ตอนที่ 12 เรื่องราวในอดีต

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

“ไม่ๆๆ!” นางส่ายศีรษะอย่างตื่นตระหนก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่ได้ตั้งท้อง ข้าเพียงกินอะไรจนท้องเสียเท่านั้น!” 

 

 

พี่สาวกอดนางเอาไว้แน่ ไม่ได้มีความสงบเหมือนก่อนหน้านี้อีก “เจ้าอย่ากังวลใจไป! เพราะข้ารั้งให้เจ้าอยู่ที่จิงเฉิง ย่อมมีวิธีให้ตระกูลเฉิงมารับเจ้ากลับไปอย่างสง่างาม!” 

 

 

พี่สาวบอกว่าให้นางอาศัยอยู่ที่บ้านสวนหลังเล็กให้สบายใจได้ไม่ใช่หรือ 

 

 

ไม่ใช่บอกว่าจะหาใครสักคนมาแต่งกับนางหรอกหรือ 

 

 

ทำไม่อยู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหัน 

 

 

ใจของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ผลักพี่สาวออกไป “ไม่ ข้าไม่กลับไป! ข้าไม่ต้องการแต่งให้เฉิงสวี่! ข้าไม่อยากถูกคนด่าว่าเป็นหญิงแพศยา! ข้าไม่อยากเห็นสายตาเหยียดหยามของบ่าวพวกนั้น! ข้าไม่อยากถูกคนตราหน้าไปทั้งชีวิต” ขณะที่นางพูด ก็ก้มศีรษะมองลงไปที่หน้าท้องของตัวเอง ตรงนั้นยังแบนราบ ยังมองไม่เห็นอะไร คำพูดของท่านหมอก็เหมือนกับเรื่องโกหกเรื่องหนึ่ง เรื่องล้อเล่นเรื่องหนึ่งเท่านั้น “และข้าก็ไม่ต้องการเด็กคนนี้ด้วย” 

 

 

“แต่” พี่สาวหนักใจยิ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นกังวล “นี่เป็นลูกของตระกูเฉิง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นลูกคนแรกของเฉิงสวี่ เป็นจวนหลัก…” 

 

 

เฉิงสวี่ ลูก…ทำให้อารมณ์ที่ตึงเครียดของนางขาดผึงลง 

 

 

นางกรีดร้องเสียงดุดันเด้งตัวขึ้นมาขัดจังหวะคำพูดของพี่สาว “ทำไมพวกท่านทุกคนล้วนข่มเหงรังแกข้า ทำไมท่านก็เป็นเหมือนเช่นคนพวกนั้นที่ล้วนแต่ช่วยพูดแทนเฉิงสวี่ ท่านไม่ใช่พี่สาวของข้าๆ!” นางไม่ทันแม้แต่จะได้สวมรองเท้า วิ่งเท้าเปล่าออกไปข้างนอก “ข้าไม่กลับไป! ให้ตายข้าก็ไม่กลับไป! และข้าก็จะไม่คลอดเด็กคนนี้ด้วย” 

 

 

พี่สาวไล่ตามมา กอดนางเอาไว้ในอ้อมกอด “เสาจิ่นๆ เจ้าฟังข้าพูด…” 

 

 

“อะไรข้าก็ไม่อยากฟัง!” นางดิ้นรนขัดขืน ใช้เท้าเตะพี่สาวราวกับคนบ้าผู้หนึ่ง “ท่านก็เพียงให้ข้ายอมอดทน ให้ข้ายอมรับชะตากรรม ให้ข้ายอมแพ้ ทำไมข้าต้องยอมอดทน ทำไมข้าต้องยอมรับชะตากรรม ทำไมข้าต้องยอมแพ้ เพียงเพราะว่าข้าเป็นผู้หญิงอย่างนั้นหรือ แล้วข้าทำผิดอะไร สวรรค์ถึงได้ลงโทษข้าเช่นนี้” 

 

 

