กระทั่งถึงฤดูใบไม้ผลิตอนที่อากาศอบอุ่นดอกไม้เบ่งบาน พี่เขยออกหน้าเรื่องแต่งงานให้นางได้ที่หนึ่ง
นางไม่ยินยอมแต่งงาน
“เป็นสามีภรรยากันแบบหลอกๆ!” พี่สาวกล่าว “หลินซื่อเซิ่งมีคู่หมั้นที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้วหนึ่งคน วันแต่งงานล้วนถูกกำหนดเอาไว้หมดแล้ว ปรากฏว่าพ่อตากระทำความผิด ทำให้หญิงสาวผู้นั้นถูกถอนรายชื่อไปด้วย ผู้ที่ดูแลคดีนี้คือหัวหน้าของพี่เขยเจ้า เขาขอความช่วยเหลือจนขอมาถึงพี่เขยของเจ้าที่นี่ ตระกูลของหลินซื่อเซิ่งผู้นั้นเป็นตระกูลที่สืบทอดตำแหน่งขุนนางยศผิ่นขั้นสี่เจิ้ง ตอนอายุสิบห้าปีเขาก็ได้รับตำแหน่งแล้ว มีความสามารถยิ่ง ตอนนี้เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์กองทัพฝ่ายซ้าย จากยศผิ่นขั้นสาม…”
“เช่นนั้นยิ่งไม่ดีเจ้าค่ะ!” ศีรษะของนางส่ายรัวไปมาราวกับกลองป๋องแป๋ง เอ่ยแทรกคำพูดของพี่สาวขึ้นมาว่า “เป็นการทำเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ หากข้าแต่งงานออกไป กลัวแต่ว่าในใจของนายท่านหลินผู้นั้นจะมีข้อข้องใจ ไม่อาจปฏิบัติต่อข้าดีนัก มันจะคุ้มค่าหรือเจ้าคะหากผู้มีพระคุณกลับกลายเป็นศัตรูกัน นอกจากนี้ข้าเองก็ไม่อยากแต่งงานเจ้าค่ะ”
พี่สาวฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “เป็นนายท่านหลินที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเอง”
นางประหลาดใจ
พี่สาวอธิบายอย่างละเอียดให้นางฟัง “ถึงแม้ว่าจะหาวิธีช่วยคู่หมั้นของเขาออกมาได้ แต่ว่าเรื่องนั้นของพ่อตาเขาโด่งดังมากขนาดนั้น ถึงอยากจะปิดบังตัวตนไว้ก็ค่อนข้างทำได้ยาก แล้วจะแต่งมาเป็นเป็นภรรยาเอกให้หลินซื่อเซิ่งได้อย่างไร หลินซื่อเซิ่งทราบข้อนี้เป็นอย่างดี ทั้งไม่อยากให้คู่หมั้นของเขาผู้นั้นได้รับความลำบาก ถึงได้คิดแผนนี้ออกมา เจ้ากับเขาแสร้งเป็นสามีภรรยากัน หนึ่งปีให้หลัง ด้วยเหตุว่าเจ้าไม่มีบุตร เจ้าเป็นคนออกหน้ารับคู่หมั้นของเขาผู้นั้นเข้ามาแทนเขา เจ้าได้ชื่อว่าเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมแล้ว ภายหลังแก่ตัวไปก็มีที่ให้พึ่ง ตายไปก็มีคนเผาธูปถวายเครื่องบูชาไปให้ หญิงสาวผู้นั้นกับหลินซื่อเซิ่งก็ได้เป็นสามีภรรยากัน ให้กำเนิดบุตรชายหญิง ทั้งได้ตอบแทนบุญคุณและสมปรารถนา จะเป็นผู้มีพระคุณกลับกลายเป็นศัตรูกันได้อย่างไร กล่าวมาแล้ว เป็นพวกเราต่างหากที่ช่วยเหลือเขาอย่างใหญ่หลวง!”
นางยังคงไม่เห็นด้วยเช่นเดิม กล่าวว่า “ที่แท้ก็เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามธรรมเนียมแล้ว!”
