ตอนที่ 11 ความลับ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

“เกิดอะไรขึ้นๆ” โจวชูจิ่นลุกขึ้นอย่างลนลาน กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น ตะโกนเรียกสาวใช้เสียงดัง “ฉือเซียง ซือเซียง รีบจุดตะเกียงเร็ว!” 

 

 

ภายในห้องสว่างขึ้นมา 

 

 

โจวเสาจิ่นมองเลือดสดบนมือ สีหน้าตกใจกลัว กรีดร้องแหลมราวกับคนล้มดังขึ้นมา “เลือด เลือด เลือด…” 

 

 

“เสาจิ่นๆ” โจชูจิ่นตกใจกลัวจนเสียงเปลี่ยน “ไม่ต้องกลัวๆ พี่สาวอยู่นี่แล้วๆ!” ขณะที่นางกล่าวนั้นก็มองเห็นเลือดบนมือของโจวเสาจิ่น นางรีบยกผ้าห่มขึ้น เห็นด้านล่างของโจวเสาจิ่นเปียกชุ่มอยู่ส่วนหนึ่ง โจวชูจิ่นโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ใจที่แขวนไว้ตกลงมา กล่าวขึ้นทั้งโมโหทั้งขำว่า “เอาล่ะๆ ไม่เป็นไรๆ เป็นระดูของเจ้ามาแล้ว!” 

 

 

เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ 

 

 

โจวเสาจิ่นมองโจวชูจิ่นอย่างเป็นกังกล 

 

 

โจวชูจิ่นแตะหน้าผากของน้องสาวครู่หนึ่ง ยิ้มพลางกล่าว “พี่สาวจะหลอกเจ้าได้อย่างไร เจ้าดูสภาพของเจ้านี้เถอะ…” นางยิ้มพลางส่ายศีรษะ กล่าวขึ้น “เสาจิ่นของพวกเราก็โตเป็นสาวแล้ว!” กล่าวถึงคำสุดท้าย เป็นความรู้สึกที่ประทับใจยิ่ง 

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ 

 

 

ได้ยินเสียงจัดเสื้อผ้าและลากรองเท้าวิ่งเข้ามาของฝานหลิวซื่อถึงได้เข้าใจ 

 

 

“เป็นครั้งแรกของคุณหนูรองนี่เจ้าคะ!” นางยิ้มแย้มพลางสั่งซือเซียง “เจ้าไปต้มน้ำตาลทรายแดงมาให้คุณหนูรอง!” ตนเองกลับหมุนกายกลับไปที่ห้องของตัวเอง 

 

 

โจวชูจิ่นที่กอดน้องสาวเอาไว้กระซิบเสียงเบาที่ข้างหูของนางอธิบายบางเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ 

 

 

โจวเสาจิ่นค่อนข้างสับสนและมึนงง 

 

 

ก็อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อกี้นางเพียงฝันไปเท่านั้น 

 

 

ไม่ได้กลับไปที่อดีต 

 

 

ทว่าความฝันนั้นกลับบอกเล่าทุกอย่างที่นางซ่อนเอาไว้อย่างลึกที่ก้นบึ้งของหัวใจในสิบปีมานี้ ความลับที่ไม่กล้าแตะต้อง 

 

 

ในปีนั้น ตอนที่มีข่าวการหมั้นหมายของเฉิงลู่และอู๋เป่าจางออกมานั้น กะทันหันยิ่งนัก ในเวลานั้น พี่สาวได้แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ท่านยายและท่านป้าใหญ่กำลังช่วยนางจัดเตรียมเรื่องการออกเรือนอย่างเงียบๆ ไม่ต้องพูดถึงจวนสี่ แม้แต่มารดาของเฉิงเจีย เจียงซื่อก็ยังรู้สึกคาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังรีบมาสอบถามข้อเท็จจริง 

 

 

ท่านยายผู้ที่แข็งแรงปานนั้น ยังล้มป่วยลงทันใด 

 

 

ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนโกรธจนด่าทอไม่หยุด เฉิงอี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นต้องการไปหาเฉิงลู่เพื่อคิดบัญชี เป็นเฉิงเก้าที่ห้ามเฉิงอี้ไว้ “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะสามารถทำให้เฉิงลู่กับตระกูลอู๋ยกเลิกการหมั้นหมายได้หรือ ถึงแม้ว่าเขาอยากจะยกเลิกการหมั้นหมายกับตระกูลอู๋แล้วสู่ขอเสาจิ่นอีกก็อย่าได้หวังเลยว่าพวกเราจะตกลงด้วย” เขายิ้มเย็นพลางกล่าว “ต้องโทษที่พวกเรารู้จักคนไม่ถ่องแท้ มองหมาป่าวายร้ายเป็นสุภาพบุรุษผู้ทรงคุณธรรมไปได้ เสาจิ่นยังต้องแต่งให้ผู้อื่นในภายภาคหน้า เจ้าเอะอะโวยวายเช่นนี้ สำหรับเฉิงลู่แล้วก็เป็นเพียง ‘เรื่องรักๆ ใครๆ’ เรื่องหนึ่ง ทว่ากลับสามารถทำลายชีวิตของเสาจิ่นลงได้ ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย เจ้าคอยดู หากว่าข้าไม่ได้จัดการเขา ข้าไม่ขอแซ่ ‘เฉิง’ อีก” 

 

 

ท่านป้าใหญ่เองก็ห้ามปรามเฉิงอี้ “อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเพียงการตกลงกันด้วยวาจาของพวกเราสองครอบครัว ไม่ได้รับมอบเทียบหมั้นหมาย เป็นพวกข้าเองที่ทำไม่ถูก เจ้าห้ามสร้างความวุ่นวายขึ้นเป็นอันขาด หากว่ามีข่าวลือโจษจันออกไป คนที่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจก็คือเสาจิ่น” ทั้งยังปลอบโยนนางว่า “พวกเราก็ถือเสียว่าถูกสุนัขกัดครั้งหนึ่ง ในภายภาคหน้าป้าค่อยหาตระกูลที่ดียิ่งกว่าเฉิงลู่มาให้เจ้า ที่เหมาะสมกัน ให้เฉิงลู่ผู้นั้นต้องเสียดาย” 

 

 

นางไม่เต็มใจนัก 

 

 

ไม่ใช่เพราะว่านางปล่อยเฉิงลู่ไม่ลง ตอนนี้เป็นเฉิงลู่ที่ทรยศหักหลัง กลับกลายเป็นความผิดของนางแทน ไม่เพียงเท่านั้น ยังดึงให้ท่านยาย ท่านป้าใหญ่ ท่านลุงและพวกพี่ชายต้องขายหน้าไปด้วย 

 

 

ดังนั้นเมื่อท่านพ่อเขียนจดหมายส่งมาแจ้งว่ามารดาเลี้ยงจะมารับนางนั้น นางไม่ยินยอมไปเป่าติ้งกับมารดาเลี้ยงด้วย กล่าวว่า “เรื่องของข้า ข้ามีท่านยายช่วยตัดสินใจแทนข้าได้” 

 

 

มารดาเลี้ยงไม่กล้าตัดสินใจ เขียนจดหมายส่งไปให้ท่านพ่อ ระหว่างนั้นจึงพักอยู่ที่ตระกูลเฉิงชั่วคราว 

 

 

เฉิงลู่ไม่มา กลับเป็นอู๋เป่าจางที่มาหา 

 

 

อู๋เป่าจางคุกเข่าต่อหน้านาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ “เรื่องงานแต่งนี้เป็นมารดาเลี้ยงของข้าเป็นคนตัดสินใจ กว่าข้าจะรู้ก็เป็นตอนที่ทั้งสองตระกูลได้ทำการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว หากว่าข้ารู้เรื่องก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน” 

 

 

ไม่ว่าอู๋เป่าจางจะคิดอย่างไร นางไม่ได้ใส่ใจมาตั้งแต่ต้น 

 

 

ท่านพี่เก้าพูดถูก ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาทั้งสองตระกูลก็ไม่อาจยกเลิกการหมั้นหมายได้ ถึงแม้ว่าจะยกเลิกการหมั้นหมาย ตนเองก็ไม่มีทางแต่งให้เฉิงลู่อีก นางเพียงต้องการคำอธิบายหนึ่งเท่านั้น! 

 

 

เฉิงเจียนัดหมายนางไปเดินเล่นในสวน บอกว่ามีเรื่องจะพูดกับนาง 

 

 

พวกนางเดินมาถึงภายในโพรงของภูเขาเล็กๆ ที่ก่อขึ้นมาจากหินไท่หูที่อยู่ข้างศาลาริมน้ำ เฉิงเจียหันมาขยิบตาให้นางอย่างน่าสงสัย กล่าวว่า “เจ้ารออยู่ในนี้ครู่หนึ่ง ข้ามีอะไรดีๆ มอบให้เจ้า” 

 

 

นางรอเฉิงเจียกลับมาอยู่ในโพรงหิน 

 

 

คนที่มากลับเป็นเฉิงสวี่ที่เมามาย 

 

 

โจวเสาจิ่นตัวสั่น 

 