“ไม่ใช่ๆ! เป็นพี่สาวที่ไม่ดีเอง พี่สาวไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี เป็นพี่สาวที่ทำไม่ได้อย่างที่ท่านแม่ไว้วางใจ ทำให้เจ้าได้รับความโศกเศร้า” น้ำตาของพี่สาวราวกับหยดของน้ำที่เดือดจัด หยดลงบนคอของนางหยดแล้วหยดเล่า ลวกไปจนถึงหัวใจของนาง 

 

 

แล้วนี่เป็นความผิดของพี่สาวหรือ 

 

 

แล้วทำไมพี่สาวต้องยอมทนต่อความไม่มีเหตุผลของนางด้วย 

 

 

ก็เพราะว่าพี่สาวคือคนที่รักนางมากที่สุด? 

 

 

เช่นนี้ คนที่ทำให้คนในครอบครัวต้องทุกข์ใจและศัตรูยินดีเช่นนาง จะต่างอะไรกับเฉิงลู่ คนที่ทำร้ายนางกัน? 

 

 

นางหมดเรี่ยวแรงไปทั้งตัว ทรุดลงกองกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน 

 

 

“เสาจิ่นๆ” พี่สาวตกใจจนสีหน้าซีดเผือด โน้มตัวบนร่างของนาง “เจ้าเป็นอะไรไปๆ” 

 

 

“ข้าไม่เป็นไร” นางพึมพำกล่าว เฉื่อยชาสิ้นหวังราวกับขี้เถ้าที่มอดสนิท “ท่านพี่ ท่านพาข้าไปที่เตียงเถอะเจ้าค่ะ” 

 

 

นี่อาจจะเป็นชะตาของนาง! 

 

 

นางไม่อยากยอมรับชะตากรรมก็ไม่ได้! 

 

 

“คุณหนูรองๆ!” ฝานหลิวซื่อคุกเข่าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ร้องไห้จนเหมือนกับคนที่ท่วมไปด้วยน้ำตา 

 

 

นางกลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด 

 

 

โชคชะตาของนางผิดพลาดไปแล้วตั้งแต่ตอนที่นางตอบรับไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กับเฉิงเจีย 

 

 

หากจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่โง่เขลา 

 

 

คนอื่นต้องการให้นางเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น 

 

 

หากจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่ไร้ประโยชน์ 

 

 

ตอนที่ถูกเฉิงสวี่ข่มเหงรังแก นางก็รู้เพียงร้องไห้ขอความเมตตา 

 

 

นางสะเปะสะปะคว้าของชิ้นหนึ่งไว้ คิดจะยืนขึ้นมา ทว่าขาทั้งสองข้างกลับอ่อนยวบไม่มีแรงเลยสักนิด นางจำต้องคลานเข่าไปที่เตียงเพื่อปีนขึ้นไป 

 

 

พี่สาวดึงนางเอาไว้ เอ่ยน้ำเสียงรวดร้าวว่า “เจ้าอย่าทำเช่นนี้ๆ” 

 

 

ทว่านางกลับทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยิน กล่าวขึ้น “ท่านพี่ ท่านส่งข้ากลับไปยังบ้านที่ข้าเช่าเอาไว้เถอะเจ้าค่ะ! ตระกูลเฉิงจะต้องตามหาข้าจนพบในไม่ช้าอย่างแน่นอน…ต่อให้พวกเขาไม่ต้องการข้า ก็ต้องตามหาข้าให้พบถึงจะยกเลิกการหมั้นหมายได้…ท่านอย่าสนใจข้าเลย หากคนตระกูลเลี่ยวทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้า ต้องหัวเราะเยาะท่านเป็นแน่…ข้าเพียงคนเดียวก็ให้มันแล้วไป ไม่อาจลากพวกท่านลงน้ำไปด้วยกันทั้งหมดได้…เพียงขอร้องท่านพี่ช่วยรับฝานมามาเอาไว้ หากพวกเขาหาข้าจนพบ ย่อมไม่ปล่อยฝานมามาไปแน่…สงสารนางที่ให้นมข้ามา กลับต้องได้รับจุดจบเช่นนี้…ต้องลำบากเพราะข้าอีกเช่นกัน” 

