ตอนที่ 14 ก้อนข้าวเหนียว

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ผู้หญิงก็เป็นเช่นนี้ ทำงานก่อน กินข้าวไว้ทีหลัง ในสายตาคิดแค่จะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่น 

 

 

ดังนั้นเฉียนเพ่ยอิงเลยไม่ฟังซ่งฝูเซิง ยังคงผัดฉาเมี่ยน จากกระทะหนึ่งไปยังอีกกระทะหนึ่ง และกลัวว่าจะใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย ทำคล่องแคล่วว่องไวและยังทอดหมาฮวาอีก ให้สามีไปนั่งตากลมข้างเหล่าหนิว อยู่ในรถทำกับข้าวร้อนเกือบตายแล้ว พักผ่อนหน่อย ก่อนจะกินข้าว 

 

 

เป็นแบบนี้ นางยุ่งอยู่แต่ก็ร้อนใจ วางแผนไว้ว่าจะทำของกินทั้งหมด เมื่อสองกระทะว่างก็นำกระทะหนึ่งต้มไข่พะโล้ นำไข่ไก่ประมาณยี่สิบกว่าฟองของบ้านยุคโบราณมาต้มให้หมด รีบต้มให้เร็วก็จะได้เข้าเนื้อเร็ว ต้มให้เค็มหน่อยสามารถเก็บไว้กินได้หลายวัน 

 

 

ต้มน้ำในกระทะจนเดือด นำถุงน้ำมาเติมน้ำให้เต็ม และใช้น้ำที่เหลือให้หมด 

 

 

เทน้ำในถังจนหมด เมื่อถึงบ้านเกิดค่อยใส่น้ำใหม่ ไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่ 

 

 

หลังจากนั้นส่งถังน้ำให้กับเหล่าหนิว ซื่อจ้วง แบ่งให้พวกเขาไป หลังจากนี้นั่นจะเป็นที่ดื่มน้ำของพวกเขา อย่านำกระบวยตักน้ำในถังดื่ม เธออึกหนึ่ง ฉันอึกหนึ่ง ไม่มีใครรู้ได้ว่าใครเป็นโรคอะไร 

 

 

นอกจากนี้ยังนำถังน้ำมาให้บุตรสาวกับหมี่โซ่ว โดยเตรียมใส่น้ำตาลแดงกับเส้นขิงไปบางส่วน เพื่อป้องกันอุณหภูมิในช่วงเย็นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเกรงว่าเด็กทั้งสองจะเป็นหวัดในระหว่างการเดินทาง ถึงแม้ไม่เป็นหวัดก็มีน้ำตาลอยู่ สามารถใช้เป็นของหวานขบเคี้ยวได้ ดีกว่ารอไปถึงบ้านเกิดแล้วมาลำเอียงจัดเตรียมต่อหน้าเด็กๆ ทั้งหลาย เมื่อถึงตอนนั้นจะแบ่งให้เพียงแค่สองคนนี้แต่ไม่ให้เด็กบ้านนั้นด้วย ก็จะดูไม่ดี นางไม่ใช่คนใจอ่อน เพียงแต่ว่านางทนเห็นเด็กน้อยน่าเวทนาไม่ได้ 

 

 

เฉียนฝูเซิงก็ดี ซ่งฝูหลิงก็ดี เมื่อเห็นเฉียนเพ่ยอิงยุ่งขนาดนี้ พวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร 

 

 

เพราะเมื่อก่อนไม่ว่าจะต้มเกี๊ยวหรือทานข้าว เฉียนเพ่ยอิงจะเป็นเช่นนี้ตลอด เช่น เกี๊ยวยังต้มไม่เสร็จเลย นางก็บอกให้ พวกเจ้ากินกันไปก่อน เช่น พวกเจ้าไม่ต้องรอข้า ข้าเช็ดทำความสะอาดที่ทำอาหารเสร็จก่อนค่อยทาน 

 

 

พวกเขาเคยชินซะแล้ว 

 

 