 

ราวกับร่อนแกลบที่ไม่อาจควบคุมได้ ฟันกระทบกันเกิดเป็นเสียงดัง ‘กึกๆ’ 

 

 

“เสาจิ่นๆ” โจวชูจิ่นตกใจกลัวจนเกือบจะร้องไห้ออกมา ดึงน้องสาวเข้ามากอดเอาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง ตะโกนบอกฝานหลิวซื่อว่า “รีบไปเชิญท่านป้าใหญ่มา เจ้ารีบไปเชิญท่านป้าใหญ่มา” 

 

 

“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นกอดพี่สาวเอาไว้แน่น เหมือนกับคน ณ ประตูคนตายกอดฟางข้าวช่วยชีวิตเอาไว้ รับเอาความอบอุ่นจากร่างกายของโจวชูจิ่นมาอย่างละโมบ “ข้าเพียงหนาวเจ้าค่ะ ท่านพี่ท่านกอดข้าเอาไว้ ท่านกอดข้าเอาไว้ ไม่ต้องไปเรียกท่านป้าใหญ่นะเจ้าคะ ช่างขายหน้านัก ให้ข้าตายเสียยังจะดีกว่า ห้ามไปเรียกท่านป้าใหญ่นะเจ้าคะ” 

 

 

“ได้ๆๆ ข้าไม่เรียกท่านป้าใหญ่แล้ว” น้ำตาของโจวชูจิ่นไหลลงมาเป็นสาย “ข้ากอดเจ้าเอาไว้ๆ” 

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ยินยอม ยืนกรานให้โจวชูจิ่นเรียกฝานหลิวซื่อกลับมา 

 

 

โจวชูจิ่นพยักหน้า หันไปส่งสายตามีความหมายให้ฝานหลิวซื่อ 

 

 

ฝานหลิวซื่อจึงยืนอยู่ที่หน้าประตู 

 

 

โจวชูจิ่นออกแรงกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ 

 

 

โจวเสาจิ่นพิงหัวไหล่ของพี่สาวเอาไว้ ร้องไห้โฮออกมา 

 

 

นางเหมือนกับว่าได้ยินเสียงร้องกรีดร้องและน้ำเสียงอย่างไม่อยากจะเชื่อของเฉิงเจีย “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เจ้ากำลังทำอะไร ทำไมเจ้าถึงได้ทำเรื่องไม่เหมาะสมเช่นนี้ออกมาได้! ข้าต้องบอกท่านแม่ของข้า ไม่สิ ข้าต้องบอกท่านป้าใหญ่” 

 

 

จากนั้นก็มีคนมากมายกรูกันเข้ามา 

 

 

มีคนพยุงนางขึ้นมา พานางกลับไปส่งที่ห้องนอนของนาง ทำความสะอาดร่างกายให้นาง เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง พานางไปนอนอยู่ในผ้าห่ม 

 

 

นางสับสนและมึนงง ไม่รู้วันรู้คืน 

 

 

หลังจากนั้น นางถูกคนพาไปยังห้องโถง 

 

 

ท่านป้าใหญ่และหยวนซื่อถกเถียงกันอยู่ในห้อง หยวนซื่อชี้จมูกของนางแล้วด่านางว่าแพศยาไร้ศีลธรรม 

 

 

ต่อมา ท่านพ่อรีบกลับมา ยืนน้ำตาไหลอยู่หน้าเตียงของนางอย่างเงียบๆ 

 

 

ท่านลุงใหญ่ประคองท่านยายเดินเข้ามา ย่อเข่าหมายจะคุกเข่าลง ขอโทษท่านพ่อ 

 

 

ท่านพ่อประคองท่านยายให้ลุกขึ้นมาโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ จากนั้นก็เดินออกไป 

 

 

นางกับเฉิงสวี่จึงหมั้นหมายกัน 

 

 

หยวนซื่อต้องการอบรมสั่งสอนนางด้วยตัวเอง 

 

 

ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ไม่เห็นด้วย 

 

 

หยวนซื่อเชิดคางขึ้นสูง กล่าวเย้ยหยันเย็นชาว่า “นางเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเฉิงของพวกข้า แค่เด็กสาวที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอคนเดียวพวกเจ้ายังดูแลไม่ได้ นับประสาอะไรกับหน้าที่ภรรยาที่สะใภ้ของหลานชายคนโตต้องรับผิดชอบ?” 