 

 

“คุณหนูรอง ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้! ท่านรีบหยุดกล่าวเช่นนี้!” ฝานหลิวซื่อเองก็โน้มตัวเข้ามา “เป็นข้าที่พาท่านหนี ถูกแล้วเจ้าค่ะ เป็นความตั้งใจของข้า เป็นข้าที่ยุยงส่งเสริมให้คุณหนูรองมาหาคุณหนูใหญ่ คุณหนูไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย! ล้วนแต่เป็นความผิดที่บ่าวชั่วผู้นี้กระทำเองเจ้าค่ะ” 

 

 

พี่สาวมองดูพวกนาง แววตาก็ค่อยๆ เยือกเย็นขึ้นมา 

 

 

“เสาจิ่น” พี่สาวหมุนไหล่ของนาง สายตาที่ชำเลืองมองมาจากหางตากวาดผ่านหน้าท้องของนาง จากนั้นมองแน่วนิ่งไปที่ดวงตาของนาง กล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้าไม่คิดจะกลับไปที่ตระกูลเฉิงแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่ ต้องรู้เอาไว้ หากตอนนี้เจ้าตัดสินใจจะอยู่ที่จิงเฉิง เช่นนั้นต่อไปเจ้าจะไม่สามารถกลับไปที่ตระกูลเฉิงได้อีก เจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วน!” 

 

 

นางมีแผนของตัวเองไว้แล้ว 

 

 

ได้ยินแล้วเพียงส่ายศีรษะอย่างเฉยชา กล่าวขึ้น “ท่านพี่ ท่านส่งข้ากลับไปยังที่ที่ข้าเช่าเอาไว้เถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกแล้ว” 

 

 

พี่สาวมองดูนางสักครู่ใหญ่ถึงได้ประคองตัวนางขึ้นไปบนเตียง 

 

 

นางดึงแขนเสื้อของพี่สาวเอาไว้ กล่าวขึ้น “ท่านพี่ ท่านได้รับปากข้าแล้วว่าจะช่วยข้าดูแลฝานมามา ท่านต้องรักษาสัญญานะเจ้าคะ” 

 

 

พี่สาวพยักหน้า ดวงตาวาวไปด้วยหยาดน้ำตา กล่าวว่า “พี่สาวรักษาสัญญา” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่นางสงสัยในตัวพี่สาว ให้พี่สาวสาบาน “ต้องสาบานด้วยนามของท่านแม่ด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

ความเจ็บปวดพาดผ่านดวงตาของพี่สาว กล่าวสาบานอย่างจริงจัง 

 

 

นางยิ้มให้พี่สาวพลางกล่าว “ท่านพี่ ร่างกายของข้าไม่มีแรงเลยเจ้าค่ะ ให้คนใช้โสมตุ๋นแม่ไก่ให้ข้าสักตัวนะเจ้าคะ!” 

 

 

พี่สาวจ้องมองนาง ราวกับกลัวว่าจะพลาดอะไรไปจากสีหน้าที่แสดงออกเพียงน้อยนิดของนาง ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยเบาๆ ออกมาเสียงหนึ่งว่า “ได้” 

 

 

นางหลับตาลง 

 

 

กระทั่งน้ำไก่ตุ๋นถูกนำขึ้นมาให้ นางดื่มน้ำไก่ตุ๋นอย่างเชื่อฟัง จากนั้นนอนหลับต่อ 

 

 

พี่สาวเฝ้านางเอาไว้ตลอด 

 

 

แต่หลังจากตีกลองบอกเวลาสามครั้งแล้ว พี่สาวที่อ่อนเพลียก็ฝืนไม่ไหวเริ่มสัปหงก ผ่านไปสองเค่อ พี่สาวก็เอนตัวลงด้านหน้าเตียงแล้วหลับไป 