เขาสองคนหยิบหมาฮวาคนละสองอัน และเปิดขวดน้ำพริกเต้าหู้ กินกันอย่างเอร็ดอร่อยกับพวกเหล่าหนิว 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วมองตรงนี้ที มองตรงนั้นที เด็กน้อยอายุห้าขวบสวมเสื้อผ้าขาดๆ ยังไม่ทันได้เปลี่ยน ดูเหมาะสมกับฐานะผู้ลี้ภัย แต่ใบหน้า มือ ต่างล้างอย่างสะอาดสะอ้าน ใบหน้าอ่อนเยาวน์อันสดใสน่ารัก ใช้ผ้ามัดเก็บผม ไม่ว่ามองอย่างไรก็น่าเอ็นดู เขาดูเหมือนลูกแท้ๆ ก็ไม่ปานที่สงสารเฉียนเพ่ยอิงจนไม่สบายใจ 

 

 

เขาเดินเข้าไปยังไม่ทันจะพูด เฉียนเพ่ยอิงก็เรียกเขา “หมี่โซ่ว นี่ไม่ได้นะ อย่าอยู่ใกล้ข้า เดี๋ยวน้ำมันกระเด็นใส่ ไปกินทางโน้น” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วไม่ไป เขายื่นหมาฮวาไปตรงหน้า “ท่านป้ากินสิ” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงเหล่มองหมาฮวาที่มีรอยฟันเล็กๆ ฝังอยู่ “เจ้ากินก่อนเถอะ” 

 

 

พูดจบก็พบว่าเด็กน้อยไม่ยอมเชื่อฟัง ต้องการเอาหมาฮวายัดใส่ตรงหน้า เฉียนเพ่ยอิงรีบยกมือสกัดไว้ “เป็นอะไร? เจ้ากินอิ่มแล้วหรือ? มื้อต่อไปไม่รู้ว่าจะได้กินอีกเมื่อไหร่ กินเยอะๆ หน่อยสิ” 

 

 

“จะเก็บไว้ให้ท่าน” 

 

 

“มีตั้งเยอะแยะขนาดนี้ เจ้าเก็บไว้ให้ข้าทำไม?” 

 

 

“ถึงจะเยอะขนาดนี้แต่ก็กินได้ไม่กี่วัน หนึ่งคนมีไม่กี่อัน ไม่เชื่อท่านลองคำนวณดู ข้าตัวเล็ก เก็บไว้ให้ท่าน กลัวว่าท่านป้าจะเสียดายไม่กล้ากิน” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิง “…” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงรีบเรียกบุตรสาว “ฝูหลิง เจ้าฟังสิ เจ้ารู้จักแต่การด่าว่ากัน เจ้าดูน้องชายเจ้า ข้าเหนื่อยเช่นนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว” 

 

 

ซ่งฝูเซิงก็หันกลับมาพูดหยอกล้อ “เจ้าเด็กคนนี้ช่างประจบเก่ง หมี่โซ่ว เจ้าพูดอะไรน่าฟังปลอบใจลุงหน่อย เจ้าทำไมไม่นำของกินมาให้ข้าบ้าง?” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วกระพริบตา คิดในใจ 

 

 

ท่านจะเทียบกับท่านป้าได้อย่างไร? ท่านยังเทียบพี่สาวไม่ได้เลย 

 

 

ถ้าเพียงท่านป้ากับพี่สาวกินอิ่ม เขาถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ มีเพียงสองคนนี้ที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขา ไม่ว่าเวลาไหนก็ไม่มีทางทิ้งเขา 

 

 

หากท่านป้าหิวตาย ถึงตอนนั้นท่านลุงก็มีท่านป้าคนใหม่หลายคน พี่สาวคงใช้ชีวิตลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาเลย ให้ประจบท่านลุง? ไม่จำเป็น ไม่มีตาจะมองการณ์ไกลได้อย่างไร  

 

 

เขานึกถึงตรงนี้ก็รีบดึงกระเป๋าที่สะพายมาตลอด 

 

 