 

 

ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ถูกถากถางจนไม่พูดไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำ 

 

 

“ข้าไปเจ้าค่ะ!” นางยืนขึ้น 

 

 

ท่านป้าใหญ่เช็ดน้ำตา ช่วยนางแต่งตัวอย่างไม่มีทางเลือก 

 

 

เฉิงสวี่ลอบมองนางระหว่างทางที่นางไปจวนหลัก 

 

 

หยวนซื่ออยู่ในห้องเล็กข้างเรือนหลักเพื่อทำให้นางอับอาย 

 

 

ทั้งยังสั่งมามานางเฝ้าห้องต่อหน้านางว่าให้ดูแลสาวใช้สองสามคนที่ล้วนมีลักษณะท่าทางค่อนข้างฉลาดเฉลียวให้ดี สำหรับเป็นสาวใช้อุ่นเตียงให้เฉิงสวี่ในอนาคต 

 

 

นางคุกเข่าท่อง ‘บัญญัติสอนหญิง’ อยู่ในห้องเล็ก ตามที่พวกเขาให้ทำครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้ชีวิตชีวา 

 

 

แต่มีวันหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ยามที่สาวใช้และป้าพวกนั้นมองนางนั้นเผยความรังเกียจและดูหมิ่นนางออกมาราวกับเข็มทิ่มแทงใจของนางจนเป็นแผล 

 

 

ทันใดนั้นนางก็ได้สติกลับมา 

 

 

รู้สึกราวกับตนเองฝันไปอย่างยาวนาน 

 

 

ทำไมนางจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ด้วย 

 

 

นางทำผิดอะไร 

 

 

ทำไมเฉิงสวี่สามารถอยู่อย่างสบายตัวและไม่โดนลงโทษอะไร ขณะที่นางกลับโดนผู้คนประณามหยามเหยียดรับความขมขื่นอยู่ในห้องนี้ 

 

 

พี่สาวไปอยู่ที่ไหน 

 

 

ข้าอยากไปหาพี่สาว 

 

 

หากพี่สาวทราบว่านางต้องผ่านแต่ละวันไปเช่นนี้ จะต้องช่วยเหลือนางเป็นแน่! 

 

 

นางนำทองและเงินทั้งหมดในกล่องมาซ่อนเอาไว้ในอกเสื้อ ในค่ำคืนเดือนมืดและลมแรงคืนหนึ่ง จึงหนีออกจากตระกูลเฉิงและจินหลิงไปพร้อมกับแม่นมฝานหลิวซื่อ 

 

 

ฝานหลิวซื่อหาเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปจิงเฉิงได้ลำหนึ่ง ทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่ใต้ท้องเรือ นางอาเจียนไปตลอดทั้งทางจนถึงจิงเฉิง ขณะอยู่ที่ทงโจวนั้นกลับเจอกับพายุหิมะห่าใหญ่ ติดอยู่ในท่าเรือด้วยความเหนื่อยอ่อน เป็นเพราะฝานหลิวซื่อนำกำไลข้อมือทองของตระกูลฝานไปจำนำ พวกนางถึงได้สามารถหาจวนของตระกูลเลี่ยวที่อยู่ในจิงเฉิงจนเจอ 

 

 

นางไม่รู้ว่าข่าวการหลบหนีของตัวเองมาถึงเมืองหลวงหรือยัง คนตระกูลเลี่ยวทราบหรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่จินหลิงบ้าง นางกลัวว่าพี่สาวอาจถูกดูหมิ่นเพราะตนเอง จึงเช่าเรือนเล็กหลังหนึ่งไม่ไกลจากจวนตระกูลเลี่ยวสำหรับพักชั่วคราว 

 

 

ลมหิมะของทางเหนือราวกับมีดที่กรีดอยู่บนร่างกายของคน เป็นความหนาวที่เสียดแทงถึงกระดูก 

 

 

ฝานหลิวซื่อนั่งรอคนอยู่ที่ปากซอยที่พี่สาวอาศัยอยู่ นางนั่งคดคู้อยู่ในห้องที่ไม่มีไส้เดือน ลมเข้ามาได้ทุกด้าน อาศัยความอุ่นจากเตาถ่านอันหนึ่งที่จุดเอาไว้อยู่ในห้อง กระทั่งถึงวันที่เก้า ฝานหลิวซื่อที่หนาวจนใบหน้าซีดเขียวก็กระชับแขนเสื้อพาพี่สาวที่ร่างกายเต็มไปด้วยหิมะ ใช้ผ้าคลุมบิดปังใบหน้าเอาไว้ มาปรากฏตัวตรงหน้าของนาง 

 

 