 

 

นางลืมตาขึ้น 

 

 

เกิดเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ขึ้น เพื่อชื่อเสียงของนาง ด้วยความรอบคอบของพี่สาว นอกจากจะไม่พาใครมาด้วยแล้ว ยังจัดส่งคนมาคอยรับใช้นางอยู่ที่กระท่อม ไม่เช่นนั้นพี่สาวคนเดียวก็ไม่อาจเฝ้าอยู่ข้างกายนางได้ตลอด 

 

 

นางครุ่นคิดอยู่ในใจ ฟังเสียงเคลื่อนไหว ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ ออกจากห้องไปอย่างเบามือเบาเท้า 

 

 

ข้างนอกเงียบเชียบมองไม่เห็นใครสักคน 

 

 

นางเดินอย่างเงียบเชียบไปตามเฉลียงทางเดินที่คดเคี้ยวของกระท่อม 

 

 

วันนั้นน่าจะเป็นวันที่สิบห้า ไร้ซึ่งลมและหิมะ พระจันทร์ดวงกลมราวกับจานหยก แขวนอยู่บนท้องฟ้าอย่างเงียบสงบ กลางลานบ้านนั้นแขนงกิ่งไม้แห้งขดงอเติบโตตามธรรมชาติพันกันยุ่งเหยิง ทิ้งเงาเป็นจุดๆ ไว้ที่พื้นดินเบื้องล่าง 

 

 

ตลอดทางที่เดินไปข้างหน้า นางหนาวจนสั่นไปทั้งตัว 

 

 

ดงป่า บ้านฟืนสำหรับเก็บอุปกรณ์ทำไร่นา บ่อน้ำ…นางล้วนเดินสำรวจมาแล้วพักใหญ่ 

 

 

จนกระทั่งตอนที่นางพยายามจะเปิดประตูข้างห้องครัวท้ายสวนนั้น พี่สาวลนลานพรวดออกมา 

 

 

“เจ้าจะทำอะไร” พี่สาวบีบข้อมือของนางเอาไว้แน่น บีบจนนางรู้สึกเจ็บจนแทบทนไม่ได้ นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่สาวมีแรงเยอะขนาดนี้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของท่านแม่ที่ยังเหลืออยู่บนโลกใบนี้ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าจะให้ท่านพ่อคิดอย่างไร เจ้าจะให้ท่านแม่ที่อยู่ที่น้ำพุเหลืองเบื้องล่างนั้นคิดอย่างไร เจ้าจะให้ข้าบอกท่านแม่ว่าอย่างไรตอนที่พบท่านอีกร้อยปีหลังจากนี้ เจ้าจะให้ข้ามีหน้าไปไหว้ท่านแม่ในวันเชงเม้งหรือเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างทุกๆ ปีได้อย่างไร เจ้า เจ้าทำให้ข้าสิ้นหวังยิ่งนัก” 

 

 

ขณะที่พี่สาวพูด ดวงตาค่อยๆ แดงก่ำ 

 

 

“ท่านพี่ ข้ามันไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่” แววตาของนางหม่นหมอง กล่าวว่า “ข้าอยากตาย ทว่าแม้แต่สถานที่ให้ตายก็ยังหาไม่ได้ หากข้าผูกคอตายในดงป่า คนอื่นมาพบว่าข้าตายอยู่ในบ้านของท่าน อาจจะเข้าใจไปว่าท่านทำร้ายข้าจนตาย ข้าอยากหาสถานที่หนึ่งที่คนมาพบเห็นได้ไม่ง่ายนัก แต่ว่าที่นั่นก็ยังเป็นบ้านของท่าน ท่านก็ไม่พ้นข้อครหาเช่นเดิม ทำไมในบ้านของท่านถึงไม่มีทะเลสาบ หากว่ามีทะเลสาบก็คงจะดี ผูกด้วยหินก้อนหนึ่งแล้วกระโดดลงไปเป็นอาหารให้ปลา ไม่มีใครรู้เห็นแม้แต่เทพเจ้าหรือผีวิญญาณ หรือไม่ ก็มีแม่น้ำสักสายก็คงจะดี กระแสน้ำไหลแรงสักหน่อย กระดูกที่เหลือจะได้ไหลไปที่อื่น ให้ข้าเป็นผีเร่ร่อนตัวหนึ่ง” 

