ได้จัดการต้อนรับอะไรให้เอิกเกริกเพคะ” 

 

 

           ม่อจิ่งฉีหัวเราะเสียงใส “แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลสวีไม่ชื่นชอบชื่อเสียงจอมปลอม แต่ชมชอบความโปร่งใส เพียงแต่ท่านหงอวี่นับได้ว่าเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของข้า เข้าเมืองครานี้ข้าไม่มีโอกาสไปต้อนรับถือว่าเสียมารยาทยิ่งนัก”  

 

 

เยี่ยหลีรีบเอ่ยว่ามิกล้า แต่ในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น ท่านลุงใหญ่เพียงได้รับบัญชาจากฮ่องเต้องค์ก่อนให้ช่วยชี้แนะการเรียนของฮ่องเต้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วจะไปเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาเมื่อไรกัน อีกอย่าง หากเขามีใจต้อนรับจริง คงไปต้อนรับเสียนานแล้ว นางไม่เชื่อว่าม่อจิ่งฉีไม่รู้จริงๆ ว่าท่านลุงใหญ่เข้าเมืองมาตั้งแต่เมื่อใด 

 

 

           ม่อจิ่งฉีดูจะไม่คิดอยู่ในหัวข้อสนทนานี้นาน เขามองเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “คุณหนูเยี่ยเป็นผู้ชนะในงานบุปผานานาพรรณปีนี้ใช่หรือไม่ แม้แต่ท่านหญิงหรงหวายังเอ่ยชื่นชมคุณหนูเยี่ยให้ไทเฮาฟังหลายครั้ง ไม่รู้ว่าคุณหนูเยี่ยจะให้ข้ากับไทเฮาชื่นชมเป็นบุญตาได้หรือไม่” เขาไม่เปิดโอกาสให้เยี่ยหลีได้ปฏิเสธ เพียงโบกมือขึ้น ก็มีนางกำนัลและขันทีช่วยกันยกโต๊ะสลักลวดลายดอกไม้ออกมาวาง บนโต๊ะมีกระดาษ พู่กันและแท่นหมึกวางอยู่พร้อม 

 

 

           “หม่อมฉันทำให้เสียสายพระเนตรแล้วเพคะ” 

 

 

           เยี่ยหลียืนอยู่หลังโต๊ะหนังสือ ยกพู่กันขึ้นวาดภาพ ในใจนึกต่อว่าฮ่องเต้เป็นร้อยรอบ นางไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเหตุใดฮ่องเต้ในยุคสมัยนี้จึงเห็นการจับตัวคนมานั่งเขียนกลอนให้ตนดูเป็นเรื่องน่าสนุก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบการแต่งโคลงกลอน และยิ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถในด้านนี้ หากบังเอิญถูกฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้า แล้วแต่งโคลงกลอนไม่ออกจะทำอย่างไร 

 

 

           เยี่ยหลีวาดรูปดอกกล้วยไม้ตามแบบฉบับขึ้นมาภาพหนึ่ง พร้อมยกโคลงกลอนที่ท่านตาเคยแต่งเพื่อชื่นชมความงามของดอกกล้วยไม้ขึ้นมาบทหนึ่ง สิ่งเดียวที่พอจะชื่นชมได้ว่าโดดเด่นน่าจะเป็นตัวอักษรที่นางเขียน นางเห็นสายตาของคนที่รับไปค่อยๆ เปลี่ยนจากพินิจพิจารณาเป็นประหลาดใจ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นผิดหวัง เยี่ยหลียืนอยู่หลังโต๊ะหนังสือด้วยท่าทีเคารพอย่างไม่ใส่ใจ รอให้ฮ่องเต้วิจารณ์งานของตน 

 

 

           “ดอกกล้วยไม้หรือ กลอนบทนี้เป็นของท่านชิงอวิ๋นใช่หรือไม่” หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วถาม 

 

 

           เยี่ยหลีตอบอายๆ ว่า “หม่อมฉันไม่ถนัดเรื่องการแต่งโคลงกลอน ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยเพคะ” 

 

 

           สายตาหลิ่วกุ้ยเฟยมีแววดูถูก เหลือบมองภาพก่อนกล่าวว่า “ตัวอักษรของคุณหนูเยี่ยเขียนได้ไม่เลวเลยทีเดียว” 

 

 