ถ้าหากหลินซื่อเซิ่งอยากทำอะไรกับนาง นางจะร้องขอต่อสวรรค์ สวรรค์ก็คงไม่ตอบ ร้องขอต่อพิภพ พิภพก็คงไม่สนอง
พี่สาวเงียบไปครู่ใหญ่ ถอนใจเบาๆ ลมหายใจหนึ่ง
ด้านนอกกลับมีเสียงเอะอะโวยวายหนึ่งเกิดขึ้น
ฉือเซียงเมียงมองไปรอบๆ อยู่ที่ปากประตูด้วยท่าทางร้อนรน
พี่สาวยิ้มพลางกล่าวกับนางประโยคหนึ่ง “เจ้าพักผ่อนไปก่อน เรื่องนี้พวกเราค่อยมาคุยกันอีกทีในภายหลัง” ลุกขึ้นทำท่าจะเดินไป
นางมีลางสังหรณ์หนึ่ง ดึงมือของพี่สาวเอาไว้ กล่าวขึ้น “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านไม่ต้องปิดบังข้า ใช่ว่าข้าจะขาดแคลนคนไปสืบข่าว ย่อมสืบจนได้ความเหมือนกัน”
พี่สาวคิดแล้วคิดอีก กล่าวด้วยท่าทางที่ยากจะเข้าใจ “หลายวันมานี้เฉิงสวี่เอะอะโวยวายไม่หยุด เกรงว่าในครั้งนี้เป็นข้าที่ไม่ระวังทิ้งเบาะแสไว้ ถูกเขาตามหาจนพบที่อยู่จนได้”
เพราะอย่างนั้นพี่สาวเลยรีบร้อนให้นางแต่งออกไป?
นางรีบกล่าว “เช่นนั้นข้าจะแต่งให้หลินซื่อเซิ่ง!”
พี่สาวกลับลังเลขึ้นมา กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่รีบร้อนเกินไป ตอนนี้ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เปรียบเทียบแล้วก็เหมือนกับการพังกำแพงตะวันออกเพื่อไปซ่อมแซมกำแพงตะวันตก อาจจะไม่ใช่แผนที่ดีนัก เช่นนั้นเจ้าไปพักก่อน ข้าจะไปส่งแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้น”
นางยิ้มมองพี่สาวที่เดินออกจากห้องไป
ทว่าเสียงเอะอะโวยวายข้างนอกกลับยิ่งดังขึ้น
แรกเริ่มนางยังซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่ม ต่อมาเห็นว่านานแล้วเรื่องก็ยังไม่เงียบลง ทั้งกังวลว่าพี่สาวจะถูกคนข่มเหงรังแก ให้ฝานหลิวซื่อประคองนางออกไป
ฝานหลิวซื่อปฏิเสธ ต่อมาเมื่อไม่สามารถทัดทานนางได้ จำต้องกล่าวว่า “นายท่านก็รีบมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่จะไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
นางถามฝานหลิวซื่ออย่างเป็นกังวลใจ “ท่านพ่อว่าอย่างไรบ้าง”
“นายท่านกับคุณหนูใหญ่ไปที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ” ฝานหลิวซื่อกล่าว “มีคุณหนูใหญ่อยู่ด้วย นายท่านคงไม่ตำหนิท่านหรอกเจ้าค่ะ”
ใช่ ท่านพ่อคงไม่ตำหนินาง แต่จะตำหนิพี่สาว!
นางจะนั่งนิ่งอยู่ได้อย่างไร
อาศัยฝานหลิวซื่อช่วยประคองเอาไว้ นางจึงไปที่ห้องหนังสือ
ฉือเซียงและคนอื่นๆ ทั้งหมดยืนห่างๆ อยู่ในเฉลียงทางเดิน
นางส่งสัญญาณให้ฉือเซียงและคนอื่นๆ อย่าส่งเสียงดัง แล้วเดินผ่านไปอย่างเงียบเชียบ
มีเสียงของท่านพ่อที่ไม่ค่อยชัดเจนนักดังออกมาจากในห้อง “…ท้องของเจ้านับวันยิ่งโตขึ้นแล้ว! เรื่องสำคัญนี้ขนาดนี้ทำไมเจ้ากล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง! ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเสาจิ่นในภายหลัง เจ้าจะทำอย่างไร เรื่องราวบนโลกใบนี้ใครกล้าพูดได้ว่าตนเองสามารถจัดการได้อย่างรอบคอบสมบูรณ์แบบไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น? เจ้ารับประกันได้หรือว่าเรื่องที่เจ้าทำไปนี้ล้วนถูกต้อง เจ้ารับประกันได้หรือว่าเสาจิ่นในภายภาคหน้าจะมีความมั่นคงทางการเงินไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอาหารและอาภรณ์ จะไม่ถูกใครข่มเหงรังแก?”