 

 

พี่สาวตบหน้านางฝ่ามือหนึ่ง ‘เพียะ’ 

 

 

ผ่านไปสักครู่ใหญ่กว่าที่นางจะรู้สึกถึงความเจ็บแปลบ น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ 

 

 

“ท่านพี่!” นางโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของพี่สาว 

 

 

พี่สาวกลับผลักนางออก กล่าวขึ้นว่า “เจ้าจะไม่กลับไปที่ตระกูลเฉิงจริงๆ ใช่หรือไม่” 

 

 

ณ ขณะนั้น แววตาของพี่สาวเย็นชาราวกับแสงจันทร์ มืดมนราวกับเงาของต้นไม้ที่จุดเป็นดวงด่างดำ 

 

 

นางตกตะลึงอยู่ตรงนั้น 

 

 

พี่สาวย่างเท้ากว้างมาด้านหน้า จ้องตาของนางเอาไว้แล้วถามนางว่า “เจ้าวางแผนจะไม่กลับไปที่ตระกูลเฉิงอีกแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

นางพยักหน้าอย่างโง่งม 

 

 

พี่สาวลูบแก้มของนางเบาๆ อย่างปลอบโยน แต่นางนั้นไม่รู้ว่าบนนั้นมีรอยนิ้วมือปรากฏอยู่ 

 

 

“ก็ดี!” พี่สาวกล่าวอย่างเฉยชา “หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต ถือเสียว่าเจ้าได้แลกชีวิตคืนให้พวกเขาไปแล้วหนึ่งชีวิต จากนี้ไปทุกคนก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก!” 

 

 

นางไม่เข้าใจ แต่พี่สาวเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรากลับกันเถอะ! เรื่องนี้พี่สาวจะช่วยเจ้าตัดสินใจเอง” 

 

 

นางก็ยังคงไม่เข้าใจ 

 

 

พี่สาวกล่าว “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ส่งเจ้าไปให้คนของตระกูลเฉิง เจ้าก็อยู่กับข้าที่จิงเฉิงนี่เถอะ” 

 

 

แต่ พี่สาวต้องลำบากมากเป็นแน่! 

 

 

นางส่ายศีรษะ 

 

 

พี่สาวยิ้มพลางถามนาง “เจ้ายังเชื่อใจพี่สาวอยู่หรือไม่” 

 

 

นางรีบร้อนพยักหน้า 

 

 

พี่สาวโอบไหล่ของนางเอาไว้เดินกลับไป “เช่นนั้นเจ้าก็เชื่อใจพี่สาวอีกสักครั้ง ข้าจะไม่ให้คนตระกูลเฉิงพาเจ้ากลับไป!” 

 

 

แน่นอนว่านางเชื่อใจพี่สาว หากนางไม่เชื่อใจพี่สาวแล้ว ยังจะสามารถเชื่อใจใครได้? 

 

 

นางตามพี่สาวกลับห้องไปอย่างเชื่อฟัง พี่สาวป้อนยาคลายเครียดให้นางหนึ่งเม็ด กล่าวว่า “เจ้าหลับให้สบายสักตื่น พอตื่นขึ้นมา ทุกอย่างจะดีขึ้น” 

 

 

นางหลับตาลง 

 

 

ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ 

 

 