           ไทเฮานานๆ ทีจะเห็นด้วยกับคำชมของหลิ่วกุ้ยเฟย ยามนี้ผลงานในงานบุปผานานาพรรณของเยี่ยหลีเข้ามาอยู่ในวังแล้ว ภาพนั้นไม่นับว่างดงามโดดเด่น เพียงเป็นไปตามแบบฉบับที่สมควรจะเป็นเท่านั้น ทว่าในส่วนของกลอน…ทั้งสามท่านที่นั่งอยู่ในตำหนักนึกสงสัยพร้อมกันว่ากลอนโบตั๋นที่แสนไพเราะบทนั้นไม่ใช่ฝีมือของเยี่ยหลี เพราะตระกูลสวีไม่ใช่ตระกูลที่มีอะไรมาก จะมีมากก็แต่เพียงทายาทที่มีความสามารถเท่านั้น เพียงหาใครก็ได้มาเขียนกลอนแทนเยี่ยหลี นางก็ย่อมเป็นคนที่มีความสามารถขั้นสูงแน่นอน หากแต่งกลอนได้เช่นนั้นก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอันใด “ตัวอักษรของคุณหนูเยี่ยไม่เลวเลยจริงๆ” 

 

 

           เยี่ยหลีรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าความสนใจที่ทั้งสามท่านมีต่อนางนั้นลดน้อยลงอย่างมากทีเดียว ถึงแม้นางไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดคนโบราณถึงได้คิดว่าดนตรี หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสามารถและความชาญฉลาดของคน แต่อย่างน้อยผลที่ออกมาในครานี้กลับไม่ส่งผลเสียต่อนางเลย 

 

 

           เรื่อยไปจนถึงยามบ่าย ไทเฮาจึงได้ให้คนส่งเยี่ยหลีออกนอกวัง ระหว่างนั้นนางใช้ฝีมือในการเขียนอักษรของนางคัดลอกบทสวดมนต์ให้ไทเฮาเล่มหนึ่ง และด้วยเพราะไม่มีผู้ใดคิดถึงว่านางสมควรไปบอกลาเยี่ยเจาอี๋ที่ตำหนักเหยาหวาเสียก่อน และเยี่ยหลีเองก็เกรงใจไม่อยากรบกวนไทเฮาให้ต้องส่งคนออกไป จึงทำเป็นว่าลืมนึกไปเช่นกัน 

 

 

           นางกำนัลยกของรางวัลที่ฮ่องเต้ ไทเฮา และหลิ่วกุ้ยเฟยประทาน พร้อมออกมาส่งเยี่ยหลีนอกวัง จนเมื่อขึ้นนั่งบนรถม้าของตนแล้ว เยี่ยหลีถึงได้ค่อยๆ ผ่อนถอนหายใจ ระบายความอึดอัดในใจมากว่าครึ่งค่อนวันออกมา 

 

 

           “คุณหนู พักก่อนเถิดเจ้าค่ะ สีหน้าท่านดูไม่ดีเลย” ชิงอวี้ยื่นมือออกไปตรวจชีพจรของเยี่ยหลี พร้อมพูดขึ้นเบาๆ  

 

 

           ชิงหลวนเอ่ยอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีว่า “คุณหนูเข้าวังครั้งแรกคงตื่นเต้นไม่น้อย น่าเสียดายที่พวกเราเข้าไปตำหนักของไทเฮาด้วยไม่ได้ จึงมิอาจเข้าไปเป็นเพื่อนคุณหนู” 

 

 

           ชิงอวี้หัวเราะน้อยๆ “เจ้าเข้าไปก็มีแต่จะตื่นตระหนกเสียเอง อย่าเข้าไปสร้างความลำบากให้คุณหนูเพิ่มเลย” 

 

 

           เยี่ยหลีหลับตาพิงรถม้าพักผ่อน พร้อมกับทบทวนเรื่องราวต่างๆ ในวันนี้ที่เกิดขึ้นในวังหลวง ช่วงที่อยู่ในวังได้แต่ระมัดระวังตัวอย่างดี มีหลายอย่างที่ไม่มีเวลาขบคิดให้รอบคอบ ฮ่องเต้ ไทเฮา หลิ่วกุ้ยเฟย…ดูเหมือนทุกคนจะเป็นปกติดี แต่คล้ายจะมีความสัมพันธ์ซับซ้อนที่ปกปิดไว้มิให้ผู้อื่นรับรู้ ส่วนอีกคน เยี่ยเย่ว์… 

 

 

           ไม่สิ! 

 

 

           เยี่ยหลีลืมตาขึ้นทันที จนชิงหลวนและชิงอวี้ต่างตกใจไปด้วย “คุณหนู ทำไมหรือเจ้าคะ” 

 

 

           “รถม้าวิ่งไม่ถูกทาง!” เยี่ยหลีเอ่ย ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ก็มีเสียงฟึ่บดังขึ้น พร้อมกับธนูยาวดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาในรถม้า