คำถามของท่านพ่อยิ่งดุดันขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงของพี่สาวทั้งเสียใจและทำอะไรไม่ถูก “ท่านพ่อ ข้า ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเจ้าค่ะ! ข้าไม่อาจมองดูเสาจิ่นผูกคอตัวเองได้ ข้าขัดขวางนางได้แล้วครั้งหนึ่ง ข้าจะขัดขวางนางได้เป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สามหรือเจ้าคะ ยิ่งไปกว่านั้น…”
เสียงของพี่สาวเบาลง นางได้ยินไม่ชัด เสียงของท่านพ่อกลับดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าผ่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ ไหนเจ้าพูดมาอีกครั้ง!”
“เสาจิ่น นาง นางตกเลือดอย่างหนักเจ้าค่ะ…ต่อไปไม่อาจคลอดบุตรได้อีกแล้ว…” พี่สาวสะอื้นไห้กล่าวเสียงเบา
นางมึนงง เพียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
หรือเป็นเพราะว่าในตอนนั้นนางยังเด็ก เลยไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกหรือเสียใจ
“เพียะ!” ดังขึ้นเสียงหนึ่ง เสียงตบใบหน้าและเสียงกราดเกรี้ยวของท่านพ่อดังอย่างชัดเจนขึ้นมาภายในห้อง “เจ้ามันคนบาป! ดูเรื่องดีๆ ที่เจ้ากระทำ! เช่นนั้นเจ้าไม่เอาเชือกสักเส้นมารัดน้องสาวของเจ้าให้ตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด!”
การตบหน้านั้นราวกับได้ตบลงบนใบหน้าของนาง วาจาเสียดสีนั้นราวกับได้ทิ่มแทงลงไปในใจของนาง
นางทนไม่ได้พรวดเข้าไป ยืนขวางอยู่ด้านหน้าของบิดา “ท่านพ่อ เรื่องนี้เป็นความต้องการของข้าทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับท่านพี่เจ้าค่ะ หากท่านอยากตบตีก็มาตบตีที่ข้า อยากดุด่าก็มาดุด่าที่ข้า เป็นเพราะพี่สาวทัดทานข้าไม่ได้ถึงได้รับปาก ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับท่านพี่เจ้าค่ะ!”
ท่าทีของท่านพ่อยากจะเข้าใจ มองนาง แล้วก็มองพี่สาว แล้วสะบัดแขนเสื้อเพื่อจากไป “เรื่องของพวกเจ้าข้าจะไม่ยุ่งอีก พวกเจ้าก็ดูแลตัวเองก็แล้วกัน!”
นางหมุนกายไปประคองพี่สาวที่ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดง เอ่ยถามพี่สาวอย่างเจ็บปวดใจว่า “เจ็บหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เจ็บ!” พี่สาวส่ายศีรษะ ดวงตาวาวไปด้วยน้ำตา “พี่สาวไม่เจ็บ”
จะไม่เจ็บได้อย่างไร
ยิ่งถูกท่านพ่อดุด่าเช่นนั้น
นางสั่งฝานหลิวซื่อเสียงดังให้นำน้ำเข้ามา กล่าวว่า “ใช้น้ำแข็งประคบสักพักจะช่วยให้ดีขึ้นมากเจ้าค่ะ”
พี่สาวกลับตะโกนห้ามฝานหลิวซื่อเอาไว้ กล่าวว่า “เจ้าสุขภาพไม่ดี รีบกลับห้องไปนอนพัก อีกสักพักข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
“ท่านพี่จะไปไหนเจ้าคะ” นางกอดแขนของพี่สาวเอาไว้อย่างหวาดกลัว
“เด็กโง่!” พี่สาวลูบศีรษะของนาง ยิ้มกล่าว “ท่านพ่อตบหน้าข้าในครั้งนี้ ข้าจะยอมแพ้ได้อย่างไรหากไม่ได้ไปเขย่าคนของตระกูลเฉิงต่อหน้าคนตระกูลเฉิง! เจ้าอย่ากังวลใจไป ท่านพ่อไม่ได้ตั้งใจตำหนิพวกเรา นี่เป็นเพียงคำแก้ต่างที่เขาจะให้แก่ตระกูลเฉิงเท่านั้น”
นางไม่เชื่อ
อยู่ต่อหน้านาง พี่สาวมักจะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
ทว่านางก็รู้สึกว่า หากสามารถให้คำแก้ต่างแก่ตระกูลเฉิงได้สักข้อก็ดีเหมือนกัน้
แต่ว่าเฉิงสวี่ยังคงเอะอะโวยวายอยู่
นางกลัวว่าจะถูกคนของตระกูลเลี่ยวรู้เรื่องเข้า
เอ่ยถามพี่สาวว่า “แล้วเรื่องแต่งงานกับตระกูลหลินเป็นอย่างไรบ้าง”
พี่สาวกล่าวว่า “ข้ากับพี่เขยของเจ้าปรึกษากันแล้ว คิดว่าควรจะหางานแต่งที่ดีอีกหน่อยให้เจ้าใหม่!”