ซ่งฝูหลิงเห็นน้องชายคนเล็กไม่ตอบกลับพ่อของนาง และยังตื่นตระหนกดึงกระเป๋าสะพาย นางก็แปลกใจมาก ตั้งแต่แรกที่เจอกันจนถึงตอนนี้ เจ้าตัวเล็กไม่ว่าจะไปทางไหนก็จะสะพายไปด้วยตลอด ใครขอก็ไม่ให้ “หมี่โซ่ว เจ้าบอกพี่สาวได้ไหมว่าข้างในนั้นมันคืออะไร?” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วใช้มือบังปาก เขาพูดกับซ่งฝูหลิงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเกี่ยวกับเรื่องราวที่ปกปิดไว้ แต่ก็ถูกเปิดเผย “พี่สาว มีเพียงท่านกับท่านป้าที่ทราบได้ ห้ามบอกท่านลุง” 

 

 

“ตกลง” 

 

 

ซ่งฝูหลิงให้ความร่วมมือ ยังใช้ร่างกายตนเองครึ่งหนึ่งบังสายตาของพ่อ “เปิดออกเถอะ เขามองไม่เห็น” 

 

 

ซ่งฝงหลิงคิดว่าน่าจะเป็นของล้ำค่าที่ตกทอดกันมาเพราะเห็นดูทะนุถนอม ถ้าไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง ก็ต้องเป็นสิ่งของมีค่า แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะเป็น “นี่เป็นก้อนอิฐ?” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วสีหน้าไม่ดี “เป็นก้อนข้าวเหนียว เวลาหิวสามารถกัดกินได้สองคำ” 

 

 

ซ่งฝูหลิงเกือบจะอ้วกออกมา มีกลิ่นสาบลอยออกมา “นี่ยังกินได้อีกหรอ? เดี๋ยวก็ฟันหักหรอก อีกอย่างของสิ่งนี้ไม่สามารถกินได้ เจ้าดูสิ ด้านนอกมีขนสีเขียวยาวออกมาแล้ว รีบทิ้งไปซะ เจ้าต้องเชื่อฟัง ข้ามีของกิน ไม่ทำให้เจ้าอดอยากหรอก ข้ารับรอง” 

 

 

ไม่คาดคิดว่าคำพูดของนางเพียงหนึ่งประโยคจะทำให้ซื่อจ้วงกับหมี่โซ่วกระวนกระวายใจ 

 

 

ซื่อจ้วงรีบโบกมือไปมา มีน้ำเสียงอูอูมาสองเสียง 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วโถมตัวเข้าปกป้องก้อนข้าวเหนียวสองก้อนนั้น “ทิ้งไม่ได้ นี่เป็นของท่านปู่มอบให้ข้า ท่านปู่บอกว่าหากหิวจนตาลาย ให้ท่านป้าหนึ่งก้อน ข้าหนึ่งก้อน” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงถลึงตาใส่บุตรสาว “อย่าเอาไปทิ้ง เจ้าทำให้เขาร้องไห้แล้ว ให้หมี่โซ่วไว้ทำเป็นหมอน เก็บไว้เป็นที่ระลึก” 

 

 

ซ่งฝูเซิงทำตาถลึงใส่เฉียนหมี่โซ่ว ในขณะเดียวกันก็พึมพำนึกคิดในใจ 

 

 

ท่าพ่อตายุคนี้ดูถูกเขาขนาดไหน คิดว่าเขาจะทำให้ภรรยาและบุตรสาวหิวตาย มิน่าจดหมายเขียนถึงขั้นดูแลฝากฝังไว้ และยังเขียนด่าเขายาวจนครึ่งหน้ากระดาษเพื่อความสะใจ 

 

 

จดหมายนั้นเขาไม่สามารถอ่านให้บุตรสาวกับภรรยาฟังได้ กลัวพวกเขาทั้งสองจะหัวเราะเยาะเขา 

 

 

หลังจากนั้นทุกคนก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ คิดว่านั่นเป็นอาหารมื้อสุดท้ายจริง 

 

 