“ทำไมเจ้าถึงได้ผอมจนอยู่ในสภาพเช่นนี้” พี่สาวร้องเสียงหลงออกมาอย่างตกตะลึง 

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหนาวเย็น หรือเป็นเพราะความหวาดกลัว หรืออาจจะเป็นเพราะเกินจะทานทนได้ นางตัวสั่นเทา แม้สักประโยคเดียวก็พูดไม่ออก 

 

 

ยังดีที่พี่สาวไม่ได้ถามอะไร ถอดเสื้อหนังบนร่างกายออกแล้วเอามาห่มนางเอาไว้แน่นในอ้อมกอด หันศีรษะไปพูดกับฝานหลิวซื่อว่า “คนจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เจ้าเก็บของเสีย อีกสักพักย้ายไปอยู่ที่บ้านสวนหลังเล็กที่เป็นสินสอดของข้าพร้อมกับคุณหนูรอง” 

 

 

คำพูดที่เป็นห่วงเป็นใยพร้อมทั้งความอบอุ่นของร่างกายและกลิ่นหอมของพี่สาว ทำให้โจวเสาจิ่นที่ตื่นกลัว ไม่สงบ และต่อต้านมาตลอดนั้นร้องไห้โฮออกมาราวกับทำนบน้ำแตก 

 

 

พี่สาวตบหลังนางเบาๆ ขณะที่ปลอบโยนนางไปด้วย 

 

 

ฝานหลิวซื่อที่อยากจะเอ่ยคำก็หยุดไป 

 

 

“ไม่เป็นไร!” พี่สาวกล่าวเสียงทุ้มหนัก “ข้าให้หม่าชื่อล่วงหน้าไปก่อนแล้ว บ่าวชายที่นั่นจะถูกส่งไปที่บ้านสวนของข้าที่หลางฝาง สาวใช้และป้าที่คอยรับใช้พวกเจ้าก็จะหาซื้อมาจากซานตง รอให้คุณหนูรองพักฟื้นสักสองสามวัน ให้สีหน้าไม่ดูย่ำแย่ขนาดนี้แล้ว พวกสาวใช้และป้าเหล่านั้นก็คงจะใช้งานได้แล้ว พวกเจ้าค่อยย้ายไปอยู่นั่น หากคนตระกูลเลี่ยวถามขึ้นมา ให้บอกไปว่าเสาจิ่นคิดถึงข้า ตั้งใจมาจิงเฉิงเพื่อเยี่ยมข้าก็พอแล้ว” 

 

 

ฉับพลันก็เยือกเย็นขึ้นมา “บุตรชายของนางเป็นสมบัติล้ำค่า แล้วบุตรสาวตระกูลโจวของพวกข้าเป็นหญ้าหรืออย่างไร พวกเจ้าเพียงอยู่กับข้าที่นี่ ข้าจะดูว่ามีใครกล้าพูดอะไรไม่ดีถึงพวกเจ้า รอให้ผ่านไปอีกสักพัก ข้าค่อยมองหาตระกูลดีสำหรับเรื่องแต่งงานให้เสาจิ่น นางจะได้เลิกคิดเสียทีว่านอกจากตระกูลเฉิงแล้ว เสาจิ่นแต่งออกไปไม่ได้แล้ว!” 

 

 

สภาพนางเช่นนี้ยังจะแต่งให้ใครได้อีกหรือ 

 

 

พี่สาวรู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างกับร่างกายของนาง 

 

 

นางเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ ไม่กล้ามองพี่สาว หันไปมองฝานหลิวซื่อ 

 

 

ฝานหลิวซื่อน้ำตาคลอพลางพยักหน้า 

 

 

นางโล่งอก 

 

 

เรื่องน่าอับอายเช่นนั้น หากให้นางเล่าให้พี่สาวที่นางห่วงใยและใกล้ชิดที่สุดฟังด้วยปากของตัวเองอีกครั้ง นางยอมไปกระโดดทะเลสาบมั่วโฉว 

 

 

“ท่านพี่!” นางอยากจะขัดขวางพี่สาว กลับได้แต่พึมพำไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี 

 

 

“ข้ามีความคิดเห็นเป็นของข้าเองเกี่ยวกับเรื่องนี้” พี่สาวยืนกรานกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเพียงพักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงอยู่ที่บ้านสวนหลังเล็กของข้าให้สบายใจก็พอแล้ว!” 

 

 

จริงด้วย มีพี่สาวคอยดูแลนาง มีอะไรให้นางต้องกลัว! 

 

 

นางผ่อนคลายลง อยู่พักฟื้นร่างกายในบ้านสวนหลังเล็กอย่างสงบ 

 

 

ใครจะรู้ว่าจะเกิดฟ้าผ่าภายใต้ท้องฟ้าสดใส…นางตั้งครรภ์!