นางเชื่อใจพี่สาว ไม่ถามอะไรอีก
ใครจะรู้ว่าหลินซื่อเซิ่งกลับมาหาถึงบ้าน
เขามีรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางเฉลียวฉลาด ดวงตาแวววาวและดูเป็นมิตร
นางไม่ชอบ
ไม่ใช่ว่าเฉิงลู่ เฉิงสวี่นั้นก็มีท่าทางเฉลียวฉลาด ดูแล้วสุภาพอ่อนโยนราวหยก ถ่อมตัวและจริงใจหรอกหรือ?
หลินซื่อเซิ่งราวกับรู้ว่านางกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่อย่างไรอย่างนั้น เอาเอกสารฉบับหนึ่งให้นาง กล่าวว่า “หากว่าเจ้าไม่ไว้ใจ พวกเราก็ลงชื่อในสัญญาเอาไว้เป็นหลักฐาน”
นางไล่หลินซื่อเซิ่งออกไป
หลังจากนั้นไม่นานพี่สาวก็รีบเข้ามา เอ่ยถามนางเสียงหอบ “หลินซื่อเซิ่งพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”
นางเอาเอกสารสัญญาที่ยังไม่ทันได้ฉีกทิ้งยื่นให้พี่สาวดู
พี่สาวถอนใจเบาๆ ลมหายใจหนึ่ง แล้วพับเอกสารเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ
หลินซื่อเซิ่งไปแล้วและก็กลับมาอีกเพื่อขอพบพี่สาว
พี่สาวแนะนำนาง “หรือไม่ เจ้าลองพิจารณาดู?”
ถ้าหากหลินซื่อเซิ่งหน้าตาธรรมดาสามัญสักนิด นางอาจจะรู้สึกปลอดภัยกว่านี้หน่อย
นางส่ายศีรษะ
“เช่นนั้นข้าจะกลับไปให้คำตอบหลินซื่อเซิ่ง” พี่สาวลุกขึ้น ยังเดินไม่ทันจะพ้นประตูบ้าน ฉือเซียงก็วิ่งเข้ามา กล่าวขึ้น “นายหญิง นายท่านหลินผู้นั้นกับคุณชายใหญ่เฉิงสวี่ตีกันเจ้าค่ะ”
พี่สาวรีบมุ่งหน้าไปด้านนอก นางดึงพี่สาวเอาไว้ กล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านตอบรับเรื่องงานแต่งของตระกูลหลินต่อหน้าคนผู้นั้นเถอะเจ้าค่ะ!”
“แต่ว่า?” พี่สาวขมวดคิ้วมุ่น
นางกล่าว “แต่งกับผู้อื่นยังต้องปิดบัง ไม่สู้แต่งกับหลินซื่อเซิ่งอย่างตรงไปตรงมาไปเลยเสียจะดีกว่า”
พี่สาวพิจารณาอย่างถี่ถ้วนสักพักถึงตอบออกมาเสียงหนึ่งว่า “ได้”
ก็เป็นเช่นนี้ นางแต่งเข้าตระกูลหลิน หนึ่งปีให้หลัง ออกหน้ารับอนุให้หลินซื่อเซิ่ง นางย้ายไปอยู่ที่บ้านสวนของตระกูลหลินเพื่อรักษาร่างกาย
ทว่าตอนที่หลินซื่อเซิ่งพาบุตรชายที่เพิ่งคลอดมาเยี่ยมนางนั้น นางมองทารกตัวเล็กที่ผิวขาวเนียนนุ่ม ดวงตาใสแจ๋วราวท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ชั่วขณะหนึ่งนางรู้สึกเจ็บปวดหัวใจราวกับถูกบดขยี้ รู้สึกเสียดายยิ่งแล้ว
ถ้าหากเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะตัวขนาดนี้แล้ว?