คาดเดาว่าท่านเฉียนเตรียมของพวกนี้ให้เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารที่หลานนำติดตัวเดินทางไปถูกจี้ปล้น แต่ก้อนข้าวเหนียวนี้ไม่ต้องกลัวเพราะไม่มีใครต้องการ 

 

 

หากว่าเตรียมของกินอร่อยๆ กับเงินทองมาให้ อาจทำให้หลานตายได้ง่ายๆ มีแต่อาหารที่คนอื่นรังเกียจถึงจะรักษาชีวิตหลานไว้ได้ต่อไป 

 

 

ซ่งฝูเซิงสั่งการเหล่าหนิว “ด้านหน้ามีแอ่งน้ำใช่ไหม? จอดตรงนั้นให้พวกลาได้พักผ่อน ดื่มน้ำกินหญ้า พวกเราก็จะได้ลงจากรถออกไปยืดเส้นสาย” 

 

 

เหล่าหนิวถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินทางมาสี่ชั่วโมงแล้ว คาดว่าต้องวิ่งไปอีกหกชั่วโมง ตอนเย็นก่อนฟ้ามืดก็น่าจะถึงที่หมายแล้ว 

 

 

ซ่งฝูเซิงดับไฟบนเตาทั้งสอง เขาพยุงภรรยากับลูกลงจากรถ เขายื่นชุดซัวอีให้กับเฉียนเพ่ยอิง หากต้องเข้าห้องน้ำ ให้นำสิ่งนี้มอบให้ลูกสาวเพื่อกำบังสายตา 

 

 

กำลังหันไปจะแก้ปัญหาให้คนถัดไป ก็พบว่าเฉียนหมี่โซ่วเดินตามหลังเฉียนเพ่ยอิงไป เขาดึงกลับมา “เจ้าไปฉี่กับข้าตรงโน้น” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วนั่งยองอยู่บนพื้นเพื่อขับถ่าย สายตาจับจ้องมองกระเป๋าสัมภาระที่พาดบนบ่าของซ่งฝูเซิง นั่นของเขา 

 

 

ซ่งฝูเซิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดี “วางใจเถอะ สิ่งของดีๆ ของข้ามีเยอะกว่าของเจ้าอีก ข้าไม่เหมือนเจ้าที่ตระหนี่แบบนี้ ไปไหนต้องสะพายไปด้วย ไม่หายหรอก” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วไม่พูดจา เขายื่นมือดึงหญ้ามาเช็ดก้น เพิ่งเช็ดไปก็พูดออกมา “โดนบาด” 

 

 

ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ “รอแป๊บ” 

 

 

เขากลับขึ้นไปบนรถ หาผ้าฝ้ายที่ใช้เช็ดหน้าในยุคนี้สามสี่ผืน แบ่งให้เหล่าหนิว ซื่อจ้วง เฉียนหมี่โซ่ว และรวมถึงตนเอง 

 

 

“แค่ก นำอันนี้ไปเช็ด จำไว้ว่าเช็ดเสร็จต้องซัก ซักแล้วก็ตากให้แห้ง ต้องประหยัดใช้หน่อย นี่เมื่อก่อนข้าใช้เช็ดหน้า” 

 

 

เหล่าหนิวปฏิเสธ “นายท่าน ท่านนำกลับไปเช็ดหน้าเถอะ ข้าน้อยอยู่บ้านก็ใช้ท่อนไม้ ไม่ได้พิถีพิถันอะไร” 

 

 

ซ่งฝูเซิงหมดปัญญาที่จะพูดคุยในหัวเรื่องนี้ต่อไป ไม่มีกระดาษก็ทนไม่ไหวแล้ว ยิ่งถ้าไม่มีผ้ายิ่งรับไม่ได้ “พวกเจ้าก็รับไว้เถอะ สักพักข้าจะตัดแบ่งสบู่ให้ หนึ่งคนใส่ไว้ที่เอวหนึ่งชิ้นเล็ก ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถอาบน้ำได้ แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับความสะอาด อย่าให้เจ็บป่วย”