รู้สึกเพียงว่าทุกที่เต็มไปด้วยแสงเงาที่แปลกประหลาด นางได้ยินแม้กระทั่งเสียงร้องไห้ของฝานหลิวซื่อและเสียงพูดของพี่สาว “พวกเจ้ามาที่จิงเฉิงได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว หากตระกูลเฉิงต้องการตามหาก็ย่อมต้องตามมาหาตั้งนานแล้ว เห็นได้ชัดว่า พวกเขาคิดว่าได้กุมชะตาชีวิตของเสาจิ่นเอาไว้แล้ว ไม่กลัวว่านางจะไม่กลับไปด้วยตัวเองอย่างเชื่อฟัง ตอนนี้เป็นความผิดของพวกเขาตระกูลเฉิง หยวนซื่อผู้นั้นสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ หากเสาจิ่นกลับไป เกรงว่าไม่ถึงสองปีก็อาจจะถูกนางทรมานจนเสียชีวิตได้! นอกจากนี้อายุครรภ์ของเด็กคนนี้ก็ไม่ถูกต้อง หากคนคิดคำนวณดีๆ แล้วก็จะทราบถึงสาเหตุในระหว่างนี้ได้ เสาจิ่นก็คงจะได้เป็นอย่างที่นางเองได้พูดเอาไว้ว่า อย่าคิดจะเงยหน้าขึ้นมาอีกเลยตลอดชีวิต…ยิ่งไปกว่านั้น ใครที่นึกขึ้นมาได้ก็จะหยามเหยียดนางทีหนึ่ง…ลองเสี่ยงดูสักครั้งยังดีเสียกว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งเช่นนั้น หากว่าจะมีเวรกรรมอะไร ก็ให้เวรกรรมนั้นมาตกอยู่ที่ข้า ไม่เกี่ยวกับเสาจิ่น” 

 

 

เรื่องของนาง ไม่อยากให้พี่สาวต้องลำบากด้วย! 

 

 

นางอยากจะส่งเสียงดังพูดกับพี่สาว แต่ว่าแสงเงาเหล่านั้นโถมเข้ามาใส่นางอีก ในสมองของนางยุ่งเหยิงกระจัดกระจาย ไม่นานนักก็โยนเรื่องนี้ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง แล้วด่ำดิ่งลึกสู่นิทรา 

 

 

ต่อมา ฝานหลิวซื่อต้มยาถ้วยหนึ่งมาให้นาง นางดื่มติดต่อกันเป็นเวลาสามวัน ถึงวันที่สี่ ก็ไม่มีเด็กแล้ว นางตกเลือดอย่างหนัก พี่สาวพาหญิงชราหน้าตาดุดัน ผมตรงขมับแปะไว้ด้วยผ้าพันแผลสมุนไพรผู้หนึ่งเข้ามาช่วยจับชีพจรให้นาง ท้องฟ้าสาง เลือดหยุดแล้ว แต่นางนั้นแม้แต่เรี่ยวแรงจะหายใจก็ไม่มี 

 

 

ระหว่างที่หลับๆ ตื่นๆ อยู่นั้น นางได้ยินพี่สาวและฝานหลิวซื่อสนทนากัน “…นำเลือดเนื้อนั่นมาให้ข้าส่งไปที่ตรอกซิ่งหลินให้เฉิงสวี่ ส่งให้ถึงมือของเขาด้วยตัวเอง ให้เขาได้รู้ว่า เขาได้สูญเสียภรรยาและลูกไปอย่างไร ให้เขาได้รู้ว่า แม่ของเขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง…สิ่งเลวร้ายที่พวกเขากระทำ ไม่มีเหตุผลที่มีเพียงพวกเราต้องทนทุกข์” 

 

 

น้ำเสียงนั้น แฝงไว้ความเกลียดชังอย่างที่สุด 

 

 

ทว่านางกำลังครุ่นคิด ที่แท้เฉิงสวี่อยู่ในจิงเฉิง ตอนนี้เขาคงไม่อาจมาก่อกวนนางได้อีกกระมัง? 

 

 

ราวกับว่าก้อนหินก้อนใหญ่ในใจได้ถูกยกออกไปแล้ว นางถอนใจยาวลมหายใจหนึ่ง นอนหลับไปอย่างสบายใจ