คงจะนอนอยู่ในอ้อมอกของนางอย่างนุ่มนิ่ม ลืมตาโตมองนางอย่างสงสัยใคร่รู้ คงจะดูดนิ้วโป้งเล็กไม่ยอมปล่อย…ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกของเฉิงสวี่ ทว่าเป็นนางที่ให้กำเนิด ก็มีเลือดของนางอยู่ครึ่งหนึ่งเหมือนกัน!
ตกกลางคืน นางร้องไห้จนหมอนเปียกชุ่ม
ทว่านางไม่อาจพูดหรือกล่าวอะไรออกมาได้ ไม่อาจทำได้แม้แต่จะแสดงความไม่ปกติออกมาสักสาย ช่วงฤดูใบไม้ผลิในปีที่นางแต่งงานออกไปนั้น บุตรคนแรกของพี่สาวและพี่เขยแท้งไป หลังจากนั้นพี่สาวก็ไม่สามารถตั้งครรภ์อีก
ถ้าหากพี่สาวรู้ว่านางเสียใจกับเรื่องในตอนนั้น เช่นนั้นจะวางพี่สาวเอาไว้ที่ตรงไหน ความทุกข์ใจทั้งหมดที่พี่สาวได้รับจะนับเป็นอะไร
นางนึกถึงประโยคนั้นที่พี่สาวพูดเอาไว้ในวันนั้นว่า หากว่าจะมีเวรกรรมอะไร ก็ให้เวรกรรมนั้นมาตกอยู่ที่ข้า
หรือว่านี่จะเป็นเวรกรรม?
บาปกรรมที่ควรจะลงโทษมาที่ตัวนางกลับไปลงโทษพี่สาวกับพี่เขย!
พี่สาวพี่เขยผู้บริสุทธิ์ แบกรับการลงโทษที่ไม่สมควรจะได้รับแทนนาง
นางไม่เพียงไม่อาจเสียใจ ยังต้องลืมเรื่องพวกนี้ไปให้หมด ให้เสมือนว่าเรื่องเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดำเนินชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีและมีความสุข
แต่ว่ายามดึกสงัดที่ผู้คนเงียบสงบนั้น นางจะนึกถึงเด็กคนนั้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นึกถึงค่ำคืนที่สูญเสียลูกไปคืนนั้น…ราวกับถูกเถาวัลย์พันเอาไว้แน่น นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน รู้สึกหายใจไม่ออก
นางเริ่มกินเจและสวดมนต์ ขอพระโพธิสัตว์ยกโทษบาปให้แก่นาง ขอพระโพธิสัตว์อวยพรและปกปักรักษาทายาทของพี่สาวและพี่เขย หากมีเวรกรรมอะไรก็ขอให้เวรกรรมนั้นมาตกอยู่ที่นาง…กระทั่งห้าปีให้หลัง พี่สาวได้ให้กำเนิดหลานชายหนึ่งคนนามว่าเลี่ยวเฉิงฟาง นางถึงได้โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
ตอนนี้ เลือดบนมือได้รื้อฟื้นเรื่องราวในความทรงจำออกมา ความอดทนอดกลั้นที่ยาวนานหลายปีราวกับขวดน้ำที่ถูกทุบจนแตก ความลับที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกได้ไหลทะลักออกมา โจวเสาจิ่นแยกไม่ออกว่าตนเองนั้นอยู่ในชาติที่แล้วหรือว่าชาตินี้ นางหวาดผวาร้องไห้ออกมา
เช่นนี้ราวกับว่าช่วยให้ความเจ็บปวดที่ติดอยู่ในอกมาตลอดได้พบกับทางออก ทำให้ความเจ็บปวดจากบาดแผล ความเสียใจ กล่าวโทษตัวเอง และความรู้สึกผิดเหล่านั้นไม่ได้รุนแรงมากขนาดนั้นอีก
“ท่านพี่ๆ” นางที่อิงอยู่กับหัวไหล่ของโจวชูจิ่นร้องไห้จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ “ข้าเสียใจยิ่งนักๆ …แต่ข้าก็ไม่อาจบอกกับใครได้…เป็นข้าเองที่ไม่ต้องการเด็กคนนั้น…ข้ากลัวว่าหากพูดออกไปจะทำให้ท่านเจ็บปวดใจ…ถึงแม้ว่าข้าจะอ่านพระไตรปิฎกให้มากยิ่งขึ้น กินเจให้มากยิ่งขึ้นก็ไม่อาจล้างมลทินบนตัวของข้าให้สะอาดขึ้นได้…ทำไมพระโพธิสัตว์ถึงไม่รับตัวข้าไป…ยังให้ข้ามารับความทุกข์เช่นนี้อีกครั้ง…”